***วันที่ 11 เรตนิว ปีที่ 125 เวลา 12:00 น.***
พระอาทิตย์ยามเช้ากำลังสาดแสงฝ่าเมฆหิมะ ทะลุลงมาอาบบนร่างกายของผมกับเด็กสาวตัวน้อยผมสีเงิน ท่ามกลางซากศพและความพินาศที่เกิดจากการต่อสู้
ฝั่งหนึ่งคือเด็กสาวที่กำลังร้องไห้ ปลดปล่อยความทุกข์ภายในจิตใจ แล้วเข้าสู่อ้อมกอดของอีกฝ่ายดั่งเป็นเด็กทารก
อีกฝั่งคือฮีโร่สาวผมสีแดง ในสภาพร่างกายที่บอบช้ำจากการต่อสู้ แต่ทว่ายังคงฝืนสร้างรอยยิ้ม เพื่อความสบายใจของเด็กสาวตัวน้อย
มันช่างดูราวกับเป็นภาพวาดของฮีโร่ ผู้ยอมสละชีวิตเพื่อปกป้องชีวิตตัวน้อย ๆ โดยไม่หวังสิ่งตอบแทน
ช่างเป็นภาพที่น่าประทับใจยิ่งนัก
คงกำลังคิดแบบนี้กันอยู่สินะทุกคน?
” (ทั้งหมดเป็นไปดั่งกลอุบาย) ”
ผมกำลังซ่อนรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ของปีศาจร้าย ที่ซ่อนอยู่ใต้หน้ากากของรอยยิ้มฮีโร่ผู้อ่อนโยน
มันคือช่วงเวลาแห่งความสุข
สัมผัสนุ่ม ๆ ของเด็กสาว
ความใสซื่อบริสุทธิ์
น้ำตาที่บริสุทธิ์
ทุกสัมผัสรับรู้ทั้งห้าที่กำลังตอบสนองต่อเด็กสาวซึ่งกำลังกอดลงบนร่างกายของผม มันคือสิ่งที่เปรียบได้ดั่งเป็นสวรรค์ชั้นดาวดึงส์
อ๊า~
ค่อยสมกับที่ยอมลงทุนให้ตัวเองเจ็บตัว~
มีความสุขที่สุด!
เรื่องของเรื่องคือในตอนที่ผมพบความจริง ว่าเป็นเด็กคนนี้ที่กำลังบาดเจ็บจากเจ้าพวกผีบ้า
ผมก็นึกขึ้นมาได้อย่างว่า–
[ทำไมไม่ใช่โอกาสนี้สร้างความประทับใจสักหน่อยกันละ?]
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ดูเหมือนว่าเด็กคนนี้จะไม่ค่อยชอบผม
ก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงถูกเกลียด แต่เพื่อให้เด็กคนนี้กลับมาชอบผม มันเลยต้องลงมือสร้างภาพลักษณ์ใหม่กันหน่อย
ความจริงกับเจ้าผีบ้าตัวนั้น ผมสามารถปราบมันได้ในพริบตาเลยละ
แต่ถ้าทำให้ทุกอย่างดูง่าย มันก็สร้างความประทับใจได้ไม่มากสิจริงไหม?
ผมเลยจงใจปล่อยให้มันจ้วงอก ยอมเจ็บตัวเล็กน้อยก่อนจะชำระมันส่งไปแดนคนตาย
แน่นอนว่าการที่ใช้พลังวิญญาณจนเกิดความร้อนมาเผามือตัวเองนี่ก็จงใจทำเช่นกัน
เพราะจริง ๆ ผมสามารถใช้พลังเวทมนตร์ สร้างขั้วอุณหภูมิตรงข้ามมาหักล้างพลังงานความร้อนรอบมือตัวเองได้
“แงงงง! พี่สาวววว!!”
“โอ๋นะ โอ๋นะ~”
ถูกจ้วงอกกับเผามือตัวเองแค่สองข้าง แลกกับได้ลูบหัวสาวน้อย— ถือว่าคุ้มมากเลยละขอบอก!
*ซูด–*
อุ๊บ!! เกือบน้ำลายหกใสหัวของเธอไปแล้วไง…
แต่ช่วงเวลาแห่งความสุขนั้นช่างสั้นนัก
“เห้ย! ตรงแถวนี้พังเป็นแถบเลยวะ!? ”
“รีบไปตามคนมาตรวจสภาพความเสียหายหน่อยเร็ว!”
ตำรวจมักมาสายเสมอ และตำรวจสากลของที่นี่เองก็เป็นเช่นนั้น
ให้ตายเถอะ มาขัดจังหวะความสุขกันได้นะ
ผมพึ่งจะได้เสพสารสาวน้อยไปเพียงแค่ 1.46 มิลลิกรัมโดส (วัดตามระยะเวลาเทียบวินาทีที่ได้กด– เอ๊ย! กอดเด็ก) เท่านั้นเอง
“…”
ขาดคนตบมุขแฮะ
ตอนนี้ช่างหัวเรื่องการเสพย์สารสาวน้อยไปก่อน
เพราะที่สำคัญกว่า คือการหนีออกไปจากค่ายนี้ ก่อนที่จะมีใครมาเห็น
ไม่อย่างงั้นได้ถูกลากไปพัวพันกับเรื่องป่วนสมองอีกแน่นอน
ผมนะเข็ดกับการต้องไปนั่งให้ปากคำกับพวกตำรวจแล้ว
“… พี่สาวจะไปแล้วหรือคะ? ”
“ใช่… ”
ผมที่ทำท่าจะกางปีกบินออกไป ได้โดนเด็กสาวเกาะรั้งตัวเอาไว้
ฮือ~ เค้าอยากเอาเจ้าหนูนี่กลับไปด้วยอ๊ะ
“ขะ… ขอให้ฉันไปกับ—”
เด็กสาวผมเงินพูดติดอ่าง ราวกับรู้สึกละอาย เขิน หรือรู้สึกกลัว ที่จะพูดออกมา
แต่ผมไม่รอให้เธอพูดจบ
เพราะผมรู้แล้วว่าเธอต้องการอะไร
“ต้องการจะไปกับพี่ใช่ไหม!? ใช่ไหม!!!”
“เอ๊—-!!!!?! ทะ— ทำไมพี่ถึง—!?!”
“ใช่ไหม! ใช่ไหม! ใช่ไหม! จะไปกับพี่สินะ!!! ดีละ! งั้นไปกันเลยยยยย!!!”
“กรี๊ดดดด!! พี่เปลี่ยนไป!?! ช่วยด้วยค่าาา!! หนูกำลังจะถูกคนหื่นกามลักพาตัวไปทำมิดีมิร้ายค่าาาาา!!!?? ”
***สามนาทีต่อมา***
“คุณดิไลออน คุณอาร์เซนิค กลับมาเร็วจังนะครับ? สถานการณ์ในเมืองสงบลงแล้วหรือครับ? ”
” พอพายุหิมะหยุด พวกคนก็เลิกคลั่ง แล้วพากันสลบเหมือดไปพร้อม ๆ กัน เรื่องบ้าอะไรก็ไม่รู้ สงสัยคงไปเสพพี่ม้ามาเกินขนาดกันละมั้ง? ออน~”
” แล้วนี่เกิดบ้าอะไรขึ้นที่ฐานกันเนี่ย? ”
” ไม่รู้เหมือนกันครับ พอพายุสงบ มันก็กลายเป็นแบบนี้ไปแล้วครับ มีเจ้าหน้าที่ถูกทำร้ายสองคน แต่ไม่ถึงกับเสียชีวิต ส่วนฐานก็พังเป็นแถบอย่างที่เห็นเนี่ยแหละครับ”
“มีเต็นท์ของข้ารวมอยู่ในนั้นด้วยอย่างงั้นเรอะ!? ข้าฝากเรื่องรายงานให้นายทำไปแล้วกันคู่หู ส่วนข้าขอตัวรีบไปตรวจสภาพความเสียหายก่อนนะ!”
” ได้เลย ออน~”
ข้ารีบวิ่งหน้าตั้งไปที่เต็นท์ด้วยความหวาดกลัว
*พรึบ*
แต่พอไปถึงเต็นท์ ข้าก็พบกับความโล่งใจ
ยังไม่มีร่องรอยหรือรอยเท้า ว่ามีใครเดินเข้ามารื้อค้นในเต็นท์ของข้าจากภายนอก
ถึงจะมีพวกที่บินได้ แต่ระยะทางสั้น ๆ แค่นี้ คงไม่มีใครบ้ามาเหนื่อยบินกันหรอก
“… แต่มีร่องรอยต่อสู้”
จากที่ข้าตรวจสอบ มันมีความเสียหายเกิดขึ้นเยอะเกินกว่าที่จะเป็นแค่ถูกพายุพัดถล่มใส่จนพัง
แถมยังมีร่องรอยของการต่อสู้เกิดขึ้นอีก
มีรอยเลือด
ที่สำคัญคือมีศพจำนวนมากจมอยู่ใต้หิมะพวกนี้ด้วย
เป็นฝีมือไอบ้าตัวไหนกันวะ?
รู้แบบนี้ไม่น่าถอนเอากล้องวงจรปิดออกไปจนหมดเลยแฮะ
ข้าเดินผ่านซากศพ ตรงไปที่โต๊ะทำงานของตัวเอง
โต๊ะทำงานที่พังไม่เหลือซาก มีเอกสารกองโตหล่นกระจายไปทั่ว
เอกสารที่ข้าสมควรเผามันทิ้งไปตั้งนานแล้ว
“…”
อย่าบอกนะว่าเด็กคนนั้นจะ—
“หมายเลขศูนย์ ยังอยู่หรือเปล่า? ”
เงียบ
เด็กคนนั้นคงจะไม่อยู่แล้วละ
ถ้ายังอยู่ที่นี่อีก ก็คงต้องบอกว่าซื่อบื้อจนไม่รู้จะพูดยังไง
แย่จริง ๆ
แล้วแบบนี้ข้าจะไปรายงานเบื้องบนยังไงดีกันเนี่ย?
ตีเนียนไปว่าถูกพวกชาวเมืองโจมตี แล้วเธอหนีไปในช่วงเวลานั้นดีไหม?
หรือรายงานไปว่า [หายสาบสูญจากเหตุการณ์วุ่นวาย] น่าจะฉลาดกว่า?
ข้าเริ่มจุดไฟเผาเอกสารด้วยปืนรังสี ในระหว่างที่ข้ากำลังคิดหาข้ออ้างรายงานพวกเบื้องบนขององค์กร
“…”
จะว่าไป ทำไมข้าถึงไม่เผาเอกสารพวกนี้ไปตั้งแต่แรก?
ที่สำคัญ คือข้าจะพิมพ์มันออกมาลงบนกระดาษให้มีความเสี่ยงกับการถูกพบไปเพื่ออะไร?
แถมยังเก็บในที่ ที่น่าจะถูกหาเจอง่ายอย่างในโต๊ะนั้นอีก
อย่างเหตุการณ์ระเบิดในตอนนั้นก็ดี
ทำไมข้าถึงให้คำสั่งให้เธอไปยืนที่หน้าประตู?
เพราะรู้ว่าประตูมันหนาพอจะปกป้องเธอจากระเบิดได้?
“จะบอกว่าภายในใจลึก ๆ … ข้าอยากช่วยเด็กคนนั้น? ”
ตลกน่า…
แค่ว่านิสัยเด็กคนนั้นมันเหมือนกับข้าในสมัยก่อน มันจะเปลี่ยนใจข้าได้อย่างงั้นเรอะ?
ไม่มีทางหรอก
ข้านะ เคยทั้งกินเด็ก กินผู้ใหญ่ กินมาทั้งเพศหญิงและชาย ทุกเผ่าพันธุ์มาแล้ว
ข้านะ ได้ทิ้งจิตใจเมตตาต่อเพื่อนร่วมเผ่าพันธุ์ไปพร้อมกับตัวข้าในอดีตไปแล้ว
ไม่มีทางที่ข้าจะมาใจอ่อนเอาตอนนี้ไปได้หรอก
มันก็แค่เกิดขึ้น เพราะความสะเพร่าของข้าเท่านั้นเอง…
***ในเวลาเดียวกัน ณ เขตเมืองชั้นบน***
“” เชียร์!!!””
“มาดื่มฉลองให้กับสหายแม่นปืนของเรากันหน่อยซุนไกท์!”
“มาดื่มฉลองให้กับสหายแม่นปืนของเรากันหน่อยวานาดิไนต์!”
“ฮะ ฮะ…”
ผมกำลังหัวเราะแห้ง ๆ อยู่ภายในบ้านโทรม ๆ กับไซบอร์กเพี้ยนสองตัว
“ยิงร้อยนัด เข้าเป้าร้อยนัด!”
“แถมยังเลี่ยงจุดตายได้อย่างน่าทึ่งจนไม่มีผู้เสียชีวิต!”
” ถ้ามีหมอนี่อยู่ งานแข่งประลองกำลังในเมืองยักษ์ปีหน้า พวกเราต้องเป็นผู้ชนะอย่างแน่นอน!”
” จะได้ล้างอายทีมของเจ้ายักษ์หัวส้มเปลวเพลิงด้วย!”
“”สุดยอดดด!!””
ผมก็แค่เล็งไปที่มีแสงสว่างรุนแรงหนาแน่นกว่าที่อื่น มันก็เท่านั้นเอง…
จะว่าไงดี เพราะเคยผ่านเหตุการณ์ปีศาจหมอกนั้นมาแล้ว เลยพอจะทำให้รู้ว่าคนพวกนั้นถูกอะไรบางอย่างสิงร่างอยู่
ว่าแต่ไองานแข่งกับยักษ์หัวส้มมันฟังดูคุ้น ๆ อยู่นะ…
พวกเอ็งคงไม่ได้หมายถึงเจ้าทาฑิมหรอกใช่ไหม?
“” เชียร์!!””
แต่นาน ๆ ทีนั่งดื่มแบบนี้มันก็ไม่เลว
ว่าแต่รู้สึกเหมือนจะลืมอะไรไปสักอย่างเลยแฮะ
***เวลา 13:00 น. ***
“ถามหาความเห็นจากกลุ่มก่อนไปรับปากใครมั่ว ๆ สิยะ ยัยภูติบ๊อง!”
“โอ๊ย!? ”
พี่สาวหัวแดงกำลังถูกพี่สาวไก่เหลืองดุละ
ส่วนฉันกำลังนั่งอยู่บนตักนุ่มสบายของพี่สาวหัวฟ้า ที่นั่งสัปหงกอย่างสงบอยู่บนเตียง
“ตะ— แต่ว่าเธอออกจะน่าสงสาร… ทั้งถูกทิ้งเพราะแค่มีผิวเผือกกับแรงน้อย ถูกคนที่คิดว่ามีพระคุณทรยศ เธอออกจะเหมือนกับพวกเราในอดีต…”
พี่สาวกำลังอธิบายเรื่องที่ฉันเจอให้อีกสองคนฟัง
ฉันเป็นคนบอกไปทั้งหมดเอง
ทั้งอดีตของฉัน กับความลับขององค์กรคาร์นิวอย ที่จริง ๆ ไม่ใช่องค์กรที่ดี
ฉันไม่อยากให้กลุ่มของผู้มีพระคุณไปยุ่งเกี่ยวกับองค์กรแบบนี้
” หลายประเด็นจริงเฟ้ย! งั้นขอพูดประเด็นแรกก่อน เรื่องเด็กคนนี้ พวกเราจะไม่รับเลี้ยงเด็ดขาด! พวกเราไม่ใช่เทพเจ้าแห่งความดีสักหน่อย ถ้าอยากดูแลมากนัก เธอก็ไปรับเด็กในบ้านคนพิการของวิหารเทพทั้งสามมาดูแลทั้งหมดไปเลย ถ้าจะมาพูดแบบนี้!”
“เอโซ คนใจร้าย!”
“ก็เออสิยะ!”
หวาย…
ดูท่าว่าคนอื่นจะไม่ยอมรับในตัวของฉันแฮะ
ใช่สิ เพราะว่าฉัน.. มันไม่เป็นที่—
” ส่วนเธอ เธอกำลังคิดว่า [ไม่เป็นที่ยอมรับ] อยู่สินะ? ”
“อ๊ะ? รู้ได้…”
” มันบ่งออกมาทางสีหน้าหมดแล้ว!”
แง! ทำไมต้องมาขึ้นเสียงด้วยอ๊ะ…
” ไม่ต้องมาทำเป็นร้องไห้! เห็นเด็กแบบเธอแล้วมันโมโห! ทำเป็นซังกะตายเพราะแค่รู้ว่าถูกทรยศ ถูกโลกทอดทิ้ง? แล้วคราวนี้จะมาฝากผีฝากไข้พวกเราเพียงเพราะแค่ยัยนี่ไปช่วยเอาไว้? ไม่คิดบ้างหรือว่าจะถูกพวกเราทรยศอีกรอบก็เป็นได้!”
อ๊ะ?
“โลกนี้ ต่อให้อยู่ด้วยตัวคนเดียว มันก็ต้องอยู่ให้ได้! อย่าคิดว่าจะฝากชีวิตกับพวกเราสามคนไปทั้งชีวิต! คิดว่าเธอจะมีความสุขได้จริง ๆ นะเรอะ กับการฝากจมูกคนอื่นหายใจตลอดไปนะ! หรืออยากอ้างว่าเพราะเป็นเด็ก? จะบอกให้รู้ว่าพวกเราสามคนไม่เคยมีใครมาสนใจช่วยตั้งแต่เกิด! ต้องอยู่คนเดียวตั้งแต่คลานออกจากท้องแม่! จงจำเอาไว้! เธอนะสักวักต้องอยู่คนเดียว! เพราะฉะนั้นอย่าคิดว่ามาให้พวกเราเลี้ยงดูได้ตลอดไป เพราะพวกเราสามคนไม่อาจอยู่ค้ำฟ้าได้! แล้วพวกเราไม่คิดจะเลี้ยงดูเธอด้วย! ถ้าจะอยู่กับพวกเรา จงมาอยู่อย่างมีศักดิ์ศรีในฐานะสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญาคนหนึ่งซะ!”
” หมายความว่า…? ”
” หากินด้วยตัวเอง ใช้ชีวิตด้วยตัวเอง อยู่ด้วยปราถนาของตัวเองอย่างไม่โดนใครผูกมัด”
รู้สึกเหมือนมีใครเอาแส้มาฟาดใส่ใจกลางลำตัว
ฉัน… ไม่เคยคิดถึงอะไรแบบนี้มาก่อน
เพราะตลอดมาฉันคอยมองหาแต่คนที่ยอมรับฉัน
ฉันเลยพยายามอย่างหนักเพื่อคนอื่น
แต่ไม่เคยทำเพื่อ—
“จงใช้ชีวิตเพื่อตัวเองซะ”
— ไม่เคยทำเพื่อตัวเองเลยสักครั้ง…
*ซิก*
อ๊ะ…
น้ำตามันไหลออกมาอีกแล้ว…
“เอโซ คนซึนปี 125”
[ซึน ซึน D_D]
“คะ— ใครซึนกันยะ! ฉันแค่โกรธที่ยัยเด็กนี้มันทำตัวเหมือนนกเปลี่ยนรังแค่นั้น! แต่ถ้าจะมาอยู่ในฐานะพญาอินทรี มันก็ว่าไปอย่าง”
ฉันนั่งดูพี่ ๆ หยอกล้ออย่างเป็นกันเองด้วยรอยยิ้ม
ฮิ… ตลกจัง
“จริงสิ จะว่าไป เธอยังไม่มีชื่อเสียงเรียงนามสินะ? ”
“ชื่อ? ก็ [หมายเลขศูนย์] ? ”
” นั่นไม่เรียกว่าชื่อหรอกนะ ดีเลย เพื่อไม่ให้ลำบากในอนาคต พวกเราจะมอบชื่อให้เธอเอง”
” ชื่อ—? ”
” ชื่อของเธอคือ [ไซน์] มันมีความหมายว่า [พระเจ้าทรงอยู่กับเรา] ”
“เอโซ! เธอนั่นละที่รู้สึกสงสารจนอยากรับเด็กคนนี้มาดูแลสุด ๆ ไปเลยไม่ใช่หรอกเรอะ!?!”
[ซึนอีกแล้วค่ะ D_B]
ชื่อ [ไซน์] ที่มีความหมายว่า [พระเจ้าทรงอยู่กับเรา]
หรือแปลได้อีกอย่างว่า [ฉัน.. จะมีพระเจ้าคอยดูแลอยู่เคียงข้างเสมอ]
รู้สึกได้ถึงความรัก…
พี่หัวแดงที่ให้ความรู้สึกเหมือนพี่สาว
พี่หัวฟ้าที่ให้ความรู้สึกเหมือนแม่
พี่หัวเหลืองที่ดูเข้มงวดสุด ๆ จนให้ความรู้สึกเหมือนเป็นพ่อ
ตอนนี้ ฉันมีความสุขที่สุดในชีวิตเลยค่ะ!
MANGA DISCUSSION