การเดินทางของผมกับจอม(มาร)ปราชญ์ผู้อยากเที่ยวรอบโลก - ตอนที่ 5 คำตอบและคำถาม
ทั้งสามคนนั่งอยู่ในมุมเงียบสงบของโรงเหล้า มุมนี้ห่างไกลจากสายตาของคนอื่น ทำให้การสนทนาของพวกเขา ยังสามารถเป็นความลับได้อยู่ ไครัซนั่งฝั่งตรงข้ามกับอาร์วิน สายตาของเขายังคงจับจ้องที่ผู้นำเก่าด้วยความคาดหวัง
คำว่า ‘จอมมาร’ ยังคงก้องอยู่ในอากาศ ลีโอพอจะรู้ดีว่า คำว่าจอมมาร ที่ไครัซพูดออกมา ไม่ใช่การกล่าวลอยๆ เขาเห็นอาร์วินทำท่าทีไม่หวาดกลัวต่อสิ่งใด มาพอควรตลอดวันหนึ่งที่เดินทางร่วมกัน รวมถึงเวทมนตร์ที่เขาใช่ตอนพบกันครั้งแรก คำว่าจอมมารก็เป็นคำตอบที่เข้าใจได้ง่ายกว่าที่คิด
“ขอปฏิเสธ…” อาร์วินมองไครัซด้วยสายตาที่สงบนิ่ง แต่เหนื่อยล้า “ข้าไม่คิดจะกลับไปที่นั่นอีกแล้ว อย่างน้อยก็ในเร็วๆ นี้”
“และยิ่งในฐานะของจอมมาร ก็ยิ่งแล้วใหญ่…” อาร์วินพูดต่อ แล้วถอนหายใจยาวออกมา
ไครัซไม่ขยับ เขายังคงเงียบ ท่ามกลางความเงียบนี้ ลีโอรับรู้ได้ว่า คำปฏิเสธของอาร์วินนั้นไม่ใช่แค่การตัดสินใจธรรมดา มันมีอะไรมากกว่านั้น ซึ่งทั้งเขาและไครัซ ก็อาจจะยังไม่สามารถเข้าใจได้
ไครัซโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อย “ท่านจอมมาร… ข้ารู้ว่าท่านเหนื่อย เราทั้งหมด เพิ่งจะแพ้ในศึกใหญ่มา…” เขาพยายามเรียบเรียงถ้อยคำในหัว “แต่ท่านเป็นผู้นำ ที่พวกเราศรัทธา ท่านเคยทำให้เรารวมตัวกันได้ครั้งหนึ่ง… ทำไมท่าน ถึงปฏิเสธที่จะกลับไปนำพวกเราอีกครั้ง?”
เสียงของไครัซเต็มไปด้วยความสับสนและผิดหวัง เขาไม่ได้เข้าใจว่า ทำไมอาร์วินถึงละทิ้งสิ่งที่ยื่งใหญ่เช่นนี้ไปได้ ลีโอเองก็รู้สึกเช่นเดียวกัน การที่อาร์วินละทิ้งตำแหน่งจอมมาร คงไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเข้าใจ มีหลายชีวิตที่อาจจะยอมแลกทุกอย่าง เพื่อที่จะขึ้นไปอยู่ในจุดนั้น
อาร์วินวางแก้วลงช้าๆ ก่อนจะพูดด้วยเสียงที่ราบเรียบ “เพราะสิ่งที่ข้าเคยเป็น ไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะเป็นอีกต่อไป”
ลีโอมองหน้าอาร์วินอยู่เงียบๆ เขาพยายามจะเข้าใจ และเขาควรจะยินดีด้วยซ้ำ ที่จอมมารที่เป็นศัตรูกับอาณาจักรมนุษย์มาช้านาน กลับทิ้งอำนาจไป แต่ก็ยังรู้สึกว่ามีบางสิ่ง ที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจ และตีความได้ง่ายไปกว่า ชัยชนะ หรือ การพ่ายแพ้
ไครัซยังคงนั่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดขึ้นอีกครั้ง “ท่านจอมมาร… หลังจากที่ท่านหายไป พวกเราถูกปกครองโดยพวก ที่โหดร้าย และไร้สติปัญญา พวกนั้นไม่สมควรจะมีอำนาจ”
“ถ้าท่านกลับมา ท่านจะสามารถทำให้พวกมัน ยอมศิโรราบได้” ไครัซพยายามโน้มน้าว “มีแต่ท่านที่พวกมันจะฟัง และพวกเรา จะได้รวมเป็นหนึ่งอีกครั้ง”
ลีโอรู้สึกถึงความเจ็บปวดในเสียงของไครัซ แต่เขาเองก็ไม่สามารถลืมได้ ว่าอาณาจักรมารนั้นเต็มไปด้วยความโหดร้าย ความเป็นจริงคือมันยังคงเป็นสถานที่ ที่ปกครองด้วยความกลัว และการบีบบังคับ
อาร์วินส่ายหน้าเล็กน้อย “ข้ารู้ดี สิ่งที่เจ้าพูดมา ก็คงจะถูกต้องทั้งหมด แต่ข้าก็ไม่ใช่คนเดิมที่พวกเจ้ารู้จักอีกแล้ว ข้าปกครองด้วยพลัง และความกลัวในอดีต ข้าไม่สามารถ ที่จะกลับไปสู่วังวนแห่งความโหดร้ายนั้นอีกได้”
หลังจากที่อาร์วินพูดจบ ลีโอนั่งคิดเงียบๆ เขารู้ดีว่าอาร์วินไม่ใช่คนธรรมดา และการตัดสินใจของเขา ต้องมีเหตุผลเบื้องหลังที่มากกว่าคำพูดสั้นๆ แค่นี้ ความรู้สึกสงสัยเริ่มเกาะกุมใจของเขา “ทำไมท่านถึง… เปลี่ยนไปล่ะ? ในความเชื่อของพวกข้า จอมมารคือตัวตนแห่งอำนาจและความชั่วร้าย เอาจริงๆ ข้าไม่คิดว่ามันจะเป็นไปได้ด้วยซ้ำที่ท่านจะเปลี่ยนแปลง”
ไครัซหันมามองลีโอ เขาเองก็รู้สึกคล้ายๆ กัน เขาเข้าใจเพียงบางส่วน ในเหตุผลของอาร์วิน แต่ก็ยังมีคำถามมากมายที่เขาไม่กล้าถามตรงๆ อาร์วินเคยเป็นจอมมารที่น่าหวาดกลัว และเป็นผู้นำสูงสุดของอาณาจักรมาร จะมีเหตุผลอะไรให้เขาทิ้งอำนาจไปง่ายๆ เช่นนี้?
อาร์วินมองหน้าไครัซและลีโอ แววตาของเขาดูสงบนิ่ง “บางที การเปลี่ยนแปลง ก็ต้องการแค่การผลักดันเล็กๆ หรือสิ่งน้อยๆ ที่มาจุดประกายให้มัน”
คำตอบนั้นทิ้งให้ทั้งโต๊ะเงียบไป ลีโอพยายามจะเข้าใจสิ่งที่อาร์วินพูด แต่ก็ยังไม่อาจเข้าใจได้ทั้งหมด
“แล้วตอนนี้…เกิดอะไรขึ้นกับอาณาจักรมารล่ะ? ตั้งแต่ที่ท่านอาร์วินหายไป…” ลีโอพยายามเปลี่ยนประเด็น แต่จริงๆ เขาก็อยากรู้เกี่ยวกับอาณาจักรที่ว่า ให้มากขึ้นเช่นกัน
“อาณาจักรมารในตอนนี้แตกแยก เป็นกลุ่มก้อนน้อยใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีใครเป็นผู้นำอย่างแท้จริง” ไครัซหันมามองลีโอ ก่อนจะถอนหายใจยาว “หลังจากที่ท่านจอมมารหายตัวไป และการบุกทะลวงเข้าไปยังใจกลางของอาณาจักร พวกอสูรกาย และปีศาจหลากหลายเผ่าที่ยังเหลือรอด ก็กระจัดกระจาย กลับถิ่นเดิมของตน”
“เพื่อรักษาอำนาจ ทุกคนต่างแย่งชิงกัน เพื่อหวังจะให้กลุ่มของตน กลับมามีอำนาจอีกครั้ง ข้าคิดว่าบางตนก็อาจจะมีเป้าหมาย ที่จะครองบัลลังก์ของท่านอาร์วินาธ’รอน” ไครัซอธิบายความเป็นไปต่อ “แต่ถึงตอนนี้ ผ่านมาเกือบครึ่งปี ก็ยังไม่มีใครที่มีพลัง หรือความสามารถพอ ที่จะรวมพวกเราเป็นหนึ่งได้เหมือนท่าน”
ไครัซพูดต่อด้วยน้ำเสียงที่สะท้อนความสิ้นหวัง “พวกเราเคยปกครองกัน ด้วยความกลัวและอำนาจก็จริง แต่ตอนนี้มันกลับเลวร้ายยิ่งกว่าเดิม เพราะไม่มีใคร สามารถหยุดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจได้ ทุกคนในอาณาจักรมารอยู่ในสภาวะวุ่นวาย กลุ่มต่างๆ สู้รบกันเพื่อยึดอำนาจ บางกลุ่มเริ่มสนใจที่จะปลุกสงครามขึ้นใหม่ เพื่อล้างแค้นมนุษย์”
ลีโอฟังอย่างตั้งใจ สถานการณ์ของอาณาจักรมาร ไม่ใช่สิ่งที่เขาเคยคิดไว้ เขาเคยเห็นพวกมารเป็นเพียงกลุ่มศัตรู ที่จ้องจะทำลายล้างมนุษย์ แต่ตอนนี้ เขาก็เริ่มเห็นว่าพวกนั้นก็มีความซับซ้อนในเชิงการปกครอง และความขัดแย้งภายใน ไม่ต่างกับเหล่ามนุษย์เช่นกัน
“แล้ว… ยังไม่มีใครที่สามารถแทนที่ ท่านอาร์วินได้เลยเหรอ?” ลีโอถามอย่างจริงจัง
ไครัซส่ายหัว ส่วนอาร์วินเลือกที่จะนิ่งเงียบ เขารู้สึกถึงน้ำหนักของการตัดสินใจ แต่อาร์วินก็ยังคงแน่วแน่ในสิ่งที่ตนเลือก “เหล่ามาร อสูรกาย และปีศาจทั้งหลาย ต่างก็ต้องหาทางออกด้วยตัวเอง ข้าจะไม่กลับไปเพื่อทำให้พวกเขาหวาดกลัวอีกแล้ว”
แม้ว่าเรื่องข่าวลือของปีศาจจะไข่กระจ่างออกแล้ว แต่ลีโอเริ่มคิดถึง อีกปริศนาหนึ่งที่พวกเขายังไม่ได้คำตอบ เขาตัดสินใจที่จะถามออกมา
“แล้วเรื่องรถม้าที่ถูกโจมตี… และศพที่เราพบก่อนหน้านี้ล่ะ?” ลีโอถามขึ้น เสียงของเขาออกจะกังวลเล็กน้อย “เรายังไม่รู้ว่าใครเป็นคนลงมือ หรือทำไปเพื่ออะไรเลย”
คำถามนั้นทำให้ไครัซนิ่งไปครู่หนึ่ง เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะส่ายหน้า “ข้าไม่แน่ใจเกี่ยวกับเรื่องนี้… ถ้ามีใครในฝั่งมารบุกเข้ามาได้ถึงเมืองนี้ คงไม่ได้เลือกที่จะโจมตีแค่รถม้าแน่ๆ”
“เจ้าแน่ใจหรือ ว่ามันไม่ใช่ฝีมือของพวกโจรในหมู่พวกมนุษย์เอง?” ไครัซถามต่อ “อาจเป็นการเคลื่อนไหวของอาชญากร หรือแม้แต่โจรป่าทั่วๆ ไปก็ได้”
อาร์วินที่นั่งเงียบ เงยหน้ามองลีโอเล็กน้อย ก่อนจะตอบคำถามของไครัซ
“ถ้าเป็นโจรล่ะก็ ข้าไม่คิดว่ามันเป็นฝีมือของพวกโจรธรรมดาทั่วไปแน่ๆ” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “ร่องรอยบาดแผลที่พวกเราเห็น… มันไม่ใช่ฝีมือของอาวุธธรรมดา”
ลีโอพยักหน้า เขาเองก็สังเกตเห็นเช่นเดียวกัน บาดแผลที่พวกเขาพบ มีลักษณะแปลกประหลาด ทั้งความคม และรอยไหม้บนผิว และบนเกราะหนังและเสื้อผ้า เป็นรอยที่ไม่ควรจะอยู่ด้วยกัน ในอาวุธทั่วๆ ไป “ใช่…มันเหมือนว่าเกิดจากอาวุธ ที่มีพลังเวทมนตร์บางอย่าง”
“เจ้าไม่ได้ฆ่าใคร นอกเมืองลูเมนฟอร์ดใช่ไหม? ไครัซ” อาร์วินถามขึ้นมาโต้งๆ ซึ่งในวงสนทนาทั่วไปคงจะดูแปลกประหลาด แต่เพราะพวกเขาเป้นปีศาจ มันเลยอาจจะไม่ได้แปลกมากก็ได้… มั้ง?
ไครัซส่ายหน้า “ถ้าในช่วงที่เดินทางมาที่นี่ล่ะก็ ไม่น่าจะเป็นไปได้ ข้าพยายามลักลอบเข้ามา และทิ้งร่องรอยให้น้อยที่สุด เอาจริงๆ ข้ายังไม่ทันได้ฆ่าใครด้วยซ้ำในเมืองนี้”
“แต่ถ้าเป็นอาวุธเวทมนตร์ ความเป็นไปได้ก็มีไม่จำกัด ทั้งในหมู่มาร และฝั่งมนุษย์เองก็มีอาวุธเวทมตร์มากมายนับไม่ถ้วน” ไครัซอธิบายต่อ “ในสงครามที่ผ่านมา ก็มีการใช้อาวุธแบบนั้นในแทบจะทุกศึกที่มีการปะทะกัน”
อาร์วินพยักหน้าเบาๆ แต่ไม่ได้เสริมอะไรออกมาเป็นพิเศษ เขารู้ดีว่ามันมีความซับซ้อนมากกว่านั้น การสร้างอาวุธเวทมนตร์ ไม่ใช่สิ่งที่ทำได้ทั่วไป และมันก็คงไม่ถูกใช้แค่กับการปล้นรถม้า กับฆ่าโจรกระจอกเฉยๆ ถ้ามันอยู่ในมือของคนที่มีฝีมือ
“เราคงต้องสืบหาความจริงเพิ่มเติมเกี่ยวกับเรื่องนี้…” ลีโอครุ่นคิด “ถ้ามันเกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ มันอาจเชื่อมโยงกับบางสิ่งที่ใหญ่กว่านี้”
อาร์วินพยักหน้าเงียบ ๆ แต่สายตาของเขามองไปยังไครัซที่ยังคงนั่งอยู่ เขารู้ว่าการปล่อยให้ไครัซอยู่ในที่นี้ต่อไป อาจไม่เป็นผลดี ทั้งต่อตัวเขาเอง และต่อสถานการณ์ ระหว่างมนุษย์และมาร
“ไครัซ” อาร์วินเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความจริงจัง “ข้าคิดว่าเจ้าควรกลับไปที่อาณาจักรมาร…”
คำพูดนั้นทำให้ลีโอหันไปมองอย่างสงสัย เขาไม่คาดคิดว่า อาร์วินจะขอให้ไครัซกลับไปในทันที
“แต่ท่านจอมมาร…” ไครัซเองก็ดูประหลาดใจไม่น้อยเช่นกัน เขามาตามหาอาร์วินที่นี่ และคงจะคาดหวังได้อยู่คุ้มครองเขาต่อไป
อาร์วินยกมือขึ้นเพื่อหยุดคำพูดของไครัซ “ถ้าเจ้ามาอยู่ที่นี่นานไปกว่านี้ มนุษย์จะเริ่มสงสัยและตื่นตูม ข้าไม่อยากให้เกิดปัญหาไปมากกว่านี้”
“นอกจากนี้ ข้ามีบางอย่างที่อยากให้เจ้าสืบในอาณาจักรมารให้ข้าหน่อย” อาร์วินกล่าวขึ้นมา เหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ “ข้าต้องรู้ความเคลื่อนไหว ของพวกที่ยังคงวางแผนกระตุ้นสงครามอีกครั้ง หรือพยายามชิงตำแหน่งจอมมาร”
ไครัซพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง เขาพอจะเดาเหตุผลของอาร์วินออก หากเขาอยู่ในดินแดนมนุษย์นานเกินไป มีแต่จะนำความเสี่ยงที่ไม่จำเป็นเข้ามา ทั้งต่อตัวเขาและต่ออาร์วิน การตัดสินใจของอาร์วินนั้นแม้จะฟังดูเยือกเย็น แต่เป็นการป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตไปด้วย
“ขอรับ… ข้าจะกลับไปสืบข่าว และกลับมารายงานทุกอย่างที่พบให้ท่านทราบ” ไครัซตอบเสียงต่ำ
อาร์วินพยักหน้าเล็กน้อย “ดี ข้าต้องการรู้ว่าพวกผู้นำที่เหลือรอดอยู่คิดอะไร และจะลงมือเมื่อใดบ้าง”
ไครัซลุกขึ้นจากที่นั่ง มองหน้าอาร์วินครั้งสุดท้ายก่อนจะพยักหน้าเบาๆ พร้อมกับกล่าวคำลา “ข้าจะทำตามที่ท่านสั่ง และข้าก็หวังว่าท่านจะพบคำตอบ ในสิ่งที่ท่านกำลังค้นหา”
แม้ว่าจะไม่มีใครเอ่ยปากตอบ แต่บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความเข้าใจ ที่ไม่ต้องใช้คำพูด ลีโอมองตามไครัซที่กำลังเดินออกจากโรงเหล้า เขาสังเกตเห็น ความมุ่งมั่นในแววตาของเขา ชายผู้นี้พร้อมจะทำทุกอย่างเพื่ออาร์วิน แม้ว่ามันจะเป็นการต่อสู้ ที่เต็มไปด้วยความโหดร้ายก็ตาม
เมื่อไครัซเดินลับไปจากสายตา ลีโอหันกลับมามองอาร์วิน เขารู้สึกถึงความเงียบที่แปลกประหลาด “ท่านแค่สั่งให้เขาไป แบบนี้ก็ได้หรือ?”
“ไครัซเป็นคนที่ข้าไว้ใจที่สุดในอาณาจักรและข้าเชื่อว่าเขาจะทำตามที่สั่งได้ สิ่งที่เขาจะพบอาจไม่ใช่คำตอบที่ข้าอยากได้” อาร์วินยกแก้วเหล้าขึ้นมา และดื่มมันจนหมด “แต่อย่างน้อย ก็น่าจะมีอะไรให้เขาทำ ดีกว่าแค่บอกลากันเฉยๆ”
ลีโอฟังแล้วนั่งคิดเงียบๆ เขาไม่เข้าใจความซับซ้อนทั้งหมดที่กำลังเกิดขึ้น ทั้งเรื่องอาณาจักรมาร และสงครามที่ฝ่ายมนุษย์เชื่อว่าพวกตนชนะไปแล้วก็ด้วย
หลังจากการแยกทางกับไครัซ ทั้งอาร์วินและลีโอตัดสินใจที่จะออกจากโรงเหล้า พวกเขาเดินผ่านถนนที่เงียบสงบของเมืองในยามค่ำคืน อากาศที่เริ่มเย็น และความเงียบรอบตัว ทำให้ลีโอเริ่มคิดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในวันนี้
“ท่านดูเหมือนจะไม่กังวลเลยนะ” ลีโอพูดขึ้นหลังจากเดินเงียบไปสักพัก “เรื่องที่ไครัซพูดเกี่ยวกับอาณาจักรมาร และการเคลื่อนไหวของพวกนั้น… ท่านคิดว่ามนุษย์อย่างพวกข้าควรจะกังวลไหม?”
อาร์วินหยุดเดินเล็กน้อย หันไปมองลีโอด้วยรอยยิ้มที่ดูสงบนิ่ง “ข้ารู้ว่ามันฟังดูร้ายแรง แต่การเคลื่อนไหวของพวกมัน เป็นเรื่องที่คาดเดาได้อยู่แล้ว เจ้าคิดว่าพวกปีศาจจะยอมอยู่นิ่งๆ ไหมล่ะ หลังจากที่ข้าหายตัวไป? ทุกคนต่างแย่งชิงกัน เพราะพวกเขาคิดว่ามันเป็นทางเดียวที่จะได้ครองอำนาจ”
ลีโอฟังคำพูดนั้นและเริ่มเข้าใจว่า ทำไมอาร์วินถึงไม่รีบร้อน การมีชีวิตในฐานะจอมมาร และผ่านสงครามมานาน คงทำให้อาร์วิน เข้าใจสัจธรรมของการต่อสู้ และความโลภในอำนาจดีกว่าใครทุกคน
“แล้วท่านไม่กลัวว่า พวกเขาจะก่อสงครามขึ้นอีกหรือ?” ลีโอถามด้วยความสงสัย “ถ้าพวกเขาตัดสินใจ เริ่มสงคราม มันจะส่งผลกระทบ กับมนุษย์ และดินแดนนี้อย่างแน่นอนนะ”
อาร์วินหยุดเดินอีกครั้ง สายตาของเขามองไปที่ท้องฟ้าที่มืดสนิท “ฝ่ายมนุษย์อย่างพวกเจ้า ก็คงไม่โง่พอที่จะคิดว่า จัดการข้าได้คนหนึ่ง แล้วทุกอย่างมันจะจบลงง่ายๆ หรอก ใช่ไหม?”
ลีโอไม่แน่ใจนักว่าควรจะตอบคำถามนั้นยังไงดี “แต่ข้ารู้มาว่า พวกคนในอาณาจักรน่าจะเข้าใจว่าสงครามกับปีศาจได้จบลงแล้ว พวกเขาถึงขนาดที่จัดงานฉลองยิ่งใหญ่เลยเมื่อหลายเดือนก่อน”
“ถ้าไม่ทำอย่างนั้น พวกทหารและผู้คน ก็จะไม่มีทางรู้สึกว่า ชีวิตจะกลับมาสงบสุขได้น่ะสิ” อาร์วินตอบขึ้นมา “การเป็นผู้นำ ส่วนหนึ่ง มันก็คือการแสดงล่ะนะ พวกเจ้าก็ยังไม่ได้ถอนกำลังทั้งหมด ออกมาจากชายแดนนี่”
คำพูดของอาร์วินเต็มไปด้วยความมั่นใจที่ทำให้ลีโอรู้สึกสงบขึ้นบ้าง แม้ว่าในใจของเขายังคงมีความกังวลอยู่ “แล้วเราควรทำยังไงต่อ? ถ้าลืมเรื่องพวกมารไป เรื่องที่เราไปเจอมามันคืออะไร? เรายังไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง”
อาร์วินหันมามองลีโอ ก่อนจะตอบด้วยน้ำเสียงสบายๆ “ก่อนอื่น ต้องหาที่นอนสบายๆ แล้วก็ดนตรีดีๆ แล้วก็ทำให้หัวโล่งๆ ซะก่อน”
ลีโอยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบนั้น “แค่นั้นเนี่ยนะ? ไม่เห็นว่า จะช่วยแก้ปริศนาตรงไหน”
อาร์วินหัวเราะเบาๆ “ข้าคงไม่ใช่จอมมารเจ้าแผนการ ที่เจ้าจินตนาการสินะ?”
“ไม่ใช่เลย” ลีโอตอบพลางหัวเราะตาม “แต่ข้าก็ไม่เคยคิดว่าจะมีโอกาส ได้พูดคุยกับจอมมารเหมือนกันในชีวิตนี้”
ทั้งสองหัวเราะพร้อมกันก่อนจะเดินต่อ ไปในเส้นทางที่ทอดยาวออกจากเมือง ยามค่ำคืนเงียบสงบ แต่ภายใต้ความเงียบนั้น ก็ยังเต็มไปด้วยปริศนา และความลับที่ยังไม่ได้รับการไข ทั้งสองคนรู้ดีว่ายังมีเรื่องราวอีกมากมาย ที่รอคอยอยู่ข้างหน้า
และนั่น คือเรื่องราวเริ่มต้น ของการเดินทางของจอมมาร และเด็กหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้นเอง…