***วันที่ 60 เรตนิว เวลา 13:00 น.***
วันสิ้นปีของดาวไดม่อน
ท่ามกลางเสียงสนุกสนานรื่นเริงของผู้คนที่ตั้งตารอวันสิ้นปี มีสตรีสองคนในชุดกันหนาวสีขาวตัวใหญ่คลุมหัว กำลังเดินตัดใจกลางเมือง หลีกหนีจากเสียงและแสงสว่างสู่ความมืด
ทิศที่พวกเธอกำลังมุ่งหน้าตรงไป คือย่านเสื่อมโทรมของเมืองที่ไม่มีใครคิดอยากจะเข้าไปยุ่งเกี่ยวข้อง
“ลาพิส น่าจะเป็นที่นี่ รังใหม่ของยัยนั่น”
[แต่ฉันไม่รู้สึกถึงสัมผัสวิญญาณของคุณแมรี่จากข้างในนั้นเลยค่ะ]
“คงกำลังปิดบังตัวตนอยู่มากกว่ามั้ง? ”
สตรีลึกลับคาดเดาด้วยน้ำเสียงที่เบา ก่อนจะย่างเท้าล้วงล้ำเข้าไปในตรอกระหว่างเสาค้ำทางสัญจรลอยฟ้า
ราวกับได้หลุดเข้าไปในอีกโลกหนึ่ง
จากโลกที่เต็มไปด้วยบรรยากาศครื้นเครงของงานเทศกาล กลับกลายเป็นเงียบสงบ
ไม่มีวัยรุ่นหรือคนเถื่อนยืนจับกลุ่มสูบยา ไม่มีใครชายหน้าโหดคอยดักปล้นชิง
ไร้ซึ่งแสงสีเสียง เฉกเช่นอยู่ในป่าช้า
แต่ทว่าหากเงียหูฟัง จะได้ยินเสียงฉลองลอยมาตามสายลมจากสถานที่อันห่างไกล
ยิ่งเดินลึกเข้าไปในความมืด จะยิ่งได้ยิงเสียงนั้นดังขึ้น
แสง สี เสียง เริ่มกลับมาเฉิดฉายตามระยะทางเดินที่ลึกเข้าไปในตรอก
จนกระทั้งพวกเธอมาถึง ณ ช่วงใจกลางของตรอก เสียงแห่งการฉลองของเหล่าคนเถื่อนก็ได้ดังกระหึ่มขึ้นมา
“ขอฉลองให้กับความสำเร็จของแก๊ง [ภูติสีชาด] อันยิ่งใหญ่!”
“ขอฉลองให้กับ [ลูกพี่หญิงแมรี่] !!”
““ขอฉลองให้กับการรวมทุกแก๊งเป็นหนึ่งของพวกเรา เฮ้!!!””
“ดูท่าจะกำลังสนุกกันใหญ่เลยแฮะ”
[ไม่มีคนเฝ้ายามตรงหน้าประตูด้วยค่ะ]
“งั้น— ในเมื่อไม่มีใครมายืนบอกห้ามผ่าน คงไม่มีใครมาถือว่าเป็นการบุกรุกหรอก~♬”
สตรีลึกลับทั้งสองคนเริ่มเดินหน้าบุกเข้าไปภายในลานกว้างอย่างเงียบ ๆ
ข้างในนั้นมีฝูงชนกำลังรวมตัวกันมากกว่า 1,000 คน
พวกเขาแต่ละคนมีหน้าตาที่ดูป่าเถื่อน เต็มไปด้วยรอยแผลฟกช้ำกับรอยมีดกรีดแทง อีกทั้งมีแววตาของนักล่าผู้กระหายเลือดเผยออกมาให้เห็น
พวกเขาคือเหล่าผู้คนที่ถูกสังคมทอดทิ้งและตราหน้าว่าเป็นขยะ
ทว่าแม้แต่ขยะเองก็มีจิตใจ
พวกเขามีความภาคภูมิใจในการเอาตัวรอดท่ามกลางความยากจนกับโชคชะตาที่ถูกสังคมทอดทิ้ง
มีความปราถนาต่อความสุขเล็ก ๆ ในการได้จัดงานฉลองเทศกาลสิ้นปี
ถึงไม่อาจเดินไปร่วมงานในที่แสงสว่างส่องถึงอย่างใจกลางเมือง แต่กระนั้นพวกเขาก็ยังมารวมตัวเพื่อจัดงานเฉลิมเล็ก ๆ ของตัวเองกัน ณ ที่แห่งนี้ได้
ไม่ว่าจะยากดีมีจนหรือมีนิสัยป่าเถื่อนแค่ไหน พวกเขาก็ปราถนาและฝันถึงความสุขไม่ต่างจากเหล่าผู้มีอันจะกิน
“ร่าเริงกันจริงนะ”
สตรีลึกลับที่มีขนปีกสีเหลืองกระซิบเบา ๆ ให้ตัวเอง ก่อนจะเลือกเดินอ้อมฝูงชนที่วุ่นวายรอบกองไฟตรงกลางลานกว้าง
“…ยัยแมรี่ต้องอยู่ตรงนั้นชัวป้าบ”
[เป็นกระท่อมที่มีเอกลักษณ์ชัดเจนมากค่ะ…\O_O\]
สตรีลึกลับเดินอ้อมไปหยุดอยู่หน้ากระท่อมเอสกิโมแห่งหนึ่ง ซึ่งถูกทิ้งร้างอย่างโดดเดียวอยู่ริมข้างทาง
กระท่อมนั้นถูกสร้างมาจากก้อนขยะที่อัดรวมกัน แล้ววางเรียงแทนก้อนน้ำแข็ง
มันถูกวางทิ้งเอาไว้เดียวดายอย่างเศร้าสร้อย ไร้ผู้คนเหลียวแลจนมันแทบจะจมกองหิมะขาวที่โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า
“ถ้ายัยนั่นจะอยู่ที่ไหน ก็คงอยู่ข้างในนี้นั่นแหละ”
สตรีลึกลับว่าเช่นนั้นแล้วเอื้อมมือไปเปิดบานประตูที่ทำจากแผ่นสังกะสี
ซึ่งข้างในนั้น เธอได้พบกับ—
***
“โอ๊ย~ ไม่ได้กลับมาที่แถบนี้เสียนานเลย~”
ผมกำลังล่องลอยอย่างสบายอารมณ์อยู่ในดินแดนมิติคนตาย
ท้องฟ้าคือเพดานของขุมนรกชั้นบนที่อยู่เหนือขึ้นไป
มองไปทางขวาจะเห็นเปลวไฟสีแดงฉานลอยระอุแทนเส้นขอบฟ้า
มีหอคอยโครงกระดูกทอดยาวสูงเป็นท่อส่งวิญญาณสู่ชั้นขุมนรกต่าง ๆ ที่ใจกลางดินแดน
ถัดไปไม่ไกลจากตรงนี้ คือสวนดอกบัวกลีบเหล็กที่กำลังกางใบออกสวยงาม และส่งกลิ่นหอมล่อเหล่าดวงวิญญาณให้มาหลงติดกับ เพื่อถูกพวกมันกัดกิน
มันคือ [โรรุวมหานรก (นรกแห่งเสียงหวีดร้อง) ] นรกขุมที่ 4 ในตามความเชื่อของชาวโลก
ตามตำนานของพวกชาวโลก มันเล่นใส่ไข่กันยกใหญ่ว่าเป็นดินแดนแห่งการชำระบาปวิญญาณ เต็มไปด้วยเสียงกรีดร้องของคนบาป ต้องถูกดอกบัวเหล็กกัดกินอวัยวะ แล้วเผาทั้งเป็นด้วยไฟ รับโทษเป็นเวลานานนับ 936,000,000,000 ปีมนุษย์ หรือ 4,000 ปีนรก
เจ้าพวกนี้ก็ชอบแต่งตำนานใส่ไข่กันเกินเลยเกินเถิดจริง~
เพราะความจริงมันเป็นแค่แห่ลงน้ำดีขนาดใหญ่ ที่พวกเราเหล่าชาวเทพแดนคนตายได้ปลูกจัดสวนดอกบัวเพื่อใช้เป็นแหล่งพักผ่อนเท่านั้นเอง~
ส่วนไอที่ลงโทษวิญญาณบาปนะ มันเป็นผลพลอยได้เสริมเท่านั้น~
“…อ๊ะ? ไม่ใช่เวลาจะมาดื่มด่ำกับความสุขที่ได้กลับมาเยี่ยมบ้านตัวเองแบบนี้สิ!”
เพราะนี่เป็นการแอบใช้วิชาถอดจิตเพื่อลงมาโลกคนตาย ไม่ได้เป็นการมาอย่างเป็นทางการเหมือนครั้งที่แล้ว
ถ้าถูกท่านยมหรือลูกน้องของเขาสักคนเห็นตัว มีหวังได้เป็นเรื่องแน่!
ต้องรีบไปทำธุระของตัวเอง แล้วรีบกลับซะ~
“บ้านแสนสุข~ ไม่ได้กลับมาเยี่ยมตั้ง 50 ปีได้~”
ผมพูดกับตัวเองในตอนที่ลอยมาหยุดตรงหน้าบ้านดินสีน้ำตาลหลังหนึ่งที่ตั้งอยู่ริมบ่อดอกบัว
เป็นบ้านที่แม้แต่สหายเอโซกับลาพิสก็ไม่รู้ว่าผมมี เพราะมันคือบ้านที่เอาไว้ใช้เก็บวิญญาณคอลเลคชั่นของสิ่งมีชีวิตน่ารัก ๆ โดยเฉพาะ
มันเป็นบ้านทรงโดมขนาดเล็ก ที่ถูกลงกลอนวิญญาณเอาไว้ทั้งหมด 100 ชั้น
ถูกปลูกซ่อนอยู่ใต้พุ่มใบบัวขนาดยักษ์ จนยากที่จะมองเห็นมาจากริมทางเดินด้านนอก
สรุปง่าย ๆ คือทั้งหาเจอยาก แล้วถ้าไม่ใช่ผมเป็นคนมาเปิด ก็อย่าหวังว่าจะมีใครมาเปิดมันออก—
“…”
ทำไมประตูบ้านมันถึงถูกเปิดออกอ้าซ่าแบบนี้กันได้เนี่ย?
ในดินแดนนี้หัวขโมยด้วยอย่างงั้นเรอะ?
ไอโลกที่ทุกคนสามารถเสกรังสรรค์ทุกอย่างออกมาจากอากาศได้ด้วยพลังของเทพเจ้า ยังจะมีพวกมีนิสัยงัดแงะปรากฏให้เห็นอีกอย่างงั้นเรอะ?
“…ฉะ—”
ฉิบหายแล้วไง!!!
คอลเลคชั่นวิญญาณของผม—!
ไม่สิ… ที่ต้องห่วงคือการที่มีใครสักคนเอาเรื่องนี้ไปบอกเทพระดับสูงอย่างท่านยมต่างหาก
ความจริงคือไอการเก็บวิญญาณคอลเลคชั่นมันถือว่าทำผิดกฏสวรรค์กับนรก
เพราะเหมือนเป็นการหยุดวงจรธรรมชาติของการ เวียน – ว่าย – ตาย – เกิด
เพราะรู้ตัวว่าทำผิด เลยไม่เคยเอาบ้านหลังนี้ไปอวดให้เอโซกับลาพิสดูตลอด 1000 กว่าปี ที่คบหากันมา
ถ้าสองคนนั้นรู้เข้าละก็ มีหวังได้มาพังบ้านหลังนี้ทิ้ง เพื่อปลดปล่อยวิญญาณทั้งหมดออกไปเพื่อผมเป็นแน่แท้
ผมรีบบินเข้าไปในบ้าน
พื้นที่ทรงกลมด้านในยังคงเต็มไปด้วยกลิ่นอายเก่า ๆ ที่ยังตรึงอยู่ในความทรงจำ
ชั้นวางยังมีผลึกคริสตัลวิญญาณสีรุ้งวางเรียงราย
ป้ายชื่อดวงวิญญาณของเจ้าของวิญญาณยังคงติดอยู่ใต้ชั้นวาง
ที่มุมในของห้อง มีเครื่องสะท้อนกายเนื้อของดวงวิญญาณวางตั้งนิ่งเหมือนเป็นรูปปั้น
ไม่มีร่องรอยของการลักขโมย หรือรื้อค้นสิ่งของ
ทุกผลึกคริสตัลยังคงถูกวางเรียงรายอย่างเรียบร้อยเป็นระเบียบ เปื้อนฝุ่น ไม่มีร่องรอยของการขยับเคลื่อนไหว
อ่าว?
ก็ยังปกติอยู่ดีมีสุขทุกอย่างเลยไม่ใช่หรอกเรอะ?
จะว่าไป— พอลองมาคิดดูแล้ว ถ้าหากมีคนบุกรุก ป่านนี้ผมคงถูกจับไปลงโทษตั้งนานแล้ว
“แล้วทำไมประตูบ้านถึง…”
ผมหันไปตรวจดูที่ประตูอีกรอบ
“…”
ดูคล้ายกับว่ามันถูกอะไรสักอย่าง พังมาจากทางฝั่งข้างในบ้านเลยแฮะ
ฝีมือของใคร?
“เออ… ช่างมันเถอะ~”
คิดมากแล้วปวดหมอง
ในเมื่อไม่มีของหาย ก็ถือว่าเป็นการสะเดาะเคราะห์ไป~
ตอนนี้รีบเอาวิญญาณที่เคยผนึกเก็บสะสมเอาไว้มาแดก เพื่อเตรียมอ๊วกปลดปล่อยโนอาร์ออกมาดีกว่า~
ผมเอื้อมมือไปแตะคริสตัลบนชั้นวาง
นำมันมาถือด้วยสองมือ แล้วเร่งกระแสวิญญาณขั้วบวก เพื่อดึงดูดขั้ววิญญาณที่ถูกกักขังข้างในให้ออกมา
แสงไฟสีเหลืองอ่อนที่แผ่วเบาได้เจิดจ้าออกมาจากใจกลางคริสตัล แล้วพุ่งเข้าไปในร่างของกายของผมราวกับถูกบ่อบึงดูดให้จมลงไป
อื่ม~ น่ารัก~ อร่อย~
ผมเริ่มไล่ดูดวิญญาณสะสมจากชั้นวางตั้งแต่ชิ้นแรก ยันชิ้นสุดท้ายที่มีร่วมกว่า 2,000 ดวง
1,…2,…3,…100,…200,…1000,…
อู้ย… เริ่มจุกขึ้นคอแล้ว…
สภาพของผมตอนนี้ช่างดูคล้ายกับลูกโป่งหุ้มผ้าคลุมตัวสีขาวสกปรก ที่ถูกอัดลมจนแน่น
ถึงจะจุก แต่ก็ต้องกินต่อไปจนกว่าจะอ้วกทั้งหมดออกมา
“ดวงที่ 1001… หืม? ทำไมคริสตัลก้อนนี้ว่างเปล่าได้หว่า? ”
มีคริสตัลก้อนหนึ่งที่ว่างเปล่าไร้แสงวิญญาณ
นี่ผมมีเอาคริสตัลเปล่ามาเผลอวางบนชั้นด้วยอย่างงั้นหรือ?
แต่ใต้ก้อนคริสตัล มันมีชื่อติดเอาไว้อยู่นี่?
เออ— [ราชินีเลือดกรด – แบนซี (Banshee) เพศหญิง]
ราชินีเลือดกรด – แบนซี?
ใช่เผ่าปีศาจรุ่นแรก พี่สาวของยัย [ราชินีปีศาจ แวม แวม] ที่ถูกพวกเราสามคนแกล้งเล่นเมื่อ 100 ปีก่อนหรือเปล่าหว่า?
จำได้ว่าตอนนั้นพวกเราสามคนไปล้อเล่นกับความรู้สึกของเธอ ในตอนที่เธอตายเอาไว้พอสมควร แล้วจับกินจนพลังของเธอเหือดแห้ง
พอเล่นสนุก และดื่มด่ำกับรสชาติจนพอใจ พวกเราก็ปล่อยเธอออกไปส่งให้ท่านยม เหมือนกับวิญญาณคนอื่น ๆ ที่เคยถูกพวกเราแกล้งมาแบบนี้
แต่ว่าผมรู้สึกถูกใจเธอ เลยแอบหาจังหวะไปสับเปลี่ยนกับวิญญาณของคนอื่นไม่ให้ใครรู้ แล้วเก็บเธอมาเป็นหนึ่งในของสะสมของตัวเอง
“… ทำไมถึงหายไปได้กันหว่า? ”
ปวดหมอง… ช่างหัวแม่งเป็นรอบที่สอง
ตอนนี้ถอดสมองแล้วแดก ๆ ต่อไปเถอะ
วิญญาณดวงที่ 1500…, 1600…,
ทะ—ทรมาน—
แต่… ทำไมยังไม่ยอมอ้วกออกมาอีฟะ?
นี่ใจคอจะให้ผมกินจนหมดตู้ที่เก็บสะสมมาร่วม 1000 ปี เลยอย่างงั้นเรอะ!
ดวงที่ 1990…
เอาจริงดิ!? เหลืออีกแค่ 9 ก้อนบนชั้นวางแล้วนะ!
ดวงที่ 1998…
ขะ— ของรักของข้า…
“ดะ— ดวงสุดท้ายแล้ว…”
ดวงที่ 1999—
*โอ๊กกกกกก!!!*
MANGA DISCUSSION