การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 252
บทที่ 252 – คนสำคัญของฉันน่ะ
หลังจากที่พวกเราปลอมตัวเสร็จก็เดินออกมา ถึงจะบอกว่าปลอมตัวก็เถอะ แต่ในความจริงแค่สวมชุดคลุมเฉยๆ นะ
แต่ด้วยความที่สามในสิบของเมืองนี้สวมชุดเหมือนๆ พวกเราจึงไม่มีอะไรผิดสังเกตแม้แต่นิดเดียว พวกเราเดินลัดเลาะไปตามทางมุ่งหน้าไปยังโบสถ์
“ถึงจะว่าแบบนั้นก็เถอะ แต่เมืองคึกคักน่าดูเลยนะ”
คนที่พูดขึ้นมาคืออามาเระ เธอมองซ้ายมองขวาก็มีแต่ผู้คน ลาน่าจึงกล่าวคำอธิบายสั้นๆ ว่า
“ก็นะ ที่เมืองนี้มีรูปปั้นเทพอยู่เทพโอโรโบรอสอยู่ เห็นว่าถ้าไปขอพรที่นั่นไม่ว่าใครก็ตามก็ล้วนมีโอกาสได้รับสิ่งที่เรียกว่า ‘ทักษะ’ มา”
“หืม.. ทักษะที่ต้องได้รับการยอมรับจากเทพก่อนน่ะนะ ทำแบบนั้นได้ด้วยเหรอ ไม่ใช่ว่าต้องให้เทพมายอมรับเองหรอกเหรอ”
ฉันถามออกไป เพราะเรื่องทักษะฉันศึกษามาเยอะพอสมควรแล้วหลังจากที่มาเรียนในโรงเรียนเวทมนตร์
ถามอาจารย์ชิสุเอาน่ะนะ ส่วนเหตุผลว่าทำไมก็เพราะเรื่องที่ฉันมีทักษะป้องกันตัวจำนวนมากที่ได้รับจากเทพธิดาอยู่
แต่น่าเสียดายที่เหมือนว่าจะใช้งานไม่ได้สักอัน ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของตัวเองฉันจึงหาทุกวิถีทางเพื่อที่จะใช้มัน แต่ก็ไม่สำเร็จ
ทว่าในโลกชิ้นส่วนเวหาเหมือนฉันจะใช้ได้ แต่นั่นต้องอยู่ในขอบเขตที่ฉันนิยามขึ้นมาได้เท่านั้น..
ดังนั้นถ้าฉันต้องการทักษะทั้งหมดจริงๆ ต้องทำสัญญาเป็นหมากให้เทพเสียก่อน ..
“เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่มั่นใจเหมือนกัน.. เพราะไม่ใช่ว่าทุกคนที่จะสามารถปลุกทักษะขึ้นมาได้”
“แบบนี้นี่เอง”
ฉันพยักหน้าเข้าใจ ดูเหมือนว่าผู้คนที่พลุกพล่านอยู่แถวนี้คือพวกที่หวังจะได้รับทักษะอย่างนั้นสินะ..
ในขณะที่ฉันกำลังจะถามอะไรบางอย่างสายตาฉันก็เหลือไปเห็นบุคคลหนึ่งเข้า เขาเป็นผู้ชายมีผมสีเหลืองอมทอง
อันที่จริงเพราะว่าด้านหลังเขามีผู้คุ้มกันอยู่เยอะเลยทำให้ฉันสังเกตเห็นทันที ชายคนนี้มีหน้าตาหล่อเหลาและมีกลิ่นอายของผู้ดีล้อมรอบตัว
ฉันจำเขาได้ทันที เขาคือผู้ชายที่อ้างว่าตนเองเป็นคาร์ดินัลแต่ดันไปเป็นผู้เผยแผ่ศาสนาซะเอง
“มีอะไรเหรอคะ องค์หญิง”
ลาน่ากล่าวถามฉันพร้อมกับหันไปหาชายคนนั้น อันที่จริงที่เดินมาเราเจอคนที่เป็นคาร์ดินัลมามากกว่าหนึ่งคน
แต่นี่เป็นคนแรกที่ทำให้ฉันชะงัก เพราะงั้นลาน่าเลยถามออกมาละมั้ง
“ผู้ชายคนนั้นคือคนที่ไปเผยแผ่ศาสนาในเมืองกลางทะเลสาบของโรงเรียนลิเบอร์.. และฉันกับชาร์ล็อตก็ได้ไปฟังเขา”
ฉันตอบออกไปพลางครุ่นคิดเล็กน้อย.. พอมานึกๆ ดูทำไมตัวชาร์ล็อตถึงมาอยู่ในที่ที่ห่างไกลได้ไวขนาดนี้
ในโลกนี้ไม่มียานพาหนะอย่างพวกเครื่องบินหรือรถไฟเลยนะ แล้วทำไมเธอถึงมาที่นี่ได้ภายในไม่กี่เดือน
คำตอบมีเพียงอย่างเดียวคือเธออาจจะถูกพามา.. และคนที่เกี่ยวข้องกับศาสนาโอโรโบรอสที่ไปอยู่ที่นั่นในช่วงเวลาที่ชาร์ล็อตจะออกจากโรงเรียนมันค่อนข้างใกล้เคียงกันด้วย..
ฉันอธิบายทุกอย่างให้ลาน่ากับอามาเระฟัง พวกเธอพยักหน้า ลาน่าคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“งั้นพวกเราแยกทางกัน คนหนึ่งตามชายคนนั้นไปส่วนอีกคนไปที่สารภาพบาป”
ฉันเห็นด้วยกับความคิดลาน่า เพราะหากตามชายคนนี้ไปอาจจะคว้าน้ำเหลวสุดท้ายเสียเวลาเปล่าอีกต่างหาก
ยิ่งอยู่นานก็หมายความว่ายิ่งมีโอกาสจะถูกจับได้มากขึ้นเช่นกัน ถึงผ้าคลุมนี้จะทำออกมาเลียนแบบแต่เราก็ไม่ควรประมาท
ทว่าการแยกทางกันมันอาจจะยิ่งทำให้อันตรายมากขึ้นกว่าเดิม ฉันคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพูดขึ้น
“งั้นฉันจะตามผู้ชายที่ชื่อฮิสครอมนั่นไปเอง ส่วนพวกเธอสองคนไปสืบหาข้อมูล”
“เอ้ะ แบบนั้นมันองค์หญิงอาจจะได้รับอันตราย หน้าที่ของข้าคือปกป้ององค์หญิงนะคะ”
“ข้าด้วย ข้าต้องอยู่กับท่านเท่านั้นนะ”
ทั้งคู่เหมือนจะปฏิเสธความคิดของฉันทันที แต่ฉันก็ยังยืนยันคำเดิมจากความคิดของฉันการเดินไปถิ่นศัตรูคนเดียวมันอันตรายเกินไป
หากมีใครคนหนึ่งไปถิ่นศัตรูอาจจะโดนจับได้เลย ดังนั้นการตามคาร์ดินัลฮิสครอมไปต้องง่ายกว่า
ความจริงฉันควรจะไปที่สารภาพบาป แต่หากพูดถึงความสามารถสืบข่าวลาน่าคงจะเหนือกว่าฉันอีกอย่างอามาเระเองก็เป็นภูตสามารถลบตัวตนออกไปให้ไม่มีคนเห็นได้
ดังนั้นพวกเธอสองคนควรจะไปด้วยกัน
“ก็อย่างที่บอก งานนี้มันอันตรายมาก ฉันไม่อยากให้พวกเธอเป็นอะไรเพราะฉันหรอกนะ ดังนั้นอย่าพลาดด้วยล่ะ”
ฉันอธิบายทุกอย่างที่คิดออกไปจนหมด ลาน่าก้มหน้าลงก่อนที่เธอจะพยักหน้าแล้วก็พูดขึ้น
“เข้าใจแล้วค่ะ”
“ถ้าท่านจอม— เลทิเซียว่าแบบนั้น.. ก็ได้”
อามาเระกับลาน่าพยักหน้าอย่างจนใจ ฉันถอนหายใจแล้วก็เดินผ่านพวกเธอสองคนไปพร้อมกับพูดเสียงเบา
“ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอก.. ฉันน่ะฆ่าคนไปเป็นล้านคนเลยนะ”
ฉันพูดออกไปแบบนั้นก็ตามฮิสครอมไปโดยไม่ได้ดูสีหน้าของทั้งสองคน.. ใช่.ง ฉันมันเป็นฆาตกรที่ฆ่าคนไปมากมายหลายล้านคน
เรื่องนั้นฉันรู้ดีกว่าใคร..ฉันก้มมองลงมือทั้งสองข้างตัวเองก่อนจะกำหมัดเบาๆ .. เพราะงั้นไม่เป็นไร..
ใครขวางเส้นทางของฉัน.. ฉันก็แค่ทำให้มันเป็นหนึ่งในล้านก็พอ.. ต่อให้ต้องฆ่าคนไปมากอีกแค่ไหนฉันก็จะปกป้อง..
มือทั้งสองข้างของฉันสั่นเบาๆ .. แต่ก็หายสั่นในแทบจะทันที.. พี่สาวเคยบอกฉันเสมอว่าอย่าทำให้ใครต้องเจ็บปวดโดยไร้ซึ่งความรู้สึก
อย่าชินชาต่อความเจ็บปวดผู้อื่น.. และอย่าทำให้ใครต้องเจ็บปวด.. ใช่ ฉันพยายามใช้ชีวิตโดยหลีกเลี่ยงมาตลอด
หลีกเลี่ยงที่จะเกิดความขัดแย้ง ไม่ว่าจะเป็นฉันหรือคนที่มามีเรื่องด้วย.. ถ้าจะพูดให้ถูกคือฉันหนีมาตลอด
แต่ว่าในเมื่อพวกนั้นมันพยายามจะมาช่วงชิงคนสำคัญของฉัน มาทำให้ฉันเจ็บปวดโดยไม่รู้สึกอะไรเลย
ฉันยังควรจะไม่ทำร้ายพวกมันอีกไหมพี่.. บางทีถ้าเป็นพี่คงตอบว่าไม่ควรเหมือนเดิมนั่นแหละ
ใช่เพราะพี่เป็นคนดีที่สมบูรณ์แบบที่สุดยังไงล่ะ คนแบบพี่น่ะคือคนที่ฉันอยากจะเป็น..
แต่ว่า.. ภาพของสเตฟานี่.. ภาพของโคลเอ้และภาพของเซเรสลอยเข้ามาในหัว ภาพคนตายนับไม่ถ้วนที่เกิดจากฉันลอยขึ้นมา
“นี่คงเป็นครั้งแรกที่ฉันไม่ฟังคำพูดของพี่.. และจะไม่ใช่ครั้งสุดท้าย.. ฉันจะทำทุกอย่างเพื่อปกป้องคนที่สำคัญกับฉัน…..”
“ในเมื่อโลกใบนี้มันพยายามจะช่วงชิงทุกอย่างไปจากฉัน.. ทำให้ฉันสูญเสีย ทำให้ฉันเจ็บปวด.. ฉันจะฆ่าพวกมัน”
“ขอโทษนะพี่.. ที่น้องของพี่คนนี้มันไม่ฟังพี่..”
“แต่ว่าฉันน่ะ…”
ฉันกัดริมฝีปากเบาๆ ..
“คนสำคัญของฉันของฉันไม่ได้มีเพียงแค่พี่หรือลูเซียอีกต่อไปแล้ว”
“เพราะว่าในโลกใบนี้น่ะ.. มีคนสำคัญของฉันมากมาย ฉันต้องปกป้องมัน.. ฉันจะไม่ไปช่วงชิงของของใครหรือทำร้ายใคร.. ฉันสัญญา”
“แต่.. ฉันจะฆ่าทุกคนที่ปองร้ายกับคนสำคัญของฉัน”