การเดินทางของผมกับจอม(มาร)ปราชญ์ผู้อยากเที่ยวรอบโลก - ตอนที่ 12 ถนนสายต่อไป
ลีโอและอาร์วินมาถึงป้อมปราการ ที่ตั้งอยู่ในเขตปราสาทของเมืองลูเมนฟอร์ด ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ใช้ฝึกซ้อมของเหล่าอัศวิน บริเวณนี้ตั้งอยู่บนยอดของเนินที่สูง และสามารถมองเห็นทั้งตัวเมืองที่ตีนเนิน เสียงกระทบของโลหะ จากการฝึกซ้อมของเหล่าทหารและอัศวินที่อยู่ใกล้ๆ กังวานไปทั่วลาน
บรรยากาศรอบๆ ลานฝึกเต็มไปด้วยความขึงขังและจริงจัง นักรบหลายคนกำลังฝึกซ้อมอย่างเข้มข้น ภายใต้ดวงอาทิตย์ที่เริ่มคล้อยลงทางตะวันตกในช่วงบ่ายแก่ๆ บางคนสวมชุดเกราะเต็มตัว เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมในการเคลื่อนพล ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ ตามคำสั่งของผู้บัญชาการ
“พร้อมไหม?” ลีโอหันไปถามอาร์วิน พลางสูดหายใจลึกเพื่อเตรียมตัว
อาร์วินยิ้มตอบ “ก็แค่ไปถามข่าวคราวเองนี่ ไม่เห็นต้องเครียดเลยนี่นา”
ทั้งคู่เดินเข้าไปใกล้กับรองหัวหน้ากองอัศวินเซเรน่า สายตาของเหล่าอัศวินที่อยู่รอบๆ จับจ้องไปที่พวกเขา แต่พวกก็ไม่มีใครเอ่ยปากทักทาย หรือแสดงท่าทีใดๆ เมื่อทั้งคู่เข้ามาใกล้พอ เซเรน่าหยุดการฝึกซ้อม และหันมาเผชิญหน้ากับลีโอและอาร์วิน ด้วยท่าทีไม่ค่อยไว้วางใจ
“พวกเธอสองคนอีกแล้วเหรอ?” เซเรน่ากระตุกคิ้วเล็กน้อย ปกติแล้วเธอเป็นคนสุขุม จริงจัง และเชื่อถือได้ แต่ไม่รู้ว่าทำไมสองสามวันให้หลังมานี้ หลังจากเจอชายทั้งสองคน เธอกลับมีเรื่องให้ต้องหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา “ถ้าไม่ได้จะมาแจ้งเบาะแสเรื่องปีศาจล่ะก็ ฉันแนะนำว่าอย่ามาป้วนเปี้ยนแถวๆ ป้อมปราการจะดีกว่านะ”
“ไม่ต้องกังวลไปหรอกขอรับ ท่านอัศวิน” อาร์วินฉีกยิ้มกว้างอย่างมีเลศนัย “เรากำลังจะเดินทางออกจากเมืองนี้ ในเร็วๆ นี้นั่นแหละ”
“งั้นเหรอ? ก็ดี… แต่จริงๆ ไม่ต้องมาบอกลาก็ได้นะ พวกเราไม่ได้รู้จักมักจี่กันขนาดนั้นนี่” เซเรน่าถอดถุงมือเหล็กที่ใช้ซ้อมออก ก่อนจะหยิบผ้าขนหนูมาเช็ดเหงื่อที่ชุ่มอยู่บนมือทั้งสอง และคอของเธอ “แต่ไหนๆ ก็มาแล้ว ขอถามหน่อยได้ไหม ว่าจะไปที่ไหนกันต่อน่ะ?”
“เอิ่ม…” ลีโอส่งเสียงออกมาอย่างเป็นกังวล จริงอยู่ที่เขาจะต้องเดินทางต่อแน่ๆ แต่ว่าจะไปที่ไหนนั้น คงยังตอบไม่ได้ตอนนี้ “นั่นล่ะครับ เราเลยต้องมาปรึกษาท่านน่ะ”
อัศวินสาวหมวดคิ้วจนแทบจะมัดมันเป็นปมเอาไว้ได้ แต่เธอก็ไม่ได้ใช้เวลานานนัก ก่อนที่จะเข้าใจว่าทั้งสองต้องการอะไร แน่นอนว่าในฐานะอัศวินศักดิ์สิทธิ์ กองกำลังของเธอซึ่งเข้ามาควบคุม กำลังทหารของลูเมนฟอร์ดในเวลานี้ เธอเป็นผู้ที่รับรู้ข้อมูลเกี่ยวกับการเคลื่อนไหว ของสิ่งมีชีวิตชั่วร้ายในเขตแดนมนุษย์โดยรอบทั้งหมด และแน่นอนว่าพวกเขาสองคน ก็ไม่ใช่กลุ่มแรก ที่จะเข้ามาหาเธอเพื่อข้อมูลเหล่านี้ มันเป็นเรื่องปกติของนักผจญภัยอยู่แล้ว ที่จะมาขอข้อมูลกับผู้มีอำนาจทางการทหาร ของเมืองที่ตนกำลังปฏิบัติภารกิจอยู่
เซเรน่าพาสองคนเข้าไปในที่ร่ม ก่อนที่ลีโอจะเล่าเรื่องราวคร่าวๆ เท่าที่ควรจะเปิดเผยได้ ให้เธอฟัง ทั้งพวกอาวุธของก๊อบลิน ไฟมังกร และเบาะแสที่บ่งชี้ว่า มังกรอาจจะไม่ได้อยู่ไกลจากเมืองนี้มากนัก แน่นอนว่าเธอก็รับฟังไว้พอเป็นพิธี
“ข้าไม่รู้ว่าทำไม พวกเจ้าถึงสนใจเรื่องมังกรขึ้นมากระทันหัน ไม่ใช่ว่าคณะเดินทางนี่ก็มีกันอยู่แค่สองคนหรอกหรือ?” เซเรน่าพูดขึ้นขณะที่พวกเขานั่งลงที่โต๊ะรับรอง “ตั้งเป้าง่ายๆ กันก่อนไหม? เช่นพวกก๊อบลิน หรือโจรป่า… อะไรแบบนั้นน่ะ”
“นั่นแหละที่เราต้องการรู้” อาร์วินตอบกลับ “มีข่าวเกี่ยวกับ การโจมตีของพวกก๊อบลินบ้างไหม?”
เซเรน่ามองเขาด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความระแวงระวัง “ตอบว่าไม่มีเลยก็คงโกหก… แต่ข้าต้องรู้ก่อนว่าพวกเจ้าอยากจะรู้ไปทำไม?”
“นักเดินทางอย่างพวกเรา จะเดินทางไปไหน ท่านคงไม่ต้องรู้ทุกเรื่องกระมัง” อาร์วินกล่าวขึ้นมา เหมือนเป็นเชิงท้าทาย แม้ในน้ำเสียงจะไม่มีความปฏิปักษ์ก็ตาม
“มันเป็นเรื่องราวทางการทหาร ข้าอยากแน่ใจก่อน ว่าพวกเจ้าจะไม่เอาข้อมูลนี้ไปทำอะไรแปลกๆ” เธอตอบกลับมา เหมือนว่าจะไม่ได้รู้สึกถึงคำที่ดูท้าทายนั้น
ลีโอรีบพยายามหาข้ออ้างที่ดูฟังขึ้น มาเพื่อให้เธอลดความสงสัยลง “เรามีเป้าหมายว่าจะเดินทางไปทาง ตะวันตกเฉียงใต้น่ะ เลยอยากรู้ว่าทางใต้ หรือทางตะวันตก มีเมืองหรือหมู่บ้านไหนต้องการความช่วยเหลือบ้างไหม?”
“ย- ยังไงซะ นักผจญภัยก็ต้องตามกลิ่นของเกียรติยศและชื่อเสียง ใช่ไหมล่ะขอรับ?” ลีโอทำท่าเหมือนกับว่าเขาอยากจะออกไปต่อสู้อย่างเต็มแก่
เซเรน่ายังมองทั้งคู่อย่างไม่ไว้ใจ เธอไม่น่าจะซื้อคำอธิบายของเขานัก แต่ถึงอย่างนั้น เธอก็หยิบม้วนแผนที่กางออกมา “เมื่อสองสามสัปดาห์ก่อน มีรายงานจากหมู่บ้านสไตน์โฮล์ม ทางใต้ของเมืองนี้ เดินทางประมาณสี่วัน รายงานระบุว่ามีการเคลื่อนไหวของก๊อบลินเพิ่มขึ้น…”
“ช่วงสัปหาห์ให้หลังมานี้ บารอนที่ดูแลพื้นที่ หยุดส่งรายงานเกี่ยวกับเรื่องนี้มา ไม่รู้ว่าเพราะปัญหามันหายไปแล้ว หรือว่ายังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง” เซเรน่าชี้ไปตามแผนที่ บริเวณที่มีการรายงานแปลกๆ ให้ทั้งคู่ดู
“สไตน์โฮล์ม… ถ้ามีบารอนเป็นของตัวเอง ก็น่าจะเป็นหมู่บ้าน ที่เกือบจะเป็นเมืองขนาดย่อมๆ” ลีโอพึมพำกับตัวเอง
ในขณะที่เซเรน่ากำลังจะพูดต่อ อาร์วินก็แทรกขึ้นมาด้วยรอยยิ้มยียวน “ท่านคิดว่ามังกรจะอยู่ที่นั่นหรือเปล่า? รอบๆ หมู่บ้านที่ว่านั่น”
เซเรน่าหันไปมองอาร์วิน ดูเธอจะไม่พอใจกับท่าทีของเขานัก “ถ้ามันจะมีมังกรจริงๆ แล้วทางบารอนผู้ดูแลพื้นที่รู้ เขาก็คงไม่มีเหตุผล ที่จะปิดบังอัศวินศักดิ์สิทธิ์อย่างข้าหรอกจริงไหม?”
อาร์วินยิ้มตอบ “แปลว่าทั้งเขา และท่าน ก็ไม่รู้เหมือนกันสินะ?”
บรรยากาศในห้องนั้นตึงเครียดขึ้นเล็กน้อย หลังจากที่อาร์วินแหย่เซเรน่า ลีโอเหล่มองไปที่อาร์วินก่อนจะหันกลับไปหาเซเรน่า และพยายามดึงบทสนทนากลับเข้าสู่ประเด็นหลัก
“แล้วที่สไตน์โฮล์มมีข้อมูลอะไรเพิ่มเติม อีกไหมครับ?” ลีโอถามอัศวินหญิง
เซเรน่าครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนตอบ “หมู่บ้านนั้นถูกโจมตีหลายครั้ง ในช่วงเดือนที่ผ่านมา แลบารอนประจำพื้นที่ ก็รายงานว่าเห็นก๊อบลินหลายกลุ่ม เข้ามาใกล้เขตหมู่บ้าน ไม่มีข่าวหรือเบาะแสชี้นำอื่นๆ แต่ก็ทำให้การค้าขายแถบนั้น ชะลอตัวลงพอสมควร”
ลีโอพยักหน้าตอบ “บางทีถ้าเราไปที่นั่น อย่างน้อยถ้าไม่เบาะแสของมังกร ก็อาจจะได้ช่วยจัดการพวกก๊อบลินที่รัควาญผู้คนอยู่”
เซเรน่าพยักหน้า แม้เธอจะไม่ค่อยเชื่อใจอาร์วินนัก แต่สำหรับเธอ ลีโอดูจะเป็นคนที่คุยด้วยรู้เรื่องคนหนึ่ง “ก็ดี ถ้ามีกำลังของนักผจญภัย คอยจัดการเรื่องนี้ให้ กำลังทหารของลูเมนฟอร์ด จะได้มุ่งเป้าไปยังเรื่องที่สำคัญกว่า”
“แต่ระวังตัวไว้ด้วย พวกก๊อบลินอาจดูเหมือนสิ่งมีชีวิตชั้นต่ำ แต่เมื่อรวมตัวกันมากๆ พวกมันก็อันตรายไม่น้อย” อัศวินหญิงกล่าวเตือนนักเดินทางทั้งสอง
“ขอบคุณสำหรับข้อมูลขอรับ” ลีโอลุกขึ้นแล้วโค้งศีรษะให้เซเรน่าเล็กน้อย “เช่นนั้นเราก็คงไม่รบกวนพวกท่านแล้ว”
ก่อนที่ทั้งคู่จะเดินออกจากห้อง อาร์วินยิ้มกว้างและหันไปพูดทิ้งท้ายกับเซเรน่า “ขอให้ท่านหญิงเจอปีศาจที่ตามหาเร็วๆ นะขอรับ”
เซเรน่าจ้องเขาเขม็งด้วยความไม่พอใจ แต่พยายามข่มใจไว้ให้ไม่ตอบโต้อะไร ส่วนลีโอก็รีบจูงแขนอาร์วินออกจากป้อมปราการอย่างรวดเร็ว ก่อนจะเกิดเรื่องไม่พึงประสงค์ขึ้น
เส้นทางสู่หมู่บ้านสไตน์โฮล์มทอดยาวตัดผ่านป่าทางใต้ของลูเมนฟอร์ด และทุ่งหญ้าที่ไกลสุดลูกหูลูกตา ระหว่างการเดินทางไม่ได้มีอะไรที่แปลกแตกต่าง จากการเดินทางระหว่างหมู่บ้านและเมืองทั่วไปนัก นอกจากผ่านแนวป่า และที่รกร้างแล้ว ก็ยังเป็นเส้นทางผ่านหมู่บ้านเล็กๆ สองสามแห่งด้วย
ระหว่างที่พักอยู่ในหมู่บ้านทางผ่าน ลีโอและอาร์วินพบกับขบวนพ่อค้า ที่มีทหารรับจ้างคอยคุ้มกัน พวกเขาเดินทางสวนกับเส้นทางที่ทั้งคู่เดิน กำลังมุ่งตรงไปยังลูเมนฟอร์ด พ่อค้าและทหารเหล่านี้ดูระแวดระวัง และดูเหมือนจะผ่านการต่อสู้ปะทะมาบ้างเล็กน้อยระหว่างทาง แต่เมื่อลีโอและอาร์วินถามเรื่องเส้นทางและพวกก๊อบลิน พวกเขาก็ไม่ได้ปิดบังข้อมูลใดๆ และเปิดโอกาสให้พูดคุยแลกเปลี่ยนกัน
ลีโอถามถึงข่าวคราวที่พวกเขาได้ยิน เกี่ยวกับก๊อบลินที่อาจจะดักโจมตี ขบวนสินค้าโดยรอบ ทหารรับจ้างคุ้มกันนายหนึ่งยืนยันว่า ข่าวลือนั้นเป็นความจริง และพวกเขาก็เพิ่งผ่านการปะทะกับพวกมันมาเช่นกัน
“พวกมันไม่ได้รวมกลุ่มกันใหญ่มากนัก แต่จะบุกโจมตีในเวลากลางคืน” ทหารคนหนึ่งกล่าวให้ข้อมูล พร้อมทั้งบอกสัญญาณก่อนที่พวกมันจะเริ่มโจมตี
“มีพ่อค้ากลุ่มอื่นบอกว่า เมื่อเข้าใกล้แนวภูเขาเฟลสไปน์ จะพบพวกมันได้ง่ายขึ้น” ทหารอีกคนชี้ไปที่แนวเขาที่อยู่ไกลลิบๆ “รังของพวกมัน อาจจะอยู่ใกล้กับตรงนั้น”
“อาวุธของพวกมันแปลกๆ ดูจะเรืองแสงไฟอ่อนๆ แต่พอเก็บมา วันรุ่งขึ้นไฟก็จางลงแล้ว” พ่อค้าคนหนึ่งกล่าวอย่างเสียดาย “ดูเหมือนจะไม่ใช่อาวุธเวทมนตร์ นึกว่าจะลาภลอยซะแล้ว”
“เจ้าโง่เอ๊ย! ถ้ามันเป็นอาวุธเวทมนตร์จริงๆ พวกเราอาจจะตายกัน ไปซักครึ่งนึงแล้วก็ได้” หัวหน้าคาราวานเอ็ดขึ้นมา
ลีโอกับอาร์วินมองหน้ากัน ดูเหมือนข้อมูลเหล่านี้จะเป็นประโยชน์ทั้งสิ้น และยิ่งข้อมูลเรื่องอาวุธเรืองแสง ยิ่งตรงกับเบาะแสเกี่ยวกับไฟมังกร ที่พวกเขารู้มาก่อนหน้า ดูเหมือนว่าพวกเขาจะมาถูกทาง
ในวันที่สี่ของการเดินทาง พวกเขาเริ่มมองเห็นหมู่บ้านสไตน์โฮล์มอยู่ไกลลิบๆ สายริ้วของควันไฟจากบ้านเรือนเริ่มปรากฏให้เห็นอย่างรางๆ บนท้องฟ้า บ่งบอกให้เห็นว่า ใกล้ๆ นี้เป็นสถานที่อยู่อาศัย ลีโอเริ่มรู้สึกถึงความเหนื่อยล้าที่ก่อตัวขึ้นจากการเดินทางไกลมาเกินครึ่งสัปดาห์ แต่ก็เริ่มใจชื้นขึ้น เมื่อเห็นจุดหมายปลายทางอยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม
ในที่สุด เวลาคล้อยบ่ายของวันนั้น หมู่บ้านสไตน์โฮล์ม ก็ปรากฏกระจ่างชัดต่อสายตาทั้งคู่ ท่ามกลางทุ่งหญ้า แนวชายป่า และเทือกเขาที่ตีขนาบล้อมรอบ ลีโอรู้สึกถึงทั้งความหวัง และความกังวลที่ผสมปนเปกันในจิตใจของเขา อีกเพียงไม่กี่ก้าวเดิน พวกเขาก็จะเข้าสู่เขตของหมู่บ้านเป้าหมายเสียที
ในขณะนั้นเองอาร์วินก้าวเข้ามาข้างๆ และยิ้มให้กับทัศนียภาพที่เห็น “ที่นี่สินะ สไตน์โฮล์ม ดูภายนอกสงบสุขเกินกว่าที่จะเป็นเป้าของทั้งก๊อบลินและมังกรนะ”
เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงประตูทางเข้าหมู่บ้าน ลีโอและอาร์วินก็พบว่า หมู่บ้านสไตน์โฮล์มมีบรรยากาศเงียบสงบไม่ต่างจากหมู่บ้านเล็กๆ อื่นๆ ตัวอาคารบ้านเรือนมีทั้งก่อสร้างขึ้นจากไม้, ดิน และหิน ผสมปนเปกัน และตั้งสะเปะสะปะไปตามแนวถนน แต่ก็ยังดูมีระเบียบเมื่อมองจากภายนอกเข้าไป ถนนสายหลักเป็นถนนดินอัดที่มีเพียงไม่กี่คนเดินผ่านไปมา ที่หน้าประตูรั้ว มีทหารที่ติดตราของบารอนประจำท้องถิ่นยืนประจำการอยู่สองนาย
ทหารคนหนึ่งมองดูนักเดินทางทั้งสองด้วยสายตาเคร่งขรึม ขณะที่ลีโออธิบายว่าพวกเขามาที่นี่ เพื่อพบกับบารอน และอยากจะพูดคุย เรื่องเกี่ยวกับปัญหาก๊อบลินที่พวกเขากำลังเผชิญหน้าอยู่ในขณะนี้
“ช่วยไปแจ้งบารอนได้หรือไม่ครับ? ข้าอาจจะเข้าไปพบกับท่าน ในวันพรุ่งนี้ตอนเช้า” ลีโอล้วงเข้าไปในกระเป๋า และหยิบจดหมายขึ้นมา “ส่วนนี้เป็นจดหมายยืนยันตัวของข้า”
ยังไม่ทันที่ลีโอจะยื่นจดหมายในมือให้ ทหารที่เฝ้าประตูทั้งคู่ก็พยักหน้าให้กัน ก่อนจะเปิดทางให้พวกเขาทั้งสอง ผ่านเข้าไปในหมู่บ้าน โดยไม่มีคำถามอะไรมากไปกว่านั้น
“เข้าไปได้” ทหารเฝ้ายามชี้ทางให้ทั้งคู่ “ท่านบารอนอยู่ที่เรือนคฤหาสน์ กลางหมู่บ้าน อาคารทั้งหลังทำจากหินตัด พวกท่านไม่มีทางหลงหรอก”
“เอ๋? ไม่ตรวจจดหมายหน่อยรึครับ?” ลีโอสงสัย แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ดึงจดหมายกลับมาเก็บในกระเป๋าเดินทางตามเดิม “แล้วจะให้พวกเราเข้าไปเลยเนี่ยนะ? พวกท่านไม่ต้องพาเราเข้าไปหรือ?”
ทหารยามข้างหน้าส่ายหน้า “ไม่จำเป็น ช่วงนี้ท่านบารอนฟอร์ทิสมีแขก เข้าออกอยู่มาก ขอแค่ไปสั่นกระดิ่งหาที่คฤหาสน์ในเวลาเช้าก็พอ”
ลีโอดูจะสับสนอยู่บ้าง นี่อาจจะเป็นครั้งแรกเลยที่เขาสามารถเข้าไปหาขุนนางได้ โดยที่ไม่ต้องมีทหาร หรือหน่วยคุ้มกันความปลอดภัย ยืนยันตัวตนของเขา หรือตามไปถึงสถานที่พบเจอ แต่ถึงอย่างนั้น ทั้งคู่ก็คงไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก ดีเสียอีกที่จะได้ไม่ต้องมีพิธีรีตองมากมาย
ทั้งคู่เดินตามเส้นทางไปจนถึงบ้านหลังใหญ่ที่ตั้งอยู่กลางหมู่บ้าน บ้านหลังนี้คงจะเป็นของบารอนฟอร์ทิส ขุนนางเจ้าถิ่นอย่างไม่ผิดแน่ ทั้งอาคารถูกล้อมด้วยรั้วหินสูงศรีษะ และตัวอาคารมีความสูงเพียงสองชั้น และอาจจะมีห้องโถงต่างๆ ประมาณสิบกว่าห้องเท่านั้น หากมองจากภายนอก แน่นอนแม้ว่าจะใหญ่โตโอ่อ่ากว่าบ้านเรือนหลังอื่นรอบๆ ด้วยวัสดุจากหินภูเขา ที่ตัดเป็นก้อนอิฐทั้งหลัง แต่เทียบกับคฤหาสน์ของขุนนางอื่นๆ แล้ว ก็เรียกได้ว่าเป็นคฤหาสน์ที่เล็ก และสมถะพอตัวเลยทีเดียว
“น่าสนใจ… ข้าไม่ค่อยได้เข้ามาในหมู่บ้านเล็กๆ แบบนี้เสียด้วย” อาร์วินเฟรยขึ้นมาระหว่างมองผ่านรั้วไป “แต่นี่จะไม่เล็กไปหน่อยหรือ? สำหรับผู้ปกครอง”
“ข้าก็แปลกใจเหมือนกัน แต่รอบๆ ก็ไม่มีอาคารหินตัดอื่นๆ พวกทหารก็บอกว่าเราไม่น่าจะหลงได้” ลีโอพูดขึ้นมา ก่อนจะมองไปที่หน้าประตูรั้วที่ทำจากไม้เก่า ข้างหน้านั่นมีระฆังเล็กๆ แขวนเอาไว้อยู่ “เราคงต้องให้สัญญาณเสียหน่อย คนใช้ในบ้านจะได้ออกมาต้อนรับ”
ยังไม่ทันที่ลีโอจะเดินเข้าไปสั่นกระดิ่งตรงหน้า จู่ๆ ก็มีเสียงทุ่มต่ำ ร้องเรียกดังมาจากส่วนหย่อมข้างหน้าบ้าน “เข้ามาได้เลย ไม่ต้องเคาะหรอก” เสียงนั้นดังขึ้น ก่อนศรีษะของชายวัยกลางคนไว้เคราหนาผู้หนึ่ง จะโผล่เลยความสูงของกำแพงหินขึ้นมา “เสียงมันดังแสบแก้วหูน่ะ”
ทั้งอาร์วินและลีโอมองหน้ากันครู่หนึ่ง ระหว่างที่ชายคนนั้นตรงปรี่ไปที่ประตูรั้ว และเปิดมันให้กับพวกเขาทั้งคู่ เมื่อประตูเปิดออก ร่างกายที่ใหญ่โตของชายผู้นั้นก็ปรากฏมาให้เห็นแบบเต็มตา เขาใส่ชุดทำงานแบบคนสวน พร้อมกับที่มือเปรอะเปื้อนไปด้วยเศษดินโคลน
“ขออภัยที่รบกวนนะครับ เราจะมาหาท่านบา-” ลีโอพยายามแจ้งธุระของเขากับชายร่างใหญ่ แต่ก็ถูกตัดบทขึ้นมาก่อน
“เข้าไปข้างในก่อน” ชายคนนั้นชี้เข้าไปในบ้าน ก่อนจะเดินนำทั้งคู่เข้าไปในอาคาร
ทั้งคู่ถูกพามาที่ห้องรับแขก ซึ่งมีเฟอร์นิเจอร์ไม้เนื้อแข็งที่ดูเรียบง่าย ไร้ลวดลายพิเศษ ทั้งโต๊ะและเก้าอี้ถูกจัดวางอย่างเป็นระเบียบ แต่ไม่มีเครื่องประดับตกแต่งที่บ่งบอกถึงสถานะทางสังคมสำหรับขุนนาง ที่ผนังมีเพียงตะเกียงน้ำมันสองสามดวง และภาพวาดวิวทิวทัศน์สีน้ำมันดิน ที่ซีดจางตามอายุและกาลเวลาที่มันผ่านมา แม้ว่าบารอนจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่สูงนัก แต่สถานที่นี้ก็ดูจะเรียบง่ายเกินไปสำหรับขุนนางอยู่ดี
ชายร่างใหญ่เดินออกจากห้องไปหลังเห็นทั้งคู่นั่งลงที่โต๊ะรับแขกแล้ว ลีโอได้ยินเสียงอู้อี้ผ่านกำแพงหิน น่าจะเป็นการพูดคุยเสียงดังที่ทะลุผ่านเข้ามา ไม่นานนักก็มีหญิงสูงวันคนหนึ่งยกกาน้ำและแก้วเล็กๆ มาให้กับทั้งคู่ ก่อนจะโค้งให้อย่างสุภาพ
“น้ำชาเจ้าค่ะ” หญิงชรากล่าว ก่อนจะวางแก้วและรินชาจากกาให้กับทั้งสอง ก่อนจะที่นางจะไปยืนอยู่มุมห้อง ดังเช่นคนรับใช้ทั่วไปพึงกระทำ