การถือกำเนิดจอมมารผู้เหนือโลกที่สิบสาม - ตอนที่ 183
บทที่ 183 – วันแห่งการแข่งขัน
หลังจากนั้นเซเรสก็จากไปทันที จะว่าไปโรงเรียนอนุญาตแลวเหรอ พอฉันถามแบบนั้นสเตฟานี่ก็ตอบฉันมาว่า
แอบกลับน่ะ.. เดี๋ยวสิเฮ้ย แบบนั้นจะไม่เป็นไรเหรอ ถามจริง? นี่พวกเธอคิดอะไรอยู่ เอาเถอะ เดี๋ยวค่อยไปขอให้อาจารย์เวโรเน่ช่วยแล้วกัน
ดูท่าเธอจะมีฐานะที่สูงพอสมควร ก็นะ เธอเป็นถึงผู้กล้าที่บนโลกนี้มีไม่กี่สิบคนนี่น่า พอพูดถึงเรื่องผู้กล้าฉันก็นึกถึงผนึกที่ผนึกพลังผู้กล้าไว้
ฉันเองก็สัมผัสได้เปรยๆ ว่าพ่อของเลวี่แข็งแกร่งมากแล้วนะ แต่อาจารย์เวโรเน่แข็งแกร่งยิ่งกว่านั้นอีกนะ
แต่ทั้งหมดที่ว่ามาคือโดนผนึกพลังไว้งั้นเหรอ ฉันจินตนาการไม่ออกเลยว่าอาจารย์เวโรเน่จะแข็งแกร่งขนาดไหนหากไม่มีผนึก
บางทีเธอคงจัดการหมึกยักษ์นั่นได้ด้วยมือข้างเดียวเลยมั้ง แค่คิดก็รู้สึกว่าไม่น่าปล่อยพวกนี้มาเดินเพ่นพ่านแล้วล่ะ ดีจริงๆ ที่มีคนปิดผนึกพลังให้
“งั้นข้าคงต้องรีบกลับไปที่ที่พักก่อนที่ความจะแตกแล้ว ไว้เจอกันใหม่นะคะ เลทิเซีย”
“อืม แล้วเจอกันนะ”
ฉันตอบสเตฟานี่ที่เหมือนเธอจะรีบพูดและรีบกลับ แต่ว่าแล้วเจอกันสินะ คำพูดแบบนี้เคยพูดแต่กับครอบครัวนะ…
การพูดกับเพื่อนนี่มันก็รู้สึกดีไปอีกแบบสินะ รู้สึกตั้งหน้าตั้งตารอเลยล่ะ การแข่งขันฉันคงแพ้ไม่ได้สินะ
เพราะมีเพื่อนแล้วก็เลวี่ดูอยู่ด้วย ฉันยิ้มออกมาก่อนจะเดินกลับที่พักของตัวเอง หลังจากแยกกับสเตฟานี่ก็ไม่มีเหตุการณ์เหนือความคาดหมายอะไร
เช้าวันรุ่งขึ้นการแข่งขันก็เริ่มต้นขึ้น และแน่นอนว่าการแข่งขันที่ใหญ่โตแบบนี้ล้วนแล้วแต่มีสิ่งที่ขาดไม่ได้อยู่หนึ่งอย่าง นั่นคือการ ‘กล่าวปราศัย’
เพราะฉันในตอนนี้กำลังยืนอยู่กลางลานกว้างขนาดใหญ่โดยด้านหน้ามีอนุสาวรีย์ที่เหมือนจะเป็นรูปปั้นของคนคนหนึ่ง
ผู้หญิงล่ะมั้ง ปละในลานกว้างนี้นอกจากฉันก็ยังมีคนอื่นอีกอยู่โดยยืนเรียงแถวอย่างเป็นระเบียบ
แน่นอนว่าเป็นนักเรียนจากโรงเรียนทั้งห้านั่นเอง แต่ที่น่าตกใจคือจุดที่ฉันยืนตอนนี้ มีแค่ฉันคนเดียว
ตรงกันข้ามกับโรงเรียนอื่นที่มีกันอยู่หลักสิบขึ้นกันทุกโรงเรียน และรอบด้านเหมือนจะมีที่นั่งชมอยู่รอบๆ
แถมในลานกว้างตอนนี้นอกจากคนยังมีอุปกรณ์ขนาดเล็กที่บินว่อนไปว่อนมา ถึงจะดูเยอะ แต่ก็มีขนาดเล็กจึงไม่ได้ดูเดนขนาดนั้น
บางที่เจ้าสิ่งนี้คงทำหน้าที่คล้ายกล้องที่คอยถ่ายทอดสดภาพไปทั่วทวีปแห่งนี้ และที่ฉันสามารถดูตอนเด็กได้ คงเป็นเพราะเจ้านี่นั่นแหละ
แต่ฉันก็ไม่รู้รายละเอียดนักหรอก เห็นว่าเป็นความลับระดับประเทศของอาณาจักรแห่งนี้เลยล่ะ
แต่ก็ช่างเถอะ ไว้ค่อยขโมยมาสักอันแล้วไปแงะดูแล้วกันนะ เพราะถ้าหากฉันมีของสิ่งนี้แล้วทำให้มันเป็นคล้ายกล้องวงจรปิดละก็ชีวิตคงสบายขึ้นมากเลย
“เอาล่ะ ขอกราบสวัสดีทุกท่านที่มาเยือน ณ ที่แห่งนี้และ คุณผู้ชมทางบ้านทุกคน ข้าคือผู้ที่ดูแลประเทศแห่งนี้มีชื่อว่า เซนิส”
ในตอนนั้นเอง ก็มีคนพูดขึ้นอยู่ตรงกันข้ามกับฉัน เป็นผู้หญิงที่มีผมสีแดงเพลิงดวงตาเต็มไปด้วยความมั่นใจและขึงขัง
บางทีเธอคงเป็นนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันของประเทศแห่งนี้ละมั้ง เธอก้มหัวทักทายทุกคนอย่างมีมารยาท ก่อนที่เธอจะพูดเรื่องที่ฉันไม่คาดคิดออกมา
“ข้าต้องขอสารภาพถึงสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อคืน ข้าเชื่อว่าทุกท่านคงได้ยินข่าวมาบ้างแล้วว่าเมื่อคืนได้มีการรวบจับกุมกลุ่มผู้ก่อการร้าย”
“ซึ่งกลุ่มผู้ก่อการร้ายนี้ได้ลักพาตัวคนเพื่อไปทดลองบางอย่าง ทุกท่านอาจจะคิดว่านี่เป็นข้ออ้างแต่ทุกอย่างคือสิ่งที่เกิดขึ้นจริง”
“เราไม่ทราบว่าผู้ก่อการร้ายได้พยายามทดลองอะไร เพราะผู้ที่แจ้งข่าวให้ทางเราทราบเหมือนจะได้ทำลายเครื่องและเอกสารทั้งหมดทิ้งไปแล้ว”
“แต่ข้าเชื่อว่าของสิ่งนั้นคงเป็นอันตรายต่อมนุษย์แน่นอน เพราะข้าเชื่อว่าคนปริศนาคนนั้นได้ช่วยเหลือผู้คนจำนวนมากไว้”
“หากเจ้าดูอยู่ข้าต้องขอขอบคุณเจ้าจากใจจริง และกราบขออภัยในความไม่รอบคอบของทางเราที่ปล่อยให้เรื่องราวเลยเถิดมาขนาดนี้”
“พวกเราจะจ่ายค่าเสียหายให้ผู้เสียหายทุกท่าน และเพื่อเป็นกาแสดงความรับผิดชอบของข้าเอง เมื่อสิ้นสุดงานแข่งในครั้งนี้ตัวข้าจะขอลงจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี”
“ข้าจึงขอประกาศมา ณ ที่นี้”
แล้วเธอก็โค้งตัวให้กับคนทั้งหมด เอาจริงนะ ขนาดฉันไม่มีความรู้เรื่องการเมืองอะไรเลย แต่การปราศรัยนี้มันป่าวประกาศไปทั่วทวีปเลยนะ
นี่ดูยังไงก็คือเผาตัวเองต่อหน้าสาธารณะชัดๆ แถมประกาศว่าจะลาออกแบบนี้ต่อหน้าสาธารณชนไปทั่วทวีปขนาดนี้ จะคืนคำพูดก็ไม่ได้แล้วนะ
แน่นอนว่าทำแบบนี้ไม่ใช่แค่ในประเทศนี้ที่จะหมดความเชื่อใจในตัวเธอแต่เป็นทุกประเทศที่ไม่อยากจะสานสัมพันธ์กับประเทศที่ไม่มีความน่าเชื่อถือ
หรือความปลอดภัยใดๆ เลยแต่ฉันก็พอมองออกเลยล่ะว่านายกคนนี้เธอเป็นคนดีมาก คนดีจนดูโง่เลยล่ะ บางทีหากโลกเดิมมีรัฐบาลแบบนี้ก็คงไม่มีสงครามเกิดขึ้นหรอกมั้ง
แต่เหมือนเธอจะขอบคุณฉันด้วยสินะ ฉันแค่ทำลายไปเพราะเป็นห่วงความปลอดภัยตัวเองเท่านั้นแหละ
ลองนึกสภาพว่าถ้าหากสู้กันอยู่ดีๆ แล้วศัตรูสามารถย้อนเวลาได้ขึ้นมา แล้วก็มีย้อนเวลากลับไปฆ่าฉันในอดีตแบบนั้นขึ้นมา
คงแย่น่าดูเลย ฉันเลยกำจัดทิ้งไปด้วยความคิดแบบนั้น แถที่ทำลายไปก็เพราะช่วยสเตฟานี่กับเซเรสแค่นั้นแหละ
ฉันไม่ได้มีความต้องการที่ยิ่งใหญ่ขนาดช่วยประเทศอะไรแบบนั้นหรอก เลยคิดว่าตัวเองไม่จำเป็นต้องรับคำขอบคุณอะไร
และหลังจากนั้นก็มีการปราศรัยอย่างยืดเยื้อ ยืดยาวแต่ก็ต้องขอบคุณสภาพอากาศที่ไม่ย่ำแย่จนเกินไป มันเลยทำให้ยืนฟังได้ทั้งวัน
อันที่จริงฉันแอบใช้เวทมนตร์เพื่อป้องกันแสงแดดบางส่วนไว้เลยไม่ร้อนมากขนาดนั้น แถมยังใช้เวทมนตร์ลวงตาแม้แต่กล้องถ่ายทอดสดแบบ
ต่อให้ฉันนั่งลงกับพื้นก็มีแต่คนเห็นฉันยืนอยุ่เหมือนเดิมอยู่ดี นี่มันสะดวกสบายจริงๆ นะ ไอ้เวทมนตร์เนี่ย
ในขณะที่ฉันนั่งสบายๆ อยู่นั้น ฉันก็ใช้เวทมนตร์เสริมการรับรู้เพื่อที่จะแอบฟังศัตรู โดยคาดหวังว่าถ้าหากเริ่มสู้ฉันจะได้ประโยชน์
ฉันรู้น่าว่าเป็นเรื่องไม่ถูกแต่ว่าศัตรูมันมีเยอะกว่านี่น่า ระวังไว้ก่อนไม่เสียหายอะไรหรอก
แต่พอใช้เหมือนว่าในจุดที่นักเรียนโรงเรียนอื่นยืนอยู่จะไม่มีเสียงพูดคุยดังออกมาเลย ทำให้ฉันรู้สึกผิดหวังอยู่ ไม่คิดว่าพวกเขาจะมีระเบียบขนาดนี้
แต่ในตอนนั้นเองฉันก็ได้ยินเสียงแว่วมาจากทางที่นั่งของผู้ชม ฉันเลยหันไปดูและด้วยความที่ฉันเสริมการรับรู้ด้วยเวทมนตร์อยู่
ทำให้แม้จะมีระยะห่างที่ค่อนข้างไกล แต่ก็สามารถมองเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้อยู่ดี ตรงนั้นมีคนกำลังยืนเถียงกันอยู่
เหมือนจะเป็นชายคนหนึ่งที่ร่างเต็มไปด้วยกล้ามกำลังเถียงกับเลวี่อยู่ เอ๊ะ แล้วทำไมเลวี่ถึงไปยืนเถียงอะไรอยู่ตรงนั้น
พอฉันตั้งสมาธิก็ได้ยินเลวี่กำลังพูดออกไปด้วยความมั่นใจ
“เจ้าจะไปรู้อะไร โรงเรียนเอเรียสของเจ้าแค่ท่านพี่ของข้าก็คนเดียวน่ะ ชนะสบายอยู่แล้ว”
“หึ ก็แค่เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ ตัวเล็กขนาดนั้นไม่นานคงโดนไล่ออกจากสนามนั่นแหละ แถมปีนี้โรงเรียนเอเรียสยังส่งท่านคนนั้นไปด้วย ข้าจะบอกอะไรให้ พันธสัญญาโซลของเขาคนนั้นน่ะ ใกล้เคียงกับคำว่า “ป้องกันสมบูรณ์แบบ” ในระดับเดียวกับพวกปีสามแล้วนะจะบอกให้”
“หึ จะแค่ไหนกันเชียวแค่ท่านพี่ข้าถอนหายใจก็ตายหมดแล้ว!!”
“หึ ก็แค่เด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม”
“ห๊า นี่เจ้าอยากตายมากนักใช่ไหมห้ะ”
เลวี่พูดพลางถกแขนเสื้อจะเดินไปต่อยกับอีกฝ่ายซะอย่างนั้น เดี๋ยวสิเฮ้ย อย่าใช้กำลังสิทำไมน้องสาวฉันถึงเป็นคนที่ดูน่ากลัวขนาดนี้นะ
แต่โชคดีที่ยังมีอิซานะกับทสึรุมาห้ามโดยการฉุดแขนไว้ก่อน ในขณะที่เรื่องกำลังจะบานปลายนั่นเอง อาจารย์เวโรเน่ก็เดินมา
“หยุดอยู่ตรงนั้นแหละ”
เยี่ยมแบบนั้นแหละ เธอเองก็ทำสมกับเป็นครูเป็นนี่น่าไม่เหมือนพวกเจ้าแผนการอย่างเดียวเสมอไป แต่คำพูดต่อมาของเธอกลับทำฉันอึ้งไปจริงๆ
“นี่เธอกำลังดุถูกทางเลือกของฉันที่คิดว่าฉันเลือกคนผิดงั้นเหรอ”
“อ่าวๆ นี่มันอาจารย์เวโรเน่ไม่ใช่เหรอ มาคู่ให้นักเรียนกลัวแบบนี้มันจะดีเหรอ”
“ข้าไม่ได้คุยกับคนที่ขี้ขลาดอย่างเจ้านะ อาจารย์ธิสตี้”
จู่ๆ ก็มีอาจารย์เหมือนจะเป็นอาจารย์จากโรงเรียนเอเรียสมาผสมโรงด้วย.. มันชักจะไปใหญ่แล้วสิ ฉันหันหน้ากลับมาทำเป็นไม่เห็นเหมือนกับไม่เกี่ยวตัวเอง
ไม่ขอยุ่งด้วยดีกว่า