การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 7: เวทมนตร์
บทที่ 7 เวทมนตร์
หลังจากนั้นแม่ก็เหมือนจะท้องขึ้นมา ท้องตั้งแต่วันนั้นเนี่ย หมายความว่าฉันเป็นพยานตัวสำคัญในการกำเนิดน้องสินะ
อีกอย่างอย่าบอกนะว่าฉันเป็นต้นเหตุที่พ่อกับแม่ฮึดทำสงครามภายในกันอย่างหนัก ก็แม่บอกจะเอาเรื่องที่ฉันพูดได้ไปบอกพ่อแล้วไม่กลับมาอีกเลย
พอรู้ตัวก็เห็นทำสงครามกันอยู่.. อืม… ช่างมันแล้วกันไม่เกี่ยวกับฉันนี่น่า
จะว่าไปแล้วช่วงนี้ฉันรู้สึกนุ่มฟูเกินไป เราจะอ่อนข้อต่อโลกที่แสนโหดร้ายนี้ไม่ได้เด็ดขาด!
ฉันต้องมีความระวังในความคิดมากกว่านี้ เพราะว่าในโลกนี้มีคนที่เหมือนเป็นพ่อแม่จริงๆ อยู่เลยทำให้ฉันอ่อนข้อต่อโลกเกินไป
ด้วยเหตุนี้ฉันจึงกลับมาเป็นคนเดิมได้สำเร็จ สิ่งที่ฉันขาดไปตอนนี้คือข้อมูลของโลกในตอนนี้ โลกปัจจุบัน
เวลาค่อยๆ ไหลผ่านไป
เวทมนตร์ธรรมชาติ มันคือเวทมนตร์ที่ใครๆ จะทำได้ก็จริง แต่ที่ขาดไม่ได้คือการศึกษาและค้นคว้าเกี่ยวกับธรรมชาติและโลกใบนี้
เวทมนตร์จะแข็งแกร่งได้ไม่ใช่ต้องมีจำนวนพลังเวทมหาศาล ยกตัวอย่างเช่นผู้กล้าแรกเริ่มเดิมทีพลังเวทของมนุษย์นั้นน้อยกว่าปีศาจมากนัก
แต่ที่สามารถต่อกรกับจอมมารหรือปีศาจ ได้เพราะการเข้าใจโลกและธรรมชาติได้มากจึงสามารถใช้พลังอันน้อยนิดแทรกแซงกฎของโลกได้
จริงอยู่ที่ผู้กล้าใช้เวทมนตร์แฟร์รี่ได้ แต่นั่นมันส่วนน้อย เวทมนตร์ธรรมชาติคือเวททั่วไปสำหรับผู้กล้าที่ต้องใช้กันทุกคน
การจะแทรกแซงกฎของโลกและความเป็นจริง จำเป็นต้องเข้าใจมันเสียก่อน ยกตัวอย่าง ไฟ
อย่างที่ใครๆ ก็ทราบกันว่า องค์ประกอบของไฟ นั้นมีอยู่สามอย่าง ซึ่งประกอบไปด้วย ออกซิเจน, เชื้อเพลิงและความร้อน
ดังนั้นการที่เราจะสร้างไฟขึ้นมาสิ่งที่เราต้องทำคือการแทรกแซงองค์ประกอบเหล่านี้ให้อยู่ในจุดจุดเดียวและปลดปล่อยมันออกมาในคราวเดียว
หรือถ้าเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติได้ยากกว่าปกติอย่างน้ำ เราก็ต้องเจาะลึกเข้าไปในระดับสสารมวล ของสิ่งที่เรียกว่า ‘ของเหลว’
ในการสร้างมันขึ้นมา
พูดอีกนัยหนึ่งก็คือ การจะปลดปล่อยเวทได้นั้นต้องเข้าใจในระดับดังกล่าวเลยทีเดียว
แต่ขอบเขตมันก็มีก็คือการสร้างสิ่งของจากความว่างเปล่านั่นแหละ
การแทรกแซงไม่เหมือนกับการสร้าง หากเราต้องการที่จะสร้างเราแค่สร้างมันเท่านั้น และการสร้างคือเวทมนตร์แฟร์รี่
แต่การแทรกแซงที่กำลังพูดถึงอยู่คือการทำในสิ่งที่มีความเป็นไปได้ในโลกนี้ เช่นการ ปล่อยน้ำ ปล่อยไฟ ปล่อยดิน ปล่อยสายฟ้า
ไม่จำกัดแค่ธาตุ อาจจะสร้างโกเล็มดินขึ้นมาโดยใช้เวทมนตร์เป็นวงจรในการควบคุมร่างกาย หรือสิ่งต่างๆ เวทมนตร์มีความหลากหลายไร้จุดสิ้นสุด
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ยังไม่ค้นพบหรือเป็นสิ่งที่ค้นพบแล้ว ก็ยังมีมากมายอีกจนนับไม่หมด นี่คือความไร้ที่สิ้นสุดของคำว่า ‘เวทมนตร์ธรรมชาติ’
แต่ก็มีลึกกว่านั้นคือการเปลี่ยนมูลฐานอะตอมของวัตถุ ว่าง่ายๆ เปลี่ยนถ่านให้เป็นทองคำก็ได้นั่นเอง
แต่นั่นเป็นศาสตร์ที่เรียกว่า ‘การแปรธาตุ’ และการที่จะทำได้ในระดับเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของอะตอมได้นั้น
ว่ากันว่าต้องมี ‘ศิลานักปราชญ์’ ก่อน.. ถึงโลกเดิมฉันจะมีคนเข้าใจโครงสร้างของอะตอมเต็มเลยก็เถอะนะ ถ้าพวกนักวิทยาศาสตร์มาโลกนี้จริงๆ
เวทมนตร์ธรรมชาติคงก้าวกระโดดแน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างหลุมดำเทียม ซุปเปอร์โนว่า หรืออะไรหลายๆ อย่างในโลกเดิม
แต่ฉันไม่คิดจะทำแบบนั้นหรอกนะ ถึงจะพอมีความรู้เรื่องเลขอะตอมอยู่บ้าง แต่ฉันไม่คิดจะเปลี่ยนถ่านให้เป็นทองคำหรอกนะ
ก็แหม ถ้ามีคนรู้เข้าฉันคงโดนจับไปเป็นเครื่องปั๊มทองทั้งวันทั้งคืน.. แค่คิดก็ตัวสั่นแล้วแหละ ไม่เอาแบบนั้นเฟ้ย
กลับมาเรื่องเดิม เวทมนตร์คือสิ่งที่มีอยู่จริงและสามารถเข้าใจมันได้ด้วยคำอธิบาย แต่เป็นการแทรกแซงให้มันปรากฏเพียงเท่านั้น
แต่เวทมนตร์แฟร์รี่ คือทำในสิ่งที่เป็นได้หรือเป็นไปไม่ได้ทั้งหมด และสร้างมันขึ้นมาโดยตรง คล้ายๆ กับคำว่าแทรกแซงธรรมชาติ
เพียงแต่นี่มันคือการ ‘ควบคุม’ โดยเบ็ดเสร็จ!
อยากให้เวลาหยุดเดิน ก็ต้องหยุดเดิน อยากให้เวลาย้อนกลับก็ต้องย้อนกลับ นั่นล่ะคือความแข็งแกร่งของเวทมนตร์แฟร์รี่
ไม่จำเป็นต้องใช้หลักเหตุผลหรือตรรกะใดๆ ในการควบคุมมัน
เพราะว่าภูต คือตัวตนที่เป็นจุดศูนย์กลางของโลก คนที่ควบคุมธรรมชาติควบคุมสิ่งที่ควรจะเป็น
แม้ว่าภูตจะแตกต่างกันออกไปเช่น ธาตุไฟ ธาตุน้ำ อะไรแบบนั้น แต่ไม่ได้แปลว่าพวกมันควบคุมได้แค่น้ำและไฟ
มันแค่เป็นตัวแทนของน้ำและไฟทั้งหมดทั่วทั้งจักรวาล ที่พระเจ้าเขียนมันให้เป็นรูปธรรมขึ้นมา
ว่าง่ายๆ หากภูตไฟตายไป ก็จะไม่มี ‘ไฟ’ บนโลกนี้อีกต่อไปนั่นเอง
นั่นแหละคือภูต…
แล้วก็พวกนี้เนี่ยมีการแบ่งพลังด้วยนะ.. ถ้าให้เปรียบเทียบกับเกมคงคล้ายๆ คลาส การจะเลื่อนคลาสต้องทำภารกิจ เป็นนักผจญภัยอะไรแบบนั้นล่ะมั้ง
อันนี้เป็นข้อมูลที่ได้มาจากการอ่านหนังสือ.. คือโลกใบนี้ถึงจะมีนักรบดาบก็จริง แต่ส่วนใหญ่ก็มีเวทมนตร์กัน
ซึ่งแบ่งระดับจากค่ำไปสูง ได้แก่
นักเรียนฝึกหัด (ระดับที่ยังไม่ใช่จอมเวท)
จอมเวทเริ่มต้น (ระดับที่ยังรับภารกิจไม่ได้)
จอมเวทระดับล่าง แบ่งออกเป็นสามชั้น (เป็นจอมเวทเต็มตัว)
จอมเวทระดับกลาง แบ่งออกเป็นสามชั้น (ครอบครองอักษรรูนมากกว่าหนึ่ง)
จอมเวทระดับสูง แบ่งออกเป็นสามชั้น (ครอบครองบทสวดแห่งรูนมากกว่าหนึ่งบท)
นักมหาเวท (ครอบครองคัมภีร์แห่งรูน)
พาลาดิน (ปกครองหอสมุดแห่งรูน The rule of library)
….
นี่คือระดับต่างๆ บนโลกปัจจุบัน ไม่ใช่ว่ามีพลังเวทระดับไหนๆ เหมือนฝั่งปีศาจ แต่ระดับของเหล่าจอมเวทจะพิสูจน์จากการกระทำ ภารกิจและการเข้าใจต่อเวทมนตร์
ส่วนพวกอักษรรูน ฉันว่าไม่ควรพูดถึงตอนนี้เพราะมันห่างไกลฉันเกินไป ก็นะ แต่บนโลกนี้ไม่มีพาลาดินสักคนหรอกนะ
เพราะพาลาดินคือขอบเขตที่ว่าสามารถต่อสู้กับจอมมารได้อย่างเท่าเทียม หรือก็คือระดับเดียวกับผู้กล้าที่เวทมนตร์แฟร์รี่!
บนโลกนี้ไม่มีใครไปถึงระดับนั้น.. แต่ก็นะการจะเลื่อนระดับมีหลายวิธีมาก ไม่ว่าจะเป็นการกระทำ พวกเป็นรีรบุรุษฆ่าปีศาจปกป้องประเทศอะไรแบบนี้
แต่ตัดไปได้เลยสมัยนี้คือความสงบสุข เลยเหลือแค่ภารกิจกับความเข้าใจต่อเวทมนตร์
ภารกิจมีหลากหลายกันออกไป ไม่ว่าจะช่วยชาวบ้าน บลาๆ แต่ภารกิจเหล่านี้จะมีอยู่แค่ในโรงเรียนชั้นนำของประเทศ หรือในกิลด์นักผจญภัยเท่านั้น
ส่วนความเข้าใจต่อเวทมนตร์ ไม่จำกัดว่าจะเป็นอะไรหรือใครที่ไหน แต่ในทุกๆ ปี จะมีการทดสอบความเข้าใจต่อเวทมนตร์ที่โรงเรียนแห่งหนึ่ง
ซึ่งสามารถพิสูจน์ได้ว่า เวทมนตร์ของเขาอยู่ในระดับไหนนั่นเอง นี่คือข้อมูลเบื้องต้นที่ฉันได้รู้มาน่ะนะ
แต่ว่าที่ติดใจฉันคือ โรงเรียนเวทมนตร์นั่นแหละ ฉันไม่สนใจพวกกิลด์นักผจญภัยอะไรทำนองนั้นหรอก พูดถึงกิลด์ก็นึกถึงนิยายแฟนตาซีที่แบบ
ต้องออกไปเสี่ยงอันตรายแลกเงินไรแบบนั้น แต่ฉันไม่เอาด้วยหรอกนะ แต่ที่น่าสนใจคือโรงเรียนสินะ
ไม่ได้อยากมีเพื่อนหรืออะไรหรอกนะ ฉันแค่คิดว่าถ้าลองได้เรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์มากกว่านี้คงจะสนุกไม่น้อย
ถึงพูดเองจะยังไงๆ อยู่ แต่เห็นแบบนี้ฉันก็เป็นพวกชอบความรู้มากๆ นะ
ก็แน่สิ ถ้ามีความรู้ก็ไม่มีทางโดนหลอกใช่ไหมล่ะ ฮ่าๆ
ฉันนี่สุดยอดจริงๆ คิดไม่ถึงเลยล่ะสิ
…………