การเดินทางของผมกับจอม(มาร)ปราชญ์ผู้อยากเที่ยวรอบโลก - ตอนที่ 1 เส้นทางที่มาบรรจบกัน
แสงแดดยามบ่ายแก่ๆ ส่องผ่านท้องฟ้าที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีส้ม ในขณะที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ลีโอฟริก วาเลมอนต์ หรือที่คนรู้จักมักเรียกเขาว่า ลีโอ กำลังเดินทางไปตามถนนดินที่ตัดผ่านแนวป่า แม้พื้นจะดูเรียบพอให้รถม้าวิ่งผ่านได้สะดวก แต่เขากลับไม่เห็นใครสัญจรผ่านไปมา มาตั้งแต่เมื่อวานตอนเช้าแล้ว
ลีโอรู้สึกได้ถึงความเหนื่อยล้าในขณะที่เขาเดินไปตามทาง เขาปรับน้ำหนักของกระเป๋าที่สะพายอยู่บนหลังเล็กน้อย เพื่อให้น้ำหนักกลับมากดอยู่บนไหล่ และไม่ทำให้แผ่นหลังล้าเกินไป
“ถ้าเรายังไม่เจอที่พักคืนนี้ก็แย่แน่” เขาพึมพำกับตัวเอง ถึงใจจริงจะรู้ว่า การหาที่พักที่ปลอดภัยในเส้นทางที่ห่างไกลจากเมืองเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย แม้เส้นทางที่เขาเดินนี้ จะเชื่อมต่อระหว่างเมืองใหญ่สองเมือง แต่มันก็ยังนับได้ว่าเป็นทางลัด ตัดผ่านแนวป่าเขาห่างไกลผู้คนอยู่ ความเงียบงันนี้ทำให้เขารู้สึกไม่สบายใจ โดยปกติแล้วจะต้องมีทหารลาดตระเวน พอให้เห็นบ้างบนถนนหนทาง แต่เขาไม่เห็นพวกนั้นมาหลายวันแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณที่ไม่ดีเท่าไรนัก
ขณะที่เขายังเดินต่อไป ความคิดของเขาเริ่มกลับไปถึงช่วงก่อนหน้านี้ไม่นาน ช่วงที่เขายังมีกลุ่มนักผจญภัยที่ร่วมเดินทางไปด้วยกัน ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพวกนั้น ก็ไม่ได้ยั่งยืนอย่างที่เขาหวังไว้
เหตุการณ์ที่ทำให้เขาต้องออกจากกลุ่ม เริ่มต้นเมื่อพวกเขา เดินผ่านซากของรถม้าของ ‘กลุ่มกงล้อ’ ที่พังอยู่ข้างทาง ทั้งรถม้าและพื้นที่ถนนโดยรอบนั้น เต็มไปด้วยร่องรอยของการถูกโจมตี แต่ที่น่าสงสัยคือไม่มีร่างของคนขับ หรือผู้โดยสารให้เห็นในบริเวณนั้นเลย
“เราควรแจ้งให้กิลด์ หรือเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นรู้เรื่องนี้” เป็นเขาเอง ที่เสนอความคิดเห็นอย่างจริงจังในตอนนั้น
เพื่อนร่วมทางคนหนึ่งมองเขาด้วยความไม่พอใจ “ไร้สาระสิ้นดี” หนึ่งในนั้นกล่าว “มันก็แค่รถม้าพังๆ ข้างทางที่ไม่มีประโยชน์กับเจ้าของเดิมแล้ว มาช่วยกันหาของที่ยังพอมีค่ากันดีกว่า”
“นี่มันของของกลุ่มกงล้อ… พวกเขาเป็นสมาคมพ่อค้า ที่ลงทะเบียนอย่างถูกต้อง และมีเครือข่ายใหญ่ทั่วทั้งทวีป” ลีโอรู้สึกถึงความไม่ถูกต้อง “เราไม่ควรขโมยจากพวกเขา นี่ไม่ใช่รังของสัตว์ประหลาด หรือดันเจี้ยนที่ไม่มีเจ้าของนะ”
“เดือดร้อนอะไร? แค่ของจากซากเหลือๆ ไม่ทำให้พวกนั้นจนลงหรอกน่า… อีกอย่าง เราไม่ใช่คนโจมตีสักหน่อย ก็แค่เก็บของที่พอมีประโยชน์ไปใช้ แค่นั้นเอง” อีกคนแย้งขึ้นมา พยายามให้เหตุผลกับเขา “อย่าทำตัวเป็นพวกผู้ดีไปหน่อยเลยน่า ลีโอ นักผจญภัยก็ต้องมีทำแบบนี้กันบ้างนั่นแหละ”
การขัดแย้งนี้คงจะเป็นฟางเส้นสุดท้ายสำหรับพวกนั้น ลีโอยืนกราน ที่จะไม่เข้าร่วมการขโมยของ แต่ผลที่ตามมาคือเขาถูกบีบให้ต้องออกจากกลุ่ม ไม่มีใครต้องการคนที่เอาแต่คิดเรื่องศีลธรรม ในกลุ่มนักผจญภัย
และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้เขาอยู่ที่นี่ เดินทางคนเดียวในเส้นทางที่ไร้ผู้คน
อากาศใต้ร่มเงาของแมกไม้ในป่าเย็นลงเล็กน้อย เขากระชับเสื้อคลุมให้แน่นขึ้น ขณะที่ดวงอาทิตย์ใกล้จะลับขอบฟ้า ลีโอถอนหายใจ รู้สึกถึงความเหนื่อยล้า ที่เพิ่มขึ้นในทุกก้าวที่เขาเดินต่อไป
ในจังหวะที่พระอาทิตย์เริ่มหลบลงไปหลังแนวต้นไม้หนาทึบ ลีโอเหลือบไปเห็นแสงไฟจากระยะไกล ความหวังเล็กๆ ก่อขึ้นในใจของเขา อาจจะเป็นกลุ่มนักเดินทางที่ตั้งแคมป์อยู่ตรงนั้น หรือไม่ก็พวกพ่อค้าเร่ แต่ถ้าจะให้ดีเลย ควรจะเป็นหน่วยลาดตระเวนของขุนนางสักคนในแถบนี้
ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม การพักแรมกับคนอื่น ต้องปลอดภัยกว่าอยู่คนเดียวแน่ๆ การเดินทางผ่านเส้นทางป่าที่เงียบสงัด และต้นไม้สูงใหญ่บังแสงอาทิตย์ ทำให้เขารู้สึกขนลุกอย่างบอกไม่ถูก
ลีโอตัดสินใจเดินไปหาอย่างไม่รอช้า แต่เมื่อเขาเข้าไปใกล้แหล่งกำเนิดแสง เขากลับพบว่ามีเพียงชายคนเดียวที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ
ชายที่นั่งข้างกองไฟนั้นสวมเสื้อคลุมยาว หน้าตาของเขา ไม่ได้ดูเหมือนกลุ่มคนที่ลีโอ คาดหวังว่าจะเจอในเส้นทางนี้เท่าไหร่นัก หูของชายในชุดสะอาดสะอ้านตรงหน้า มีรูปทรงคล้ายใบไม้ เชิดออกมาจากปอยผมตรงยาวสีเงิน แต่มันก็ไม่ได้แหลมยาว เหมือนกับใบหูของพวกเอล์ฟที่เคยเห็นมาบ้าง ในการผจญภัยของเขา เขาอาจจะเป็นลูกครึ่งหรือเปล่า ลีโอก็ไม่แน่ใจนัก
แสงไฟส่องลงบนใบหน้าของเขา ที่ดูสงบนิ่ง เขาดูไม่วิตกกังวล หรือระแวดระวังเลยแม้แต่น้อย แม้ลีโอจะย่างกรายเข้ามาในระยะสายตา
ลีโอหยุดมองชายคนนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเข้าไปทักทาย “ขอโทษครับ ท่าน… เดินทางคนเดียวงั้นหรือ?”
ชายคนนั้นยิ้มเล็กน้อย “ใช่ ข้าเดินทางคนเดียว”
ลีโอรู้สึกแปลกใจและสงสัย “เดินทางคนเดียวในป่าแบบนี้ มันอันตรายนะ ทำไมท่านถึงไม่เดินทางกับใครสักคน?”
ชายคนนั้นยักไหล่อย่างไม่ใส่ใจ “ทำไมต้องเดินทางกับใครล่ะ?”
ลีโอรู้สึกว่าคำตอบนั้นช่างแปลกประหลาด เขาคิดว่าทุกคนรู้ดี ว่าการเดินทางคนเดียวนั้นอันตรายแค่ไหน ยิ่งเป็นเส้นทางที่ไม่มีการลาดตระเวน ให้เห็นแบบนี้ด้วยแล้ว “ข้าคิดว่าการเดินทางคนเดียวมันเสี่ยง ท่านไม่กลัวโจร หรืออันตรายจากสัตว์ร้ายหรือ?”
ชายคนนั้นหัวเราะเบาๆ “เจ้าก็เดินทางคนเดียวอยู่นี่ แปลกตรงไหน?”
ลีโอชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาเองก็กำลังเดินทางคนเดียวอยู่เช่นกัน
“ถ้าเลือกได้ ข้าเองก็ไม่อยากเดินทางคนเดียวแบบนี้หรอกนะ” ลีโอตอบ ชายผมยาวตรงหน้าเลิกคิ้วเล็กน้อย เหมือนกับว่าอยากให้เขาเล่าต่อ
“ข้า… ข้าถูกไล่ออกจากกลุ่มนักผจญภัย เมื่อวันก่อนนี้เอง ข้าเลยกำลัง หาทางกลับเมืองใกล้ๆ นี่” ลีโอพูดขึ้นพร้อมกับถอนหายใจ ก่อนจะนั่งลง ตรงฝั่งตรงข้ามของกองไฟ
ชายคนนั้นหันมามองลีโอด้วยความสนใจ “ไล่ออก? ทำไมล่ะ?”
“เราพบซากรถม้าที่ถูกโจมตีของกลุ่มกงล้ออยู่ข้างทาง ข้าคิดว่า เราควรรายงานเรื่องนี้ ให้กับกิลด์หรือผู้ปกครองพื้นที่รู้ แต่พวกเขาคิดว่ามันไร้สาระ และไม่อยากเสียเวลา” ลีโอพูดอย่างระมัดระวัง “อีกอย่าง พวกนั้นกำลังจะขโมยของ ที่อาจจะเหลืออยู่ในรถด้วย ข้าห้ามเท่าไหร่ก็ไม่ฟัง”
ชายคนนั้นฟังเงียบๆ ก่อนจะหัวเราะเบาๆ “น่าสนใจจริงๆ”
ลีโอมองเขาอย่างไม่แน่ใจ เขารู้สึกว่าชายคนนี้กำลังสนุก กับความยากลำบากของตน แทนที่จะให้คำตอบที่จริงจังหรือเห็นใจ หรืออย่างน้อย จะหาว่าเขาเป็นพวกคุณหนูผู้ดี แบบพวกนั้น ก็น่าจะทำให้รู้สึกสบายใจ กว่าการมาหัวเราะเยาะกันแบบนี้
“น่าสนใจ?” ลีโอขมวดคิ้วจนมันแทบจะชนกันเป็นปม “นี่มันเรื่องจริงจังนะ ข้าถูกไล่ออกมา เพราะพยายามทำสิ่งที่ถูกต้อง”
ชายคนนั้นยังคงมีรอยยิ้มเล็กๆ บนใบหน้า “บางครั้ง เรื่องจริงจังที่สุด ก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจที่สุดไงล่ะ”
ลมเย็นยามค่ำคืนพัดเอื่อยๆ ผ่านป่าเข้ามา ทำให้เสียงใบไม้กระทบกันดังเบาๆ ขณะที่ทั้งคู่ยังนั่งข้างกองไฟ ลีโอหันมองไปรอบๆ ต้นไม้สูงใหญ่ที่โอบล้อมเส้นทางนี้ ทำให้แสงจันทร์และแสงดาวที่ควรจะส่องสว่างกลับถูกปิดบังไปเกือบหมด
เขารู้สึกว่าทุกอย่างดูเงียบเกินไปมาตั้งแต่เดินลัดเข้ามาในเส้นทางนี้แล้ว แต่ค่ำคืนเช่นนี้ ยิ่งเป็นสิ่งยืนยันความระแวงของเขาเข้าไปอีก
“แถวนี้เงียบดีนะ” ลีโอพูดขึ้น “แต่ก็เงียบเกินไปหน่อย… ข้าไม่เห็นพวกทหารลาดตระเวนมาหลายวันแล้ว ท่านล่ะ? เห็นพวกนั้นบ้างไหม?”
ชายที่นั่งตรงข้ามกับเขากลับดูไม่กังวลอะไรเลย แม้ว่าลีโอจะแสดงท่าทีกังวล ให้เขาเห็นก็ตาม เขายังคงนั่งอย่างผ่อนคลายและยิ้มเล็กๆ อย่างเดิม
“ใช่ ข้าก็สังเกตเหมือนกัน” ชายตรงหน้าหยิบไม้ชิ่นหนึ่ง เติมเข้าไปในกองไฟ “แต่บางทีความเงียบก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้าย”
ลีโอมองเขาอย่างจดจ่อ “ท่านไม่คิดว่ามันแปลกเหรอ?”
“แปลกยังไงหรือ?” ชายเจ้าของกองไฟตอบ พลางหันมามองลีโอ “บางที ข้าไม่ค่อยคิดอะไรแบบที่คนอย่างพวกเจ้าคิดกันน่ะ ขออภัยด้วย”
คำตอบนั้นทำให้ลีโอรู้สึกแปลกๆ ในใจ แต่เขาก็ไม่ได้ซักไซ้ถามอะไรต่อ เขาเริ่มรู้สึกเหนื่อยล้า จากการเดินเท้ามาทั้งวัน และลมหนาวที่พัดผ่านมาเมื่อครู่ ทำให้เขาเริ่มรู้สึกอยากเอนกายลงพักผ่อน
ในความเงียบที่ตามมา ชายเจ้าของกองไฟดูเหมือนจะจับสังเกตบางสิ่ง ที่ลีโอมองไม่เห็น สายตาของเขามองออกไปในความมืดของป่า ขณะที่ลีโอยังคงนั่งนิ่งอยู่ เขาก็เริ่มรู้สึกถึงความตึงเครียดในอากาศได้ แม้จะไม่เห็นหรือได้ยินอะไร แต่เขากลับรู้สึกได้ว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
“ข้าไม่แน่ใจว่าค่ำคืนนี้จะสงบสุขอีกนานแค่ไหน” ชายคนนั้นพูดขึ้นเบาๆ โดยที่สายตายังคงจับจ้องไปยังทิศทางหนึ่งในป่า
ลีโอหันมามองเขาด้วยความสงสัย “ท่านหมายความว่ายังไง?”
“ดูเหมือนว่าเหล่ายมทูติกำลังเรียกร้องนะ” ชายคนนั้นตอบ ด้วยถ้อยคำประหลาด และน้ำเสียงที่ฟังดูไม่เปลี่ยนจากที่สนทนาเมื่อครู่แม้แต่น้อย
ก่อนที่ลีโอจะทันได้ถามอะไรเพิ่ม เสียงฝีเท้าหนักๆ และเสียงพูดคุยเบาๆ ที่ฟังไม่ชัดเจนก็ดังขึ้นจากป่าที่ล้อมรอบพวกเขา ลีโอตกใจ รีบหันมองรอบตัว และทันใดนั้นเขาก็รู้ว่า กำลังมีกลุ่มคนกำลังเข้ามาใกล้ที่พักแรมนี้
ความเงียบของค่ำคืนถูกทำลายด้วยเสียงของการเคลื่อนไหว จากกลุ่มคนที่พยายามจะไม่ให้ถูกสังเกตเห็น แต่ชัดเจนว่าเสี่ยงการเสียดสีของโลหะ แผ่นหนัง และไม้ กำลังย่างกรายใกล้เข้ามา
เสียงฝีเท้าจากในป่าดังใกล้เข้ามา ลีโอเคลื่อนมือตามสีข้าง ไปกำด้ามดาบที่เหน็บไว้ข้างกาย เขาหันมองไปทางชายที่ยังนั่งอยู่ข้างกองไฟ ด้วยท่าทีผ่อนคลายอย่างผิดประหลาด
“โจร?” ลีโอกระซิบถามเบาๆ
ชายตรงหน้ายิ้มบางๆ แล้วตอบด้วยเสียงที่เรียบเฉย “ก็คงจะใช่ล่ะมั้ง”
ลีโอรู้สึกหวาดหวั่นเล็กน้อย แต่เขาต้องเตรียมพร้อม ที่จะเผชิญหน้ากับสถานการณ์ ฝีเท้าหนักเหล่านั้นเริ่ม ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก่อนที่เงาของกลุ่มคนจะปรากฏขึ้นจากแนวป่า พวกเขาค่อยๆ ล้อมกองไฟ แสงจากไฟทำให้เห็นใบหน้าของที่ถูกปกปิดไว้ด้วยผ้าและฮู้ดหนัง
“พวกเจ้า อย่าขยับ!” หนึ่งในกลุ่มโจรตะโกนขึ้น ขณะที่คนอื่นๆ เข้ามาใกล้ พร้อมอาวุธในมือ ลีโอมองไปรอบๆ กลุ่มโจรมีจำนวนมากกว่าที่เขาคิด น่าจะสักสิบคนได้ พวกมันถืออาวุธต่างๆ ทั้งขวาน ธนู กระบอง และมีดสั้น
“ส่งของมีค่ามาให้หมด แล้วพวกเราจะปล่อยพวกเจ้าไป” โจรคนที่พูดนำขึ้นมา กล่าวต่อไปด้วยเสียงแข็งกร้าวเป็นการข่มขู่
ลีโอดีดตัวลุกขึ้น และชักดาบของเขาออกจากฝัก เขาพยายามระงับความกลัว และเตรียมพร้อมที่จะป้องกันตัว “คิดว่าแค่จำนวนมากกว่าจะชนะหรือไง?” ลีโอกล่าวท้าขึ้นมา แม้หัวใจของเขาจะเต้นระรัว
“อย่าโง่ไปหน่อยเลย!” โจรคนนั้นหัวเราะเยาะ “เจ้าคิดว่าดาบแค่เล่มเดียว จะทำอะไรพวกข้าได้งั้นหรือ?”
โจรคนหนึ่งพุ่งเข้ามาหา ลีโอยกดาบขึ้นรับการโจมตี แล้วตวัดมีดในมือของโจรคนนั้นออกจากวิถีลำตัวของตน ฝีมือดาบของเขาถูกขัดเกลามาบ้าง แม้จะเทียบชั้นไม่ได้กับพวกอัศวินมืออาชีพ แต่ยังไงเสียเขาก็ไม่ได้มาผจญภัยโดยไร้หนทางป้องกันตัว ท่วงท่าของเขาคล่องแคล่ว เขาปัดป้องและโต้กลับด้วยความมั่นใจ โจรสองสามคนที่รีบร้อนพุ่งเข้ามา ก็ถูกผลักกลับและเฉือนเป็นแผลใหญ่ด้วย คมดาบ และวิถีการฟันที่แม่นยำของลีโอ
แต่ถึงกระนั้น การที่จะสู้สิบต่อหนึ่งก็เห็นจะยากเต็มที เมื่อพวกโจรในแนวหลังเริ่มแผลงศรจากคันธนู แม้ลีโอจะหลบออกจากแนวยิงได้ แต่ในที่สุดเขาก็เริ่มเสียเปรียบ เขาหันมามองไปยังชายที่นั่งอยู่ข้างกองไฟ ไม่มีท่าทีว่าจะเข้ามาช่วยเหลือเลยแม้แต่น้อย
“ท่านไม่คิดจะทำอะไรบ้างหรือ? หรือว่า… ท่านเป็นพวกเดียวกับพวกมันน่ะ!?” ลีโอตะโกนถามขณะที่เขาพยายามปัดป้องการโจมตีจากโจรอีกคนหนึ่ง
“เปล่าๆ ข้าไม่รู้จักพวกนี้เลย” อาร์วินยักไหล่ “แต่ทำไมข้าต้องทำอะไรด้วยล่ะ? เจ้าก็ทำได้ดีอยู่นี่”
“ดีกับผีน่ะสิ! เดี๋ยวก็ได้ตายกันหมดหรอก” ลีโอรู้สึกโกรธเล็กน้อย แต่เขาก็ไม่มีเวลาจะเถียงมากนัก เพราะโจรเริ่มเข้ามารุมเขามากขึ้นเรื่อยๆ
และในจังหวะที่เขากำลังจะถูกฟันจากด้านข้าง จู่ๆ ชายเจ้าของกองไฟ ก็ลุกขึ้นยืนอย่างช้าๆ ราวกับเพิ่งเริ่มเบื่อกับการนั่งเฉยๆ
“หยุด!” ชายคนนั้นพูดเบาๆ แต่เสียงของเขาแฝงไปด้วยพลังที่แปลกประหลาด พวกโจรที่กำลังล้อมทั้งคู่เอาไว้ จู่ๆ ก็หยุดนิ่งไป แม้แต่การเคลื่อนไหว หรือคนที่กำลังจะพุ่งเข้ามา ก็หยุดค้างอยู่กลางอากาศเสียอย่างนั้น
ทันใดนั้น เขาก็ยกมือขึ้น แสงสีฟ้าอ่อนส่องสว่างออกมาจากฝ่ามือของเขา พลังบางอย่างที่ดูไม่ธรรมดาปรากฏขึ้นรอบตัวเขา แสงนั้นรุนแรงขึ้นในพริบตา ก่อนที่มันจะระเบิดออกไป กระแทกกลุ่มโจรที่อยู่รอบๆ กระเด็นไปกับพื้น เหมือนกับว่าพวกนั้น ถูกพัดด้วยแรงลมมหาศาล
เสียงกรีดร้องดังขึ้นจากพวกโจร พวกนั้นกลับมาขยับร่างกายได้ดังเดิม หลังจากกระเด็นออกไป แต่ก็ลุกกลับขึ้นมาด้วยความเจ็บปวด มีคนหนึ่งดูเหมือนแขนจะหักจากการกระแทกกับต้นไม้
“ไปซะ ก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนใจ” ชายคนนั้นพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็น ท่าทีของเขาดูเปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด แม้แต่ดวงตาของเขา ก็ดูเหมือนจะสะท้อนกับแสงจากกองไฟ และเรืองแสงสีแดงสดออกมา
กลุ่มโจรแต่ละคนรีบลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล ก่อนจะวิ่งหนีไปในความมืด โดยไม่หันกลับมามอง
ลีโอยืนหอบเหนื่อยอยู่ตรงนั้น ขณะกวาดตาดูว่าพวกนั้นจะหนีไปจริงๆ อากาศยามค่ำคืนกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง เสียงลมที่พัดใบไม้เบาๆ กลับมาแทนที่เสียงกรีดร้อง และโอดโอยของเหล่าโจร
ชายประหลาดนั่งลงข้างกองไฟอีกครั้งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เขาเพียงหันไปมองลีโอด้วยสายตาที่เหมือนจะบอกว่า ‘จบได้สักที’
ลีโอยังคงอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อครู่อยู่ เขาไม่สามารถเชื่อสายตาตัวเอง ว่าปรากฏการณ์เมื่อครู่ จะเกิดขึ้นภายในชั่วพริบตาเท่านั้น
แต่ยังไม่มีใครพูดอะไรออกมา… ปล่อยให้เสียงเสียดสีกันของใบไม้ และเสียงปะทุของกองไฟขับกล่อมค่ำคืนต่อไป