การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 245
บทที่ 245 – อา.. อา….อ่า
บรรยากาศกลับคืนสู่ความเงียบ.. แม้มันจะมีความอบอุ่นแต่ทว่า.. ความจริงที่เกิดขึ้นก็ไม่เปลี่ยนไป..
แต่อย่างน้อยมันก็บรรเทาความเจ็บปวดของเลทิเซียได้บ้าง.. แต่ความเจ็บปวดหาใช่สิ่งที่จะสามารถใช้ความอบอุ่นมาแทนได้
ความเจ็บปวดก็คือความเจ็บปวด การสูญเสียมันก็ยังเป็นความจริงที่ไม่อาจจะเปลี่ยนแปลง แม้เลทิเซียไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดูไม่ได้แล้วก็ตาม
แต่จิตใจของเธอก็ยังคงหมองมัวอยู่ดี เธอจ้องมองลงไปยังร่างของโคลเอ้ ก่อนที่จะพูดขึ้น
“ฉันต้องเอาร่างของเธอไปให้ครอบครัวของเธอ..”
เธอพึมพำอย่างอ่อนแรงเพราะร้องไห้หนักเกินไป.. ลาน่าไม่ได้แสดงความเห็นอะไร แต่ในตอนนั้นเองลาน่าก็ขมวดคิ้ว
ก้มหน้าลง.. เธอกำลังสื่อสารกับใครสักคนโดยใช้เทเลพาธีอยู่นั่นเอง คล้ายเป็นการสื่อสารผ่านจิต เป็นวิชาเฉพาะทางของปีศาจซัคคิวบัส
อันที่จริงพลังของซัคคิวบัสคือก้าวเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับโลกภายในจิตใจของผู้อื่น กระตุ้นความอยากความปรารถนาของผู้อื่น..
และลาน่าก็ใช้ประโยชน์จากจุดนี้ในการเชื่อมต่อจิตใจเข้ากับคนอื่นทำให้ได้ยินเสียงหัวใจคนอื่นได้
แน่นอนว่าเสียงหัวใจในที่นี้ไม่ใช่เสียงหัวใจที่เต้น.. แต่หมายถึงเสียงที่อยู่ในจิตใจของผู้อื่นและสามารถใช้การสื่อสารผ่านจิตโดยไม่มีขอบเขตการทำงาน
ยังไงซะเธอก็เป็นปีศาจระดับท็อปของแดนปีศาจเลยทีเดียว แน่นอนว่าลาน่ามีกองกำลังของตัวเอง.. ใช่นอกจากทำหน้าที่เป็นคนคอยดูแลเลทิเซียแล้ว
เธอยังเป็นเหมือนสปายจากอาณาจักรฟาร์เนียที่มีลูกน้องของเธอแทรกซึมไปในหลายๆ ประเทศเพื่อรวบรวมข้อมูล
..ว่าง่ายๆ คือเธอเป็นคนควบคุมหน่วยข่าวสารข่าวกรองของอาณาจักรฟาร์เนียที่ขึ้นตรงต่อจอมมารเอลร่านั่นเอง
“ว่าไงนะ?!”
เธอตะโกนออกมาอย่างตกใจเลทิเซียหันหน้ามามองเธอ ทำให้เธอแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา
“มีอะไรเหรอ..”
ลาน่าไม่อยากปกปิดเรื่องของตัวเองแก่เลทิเซียเช่นกัน เพราะเมื่อกี้เธอพึ่งพูดไปว่าจะอยู่เคียงข้างเลทิเซียเสมอ
หากโกหกไปก็หมายความว่าเธอไม่มีคุณสมบัติดังกล่าวนั้นพอดีน่ะสิ ดังนั้นเธอจึงอธิบายเรื่องที่ตัวเองเป็นหน่วยข่าวกรอง
“งั้นเหรอ”
“ดูไม่ตกใจเลยนะคะ?”
“ก็ฉันรู้มาตั้งแต่แรกแล้วว่าเธอเป็นคนของแม่จริงๆ ของฉัน”
“รู้ถึงเรื่องนั้นเลยเหรอคะ”
ลาน่าดูตกใจจากคำพูดของเลทิเซีย โคลเอ้รู้ยังพอว่าเพราะอีกฝ่ายมีพลังแปลกๆ แต่โดนกระทั่งเป้าหมายที่ต้องปกป้องรู้นี่.. มัน..
เธอรู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวในการเป็นสายลับ แน่นอนว่าเธอเดาว่าเลทิเซียคงแอบได้ยินหรือเจอตอนที่เธอส่งข่าวหาจอมมารเอลร่านั่นแหละ
ทั้งที่ความจริงแล้ว.. ทุกอย่างตั้งแต่เธอลืมตาดูโลก.. เธอก็ไม่ได้มีมันสมองเหมือนทารกทั่วไปนั่นเอง
ในทางกลับกันนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่เลทิเซียได้พูดอย่างตรงไปตรงมากับลาน่า เพราะตลอดมาก็เอาแต่ระแวงเธอตลอดเวลา
นี่คงเป็นครั้งแรกที่สามารถพูดได้เต็มปากเรื่องอดีตของตัวเธอเอง..
“แล้วมีเรื่องอะไรงั้นเหรอ..?”
“เรื่องนั้น….”
หากเป็นเลทิเซียคงเดิมเธอคงตอบอืมแล้วปัดทิ้งเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องที่อาจจะมีอันตรายมาถึงตัวเธอเอง
แต่ตอนนี้เธอกลับถามราวกับให้ความสนใจเรื่องของลาน่า..อันที่จริงแม้แต่ตัวเลทิเซียเองก็ยังไม่รู้ตัวว่าตัวเองเปลี่ยนไป
แต่พอได้รับคำถามลาน่าก็ลังเล.. เลทิเซียในตอนนี้มีเรื่องให้คิดมาก คิดกังวลมากเกินไปแล้ว.. ถ้าขืนบอกเรื่องนี้ไป…
ลาน่าไม่อยากให้เลทิเซียคิดมากไปกว่านี้.. เธอจึงตัดสินใจที่จะปิดปากเงียบ.. และกำลังจะบอกว่าไม่มีอะไรสำคัญ
“ฉันขอความจริง ฉันไม่ยอมให้เกิดเรื่องที่ฉันเอื้อมไม่ถึงขึ้นอีกแน่”
ใช่ สิ่งที่เลทิเซียกังวลในตอนนี้คือมันมีเรื่องเกินตัวที่คนสำคัญของเธอปกปิดไว้โดยไม่บอกเธอ..
สุดท้ายก็กลายเป็นว่าเธอไม่ได้อยู่ข้างๆ คนเหล่านั้นในช่วงเวลาที่ลำบากที่สุด.. เลทิเซียกัดฟัน.. ลาน่าจึงถอนหายใจเบาๆ ไม่อาจขัดคำสั่งเลทิเซียได้
“ที่จริงมันเป็นเรื่องเกี่ยวกับรูมเมจขององค์หญิงที่ชื่อว่า.. ชาร์ล็อต”
“อะไรนะ!? เกิดอะไรขึ้นกับชาร์ล็อต?”
ปฏิกิริยาตอบสนองของเลทิเซียทำให้ลาน่ารู้สึกผิดมากที่ตัวเองตะโกนเสียงดังเพราะตกใจ.. เธอรู้แล้วว่าเธอคนนั้นเองก็เป็นเพื่อนคนสำคัญของเลทิเซีย
แต่ในเมื่อเป็นแบบนี้โกหกไปคงจะยิ่งแย่กว่าเดิมเธอจึงตัดสินใจที่จะกล่าวบอกออกไปตามตรงแบบไม่ปิดบัง
“อันที่จริง..มีสายข่าวของพวกเราบอกว่าเจอเด็กที่ใส่ชุดนักเรียนของโรงเรียนลิเบอร์ถูกจับไปในกองโจรแถวศาสนจักรเมื่อหลายวันก่อนนะ”
“จากลักษณะของนักเรียนที่ว่าดูเหมือนจะตรงกับชาร์ล็อตเพื่อนองค์หญิงเลยค่ะ”
เรื่องที่ลาน่าตกใจก็เป็นเรื่องนี้นี่แหละ ศาสนจักรโอโรโบรอสมันห่างจากโรงเรียนลิเบอร์ขึ้นไปทางเหนือหลายหมื่นกิโลเมตร
เรียกได้ว่าไกลสุดแสน แล้วในเวลาไม่ถึงสองสามเดือนชาร์ล็อตไปถึงที่นั่นได้ยังไง แม้มีคำถามมากมายอยู่ก็ตามแต่เธอก็ตอบเลทิเซียออกไป
“อะไรนะ.. แล้วอันน่าทำอะไรอยู่ ต้องรับไปช่วยเธอแล้ว”
“ใจเย็นๆ ก่อน ดูเหมือนว่ากองโจรนั้นจะจับผู้ศรัทธาระดับสูงไปด้วย หลังจากนั้นเพียงหนึ่งวันพวกเขาได้ช่วยออกมาได้สำเร็จทันที”
พอพูดแบบนั้นเลทิเซียก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกพลางตอบว่า “งั้นเหรอ..”
“แต่ว่า.. ดูเหมือนว่าศาสนาโอโรโบรอสมันจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่ภายในศาสนจักรด้วย..”
“หมายความว่า.. ชาร์ล็อตอาจจะเป็นอันตราย?”
ลาน่าพยักหน้า.. เรื่องไม่ชอบมาพากลเกี่ยวกับศาสนจักรนี้มันมีเยอะมากมายเหลือจะกล่าว.. ไม่ว่าจะเป็นการที่จู่ๆ ก็มีศาสนา
ใช้เวลาไม่ถึงปีก็มีผู้ศรัทธามากมายนับไม่ถ้วนจนสถาปนาขึ้นมาเป็นศาสนาขนาดใหญ่เผยแพร่หลักคำสอนไปทั่วผืนทวีปอย่างรวดเร็ว
“ข้าหวังว่าสิ่งที่ข้าคาดเดาอาจจะไม่ใช่เรื่องจริง.. ไม่งั้น..”
เธอไม่ได้พูดต่อ แต่เลทิเซียไม่ไดสนใจ.. เมื่อนึกถึงชาร์ล็อตเธอก็กัดฟันพูด
“ฉันจะไปช่วยเธอ”
“เข้าใจแล้วค่ะ เดี๋ยวจะไปเตรียมตัวเครื่องเดินทางข้ามมิติของอาณาจักรเวทมนตร์มิราลิสไปยังศาสนจักรโอโรโบรอสให้ค่ะ คาดว่าพรุ่งนี้คงเรียบร้อย”
“ไม่ห้ามเหรอ”
เลทิเซียกล่าวถามเบาๆ ลาน่ายิ้มแล้วส่ายหน้า..
“ประสงค์ขององค์หญิงก็คือประสงค์ของข้า”
หลังจากนั้นเลทิเซียก็เก็บร่างของโคลเอ้ไว้อย่างดีก่อนที่จะถอนหายใจและเดินจากไป..
“คนร้ายที่ฆ่าเธอ.. ฉันจะลากคอมันออกมารับผิดให้ได้..”
เลทิเซียกัดฟันพูด.. ก่อนที่จะเดินจากไปอย่างเงียบๆ .. เลทิเซียเดินไปห้องพยาบาลอย่างรวดเร็ว
ในตอนนี้เธอกำลังเดินบนโถงทางเดินพอมองเหห็นห้องพยาบาลเธอก็แปลกใจ.. เพราะว่าไฟในห้องพยาบาลเปิดอยู่
แม้ประตูไม่ได้เปิดแต่ก็มีแสงลอดมาจากใต้ประตูที่มีช่องเล็กๆ อยู่ เธอจำได้ว่าตอนออกมาเธอไม่ได้เปิดไฟไว้สักหน่อย..
ในตอนนั้นเอง.
“เซเรส”
เลทิเซียตกใจทันที เธอรีบวิ่งไปพร้อมกับตะโกนเรียกเซเรสแต่ทว่าไม่มีการตอบสนองกลับมา
เลทิเซียพยายามจะเปิดประตู แต่เหมือนประตูห้องจะล็อกอยู่.. ต้องใช่แน่ๆ เซเรสต้องฟื้นแล้วแน่ๆ
“เซเรส นี่ฉันเองเลทิเซียไง..”
“…..”
“เซเรสได้ยินฉันไหม”
“……..”
“เซเรส!!”
“………….”
สิ่งที่ตอบรับเลทิเซียมีเพียงความเงียบเท่านั้น..รอบข้างไร้ซึ่งเสียงวี่แววของคน.. ‘เอี๊ยด’ ราวกับมีสายลมเย็นๆ ที่พัดมาจากไหนไม่รู้พร้อมกับเสียงเสียดสีของไม้กับเชือก
“เซเรส”
เลทิเซียพยายามร้องเรียกแต่กลับไร้สิ้นเสียงตอบรับ.. ในตอนนั้นเอง.. แสงใต่ประตูที่สว่างก็เหมือนมีเงาสีดำพาดผ่านช่องใต้ประตู
หัวใจของเลทิเซียเต้นตึกตัก.. สายลมหนาวในที่ที่ไม่ควรจะมีคนอยู่ก็พัดมาอีกรอบ.. ใบหน้าเธอกระตุก
“เซเรส เปิดประตูสิ เธอเล่นอะไร”
“…….”
“เซเรส”
“……”
ไร้ซึ่งการตอบกลับ.. เลทิเซียพยายามเคาะประตูดังๆ เพราะคิดว่าเธออาจจะเผลอหลับไปอีกรอบ.
แต่ก็ยังเงียบสนิท.. ความสับสนความว้าวุ่นกลายเป็นความกังวลใจ.. เธอไม่อาจจะทนได้อีกต่อไป
“ปัง”
เธอพังประตูเข้าไปอย่างรวดเร็ว..ในวินาทีนั้นแสงก็สาดผ่านดวงตาของเธอจนพร่ามัวไปชั่วขณะ.. และเงาสีดำก็แกว่งมาบดบังแสงจากสายตาของเธอ..
“ซ…เซเรส..”
เท้าของเธอลอยเหนือพื้น.. ดวงตาของเลทิเซียค่อยๆ เงยขึ้น.. ร่างของเซเรสยังคงแกว่งซ้ายขวาอย่างเบาๆ เพราะลมยามวิกาลที่พัดมาจากทางหน้าต่าง..
เชือกที่ขึงกับคานบนห้องพยาบาล… มันห้อยลงมารัดคอ..ของเซเรสเอาไว้..
“อา.. อา… อ่า”