กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 46 ผลตรวจสุขภาพที่น่าตกตะลึง
บทที่ 46 ผลตรวจสุขภาพที่น่าตกตะลึง
บทที่ 46 ผลตรวจสุขภาพที่น่าตกตะลึง
เสิ่นอี้โจวรู้สึกว่าเขาใกล้จะเป็นบ้า
เซี่ยชิงหยวนกะพริบตากลมโตคู่นั้น และมองมาทางเขาราวกับเธอไม่เข้าใจอะไรเลย
เมื่อรู้สึกได้ถึงกล้ามเนื้อที่ค่อย ๆ ตึงขึงของอีกฝ่าย เซี่ยชิงหยวนก็กลั้นหัวเราะไว้ และตัดสินใจฉีดยากระตุ้นไปอีกโดสหนึ่ง “หรือคุณอยากให้ฉันช่วยไหมคะ?”
หลังจากได้ยินแบบนั้น เสิ่นอี้โจวก็รีบถอดกางเกงขายาวออกแล้วโยนมันลงไปบนพื้น จากนั้นก็รีบล้มตัวนอนบนเตียงโดยคลุมโปงไว้ และไม่ขยับเขยื้อนอีก
อย่าขยับเร็วเกินไป
ด้วยแสงจันทร์ทางด้านนอกหน้าต่าง หญิงสาวอดไม่ได้ที่จะหัวเราะขณะที่มองไปยังกางเกง ซึ่งถูกโยนลงพื้นอย่างลวก ๆ
หญิงสาวมีนิสัยรักความสะอาดและความเรียบร้อยเช่นเดียวกับผู้เป็นสามี ดังนั้นเธอจึงไม่เคยคาดคิดว่าจะได้เห็นเขามีวันแบบนี้
จากนั้นเธอก็เลิกหยอกล้อเขาแล้วเอนกายนอนลงข้าง ๆ อีกฝ่าย
ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปสักพัก เธอกลับรู้สึกว่ามันยังไม่พอ หญิงสาวจึงเอื้อมโอบเขาด้วยลำแขนเล็ก และก่ายขาไปยังอีกฝ่าย
จากนั้นก็พูดอย่างเขินอายว่า “เตียงมันแคบ ฉันกลัวตก”
แต่ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้เขาจะไปหาแผ่นไม้มาเพิ่มเพราะคำพูดนี้ของเธอหรือเปล่า
เดิมที เซี่ยชิงหยวนกลัวว่าเสิ่นอี้โจวจะผลักเธอออกในขณะที่เธอหลับ แต่เมื่อความง่วงงุนเข้าครอบงำอย่างช้า ๆ ในที่สุดหญิงสาวก็ไม่อาจฝืนได้และผล็อยหลับไป
เมื่อฟังเสียงลมหายใจสม่ำเสมอที่ดังอยู่ข้างหู ร่างกายของเสิ่นอี้โจวก็ค่อย ๆ ผ่อนคลาย
มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่รู้ว่าเขาท่องบท ‘หฤทัยสูตร’ กี่ครั้งก่อนที่เขาจะสงบลง
…
ครั้งนี้เธอนอนหลับลึกมาก ดังนั้นเมื่อตื่นขึ้นมา เสิ่นอี้โจวก็ออกไปทำงานแล้ว
เซวียไฉ่เฟิ่งกำลังคิดจะออกไปซื้อหม้อกับชามใส่สลัดเย็นที่ตลาด จากนั้นก็ค่อยซื้อผักราคาถูกมาทำสลัดเย็น แล้วนำมาทดลองขายที่ตลาด
ผู้คนในมณฑลอวิ๋นชอบอาหารจานร้อนที่มีรสเปรี้ยว โดยเฉพาะอาหารจานเย็นในฤดูร้อนซึ่งเป็นที่นิยมมาก
แต่ท้องตลาดในเมืองเตียนเฉิงเวลานี้ยังคงไม่มีของเหล่านั้น
แต่ใครจะไม่คาดคิดว่า เซวียไฉ่เฟิ่งจะมาหาเธออีกครั้งก่อนที่เธอจะออกจากบ้าน
เมื่อเห็นอีกฝ่าย หญิงสาวก็รู้สึกมืดมนในใจและถามว่า “มีอะไรเหรอ”
เซวียไฉ่เฟิ่งพูดพร้อมด้วยรอยยิ้ม “วันนี้มีการเปิดให้ตรวจสุขภาพสำหรับสมาชิกครอบครัวของเจ้าหน้าที่ ฉันมาเพื่อเชิญคุณกับเพ่ยหลานไปด้วยกันค่ะ”
“ตรวจสุขภาพ?” เซี่ยชิงหยวนดูงงงวย
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายยังไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ เซวียไฉ่เฟิ่งก็ทำทีอวดโอ่ว่า “หัวหน้าแผนกเสิ่นอาจจะลืมแล้วก็ลืมบอกคุณเรื่องนี้ เนื่องจากลักษณะงานของพวกเขาค่อนข้างพิเศษ ทางสถาบันจึงจัดให้มีการตรวจสุขภาพทุกปี เดิมทีสมาชิกครอบครัวถือเป็นข้อยกเว้น แต่หลังจากฉันลองถามกวงฮวาแล้ว เขาบอกว่าหากเราแต่งงานกับเจ้าหน้าที่ แม้จะเพียงไม่นาน คู่สมรสก็จะได้รับสิทธิ์ในการตรวจสุขภาพโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายเช่นกัน”
เซี่ยชิงหยวนไม่เคยได้ยินเสิ่นอี้โจวพูดถึงเรื่องนี้เลย
แต่ก็เป็นเพราะคำว่า ‘การตรวจสุขภาพ’ นี้เอง ทำให้ความทรงจำเลวร้ายบางอย่างในอดีตไหลย้อนกลับในหัวของเธอ
เซี่ยชิงหยวนต้องการจะปฏิเสธโดยไม่รู้ตัว
เซวียไฉ่เฟิ่งกลับพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ไปตรวจกันเถอะ ถึงยังไงมันก็ไม่เสียค่าใช้จ่าย แล้วก็ไม่เห็นเสียหายตรงไหนเลย”
จากนั้นเจียงเพ่ยหลานก็เดินเข้ามาและพูดว่า “ชิงหยวน ไปกันเถอะ โรงพยาบาลอยู่ที่ตีนเขาห่างจากที่นี่ไม่ไกลนักหรอกค่ะ”
หลังจากนั้นหญิงสาวก็ถูกคนทั้งสองลากออกไป
เมื่อเทียบกับความอิ่มเอมใจของทั้งสองคนที่จะได้รับการตรวจสุขภาพแบบให้เปล่านี้ เซี่ยชิงหยวนกลับรู้สึกสงบนิ่งอย่างน่าประหลาด
เธอมองไปยังต้นไม้ที่บดบังท้องฟ้าเหนือหัว และค่อย ๆ หลุดเข้าไปในภวังค์
เมื่อชาติที่แล้ว เนื่องจากเธอแต่งงานมานานแต่ยังคงไม่มีลูก หญิงสาวจึงถูกคนอื่นมากมายวิพากษ์วิจารณ์และดูแคลน โดยเฉพาะผานเยว่กุ้ย
ต่อมา เธอก็ทนไม่ได้อีกต่อไป และด้วยคำยุยงของหวังชุ่ยเฟิน เธอจึงได้บังคับให้เสิ่นอี้โจวไปที่โรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจ
จนแล้วจนรอด เมื่อเสิ่นอี้รับการตรวจเสร็จเรียบร้อย มันกลับเป็นไปตามที่เธอกับหวังชุ่ยเฟินคาดเดาไว้ว่าชายหนุ่มมีปัญหาสุขภาพ
เรื่องนี้เป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ทลายความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าความเศร้าโศกที่ทำให้เธอต้องทนทุกข์มีสาเหตุมาจากเขา
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะหย่าร้างกับเขา จากนั้นเรื่องราวระหว่างเธอกับตู้อวิ๋นเซิงก็เป็นที่รู้ล่วงโดยทั่วกันในหมู่บ้านในเวลาต่อมา
ดังนั้นเธอจึงเฝ้าคอยที่จะมีลูกเป็นของตัวเองกับเสิ่นอี้โจว แม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าเรื่องนี้ไม่มีความเป็นไปได้เลย
…
เมื่อพวกเธอไปถึงโรงพยาบาลในเมือง เซวียไฉ่เฟิ่งก็รับแบบฟอร์มการตรวจสุขภาพของสตรีมา
เซี่ยชิงหยวนคิดว่า ไหน ๆ ก็มาแล้ว เธอจะลองรับการตรวจดูและหญิงสาวก็ยังคงมองหาวิธีให้เสิ่นอี้โจวรับการตรวจสุขภาพเช่นกัน
เทคโนโลยีในยุคปัจจุบันได้ก้าวหน้าทีละเล็กทีละน้อย ดังนั้นมันจะต้องมีวิธีรักษาสิน่า
นอกจากการทำอัลตราซาวด์แล้ว พวกเธอยังตรวจเลือดด้วย
เมื่อถึงคิวตรวจอัลตราซาวด์ของเซี่ยชิงหยวน แพทย์สาวผู้ตรวจก็ส่งเสียง “ฮะ”
เซี่ยชิงหยวนเพ่งมองหน้าจอขาวดำโดยไม่รู้ตัว ทว่าเธอไม่เข้าใจอะไรเลย
หญิงสาวจึงหันไปจ้องคิ้วที่ขมวดมุ่นของแพทย์หญิงแทน “คุณหมอคะ มันมีปัญหาอะไรหรือเปล่าคะ”
คุณหมอมองเธอและส่งยิ้มขอโทษให้เธอ “ขอโทษค่ะ ฉันเสียมารยาทไปหน่อย ถ้ายังไงคุณค่อยมารับใบผลตรวจพรุ่งนี้นะคะ”
หลังจากที่คุณหมอพูดเช่นนี้ เซี่ยชิงหยวนก็ไม่สามารถถามคำถามอะไรได้อีก
หลังจากตรวจสุขภาพเสร็จเรียบร้อย มันก็เป็นเวลาเก้าโมงเท่านั้น เซี่ยชิงหยวนจึงบอกกับอีกสองคนว่าจะไปตลาด
เซวียไฉ่เฟิ่งเอ่ยถาม “เธอจะไปซื้ออะไร”
เซี่ยชิงหยวนไม่ได้ตั้งใจจะปิดบังเรื่องที่จะทำธุรกิจ เพราะอย่างไรเสีย บ้านของพวกเธอก็อยู่ใกล้กันมาก ทั้งสองคนก็ต้องรู้เรื่องอยู่ดี
หญิงสาวจึงพูดขึ้นว่า “ฉันจะไปซื้อหม้อและชามใสเพื่อทำผักเย็นขายน่ะ”
“ขายผักเย็นเหรอ” เซวียไฉ่เฟิ่งไม่เห็นด้วย “มันจะขายได้เหรอ”
แม้เซวียไฉ่เฟิ่งจะยังไม่เคยเห็นใครขายมันในตลาด แต่เธอก็ไม่คิดว่ามันจะทำเงินได้มากนัก เพราะถึงอย่างไร ผักเมืองหนาวก็ไม่สามารถขายในราคาสูงได้
เจียงเพ่ยหลานยิ้มและพูดว่า “ฉันคิดว่ามันน่าจะดี ตราบใดที่มันเป็นสิ่งที่ไม่มีใครทำ คนที่ทำก่อนจะเป็นผู้นำทางการตลาด”
เซี่ยชิงหยวนไม่คาดคิดว่า เจียงเพ่ยหลานซึ่งมักจะพูดน้อยจะพูดแบบนี้ออกมา
แต่เธอไม่ได้แสวงหาความเข้าใจในการทำธุรกิจจากคนอื่น และหญิงสาวจะไม่เปลี่ยนการตัดสินใจของเธอเพียงเพราะคำพูดของใครบางคน
ต่อมาเซวียไฉ่เฟิ่งก็รู้สึกเบื่อ เธอจึงออกไปซื้อเสื้อผ้าคนเดียว ส่วนเจียงเพ่ยหลานไปตลาดเป็นเพื่อนเซี่ยชิงหยวน โดยซื้อชามของตัวเองมาหนึ่งใบด้วย
เจียงเพ่ยหลานพูดอีกครั้ง “ถ้าเธอขายที่นี่ เธออาจต้องใช้เกวียนหรือรถสามล้อเพื่อขนพวกมันมาขาย”
เซี่ยชิงหยวนคิดเรื่องนี้แล้วเช่นกัน “ใช่ ฉันยังคงต้องหาเวลาซื้อรถ”
หากเธอวางแผนจะขายเสื้อผ้าในอนาคต อย่างนั้นเธอก็จะต้องใช้รถเพื่อขนส่งสินค้าเช่นกัน
แต่ตอนนี้สายมากแล้ว เธอจึงเลือกซื้อผักที่พอจะนำมาทำสลัดเย็นได้เพียงไม่กี่ชนิด และซื้อวัตถุดิบบางอย่าง แล้วกลับไปที่บ้านพักในสถาบันวิจัย
เมื่อเสิ่นอี้โจวกลับมาจากเลิกงาน เซี่ยชิงหยวนก็เพิ่งทำอาหารในครัวเสร็จ
เธอหยิบจานเล็กออกมาสองสามใบ แล้วพูดพร้อมด้วยรอยยิ้มว่า “มาลองสลัดของฉันสิ”
เธอทำสลัดผักกาด สลัดแตงกวา สลัดมันฝรั่งและสลัดรวมไว้
ชายหนุ่มมองจานใบเล็กเหล่านี้ที่อยู่ตรงหน้าเขา มันไม่เพียงจับคู่สีได้ดูดีสะดุดตาเท่านั้น แต่กลิ่นยังน่าดึงดูดมากอีกด้วย
ท่ามกลางสายตาคาดหวังของหญิงสาว เสิ่นอี้โจวพยายามชิมอย่างตั้งใจทุกจาน และเขาจิบน้ำทุกครั้งที่เปลี่ยนคำ
“เป็นยังไงบ้างคะ” เซี่ยชิงหยวนมองเขาอย่างประหม่า
เสิ่นอี้โจวส่งกำลังผ่านสายตาไปให้เธอแล้วจึงพูดว่า “มันอร่อยมาก”
สลัดทุกจานนอกจากจะเผ็ดและอร่อยแล้ว ยังเน้นรสชาติดั้งเดิมของผักออกมาได้อย่างดีมาก
“เยี่ยมเลย!” เซี่ยชิงหยวนยิ้มอย่างมีความสุข “ฉันคิดจะขายพวกมันในวันข้างหน้า คุณคิดว่ายังไง นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น ยังมีแป้งถั่วและผักเย็นอีก ฉันมั่นใจว่าภายในสามถึงสี่เดือนนี้ ฉันจะสามารถเก็บเงินก้อนแรกสำหรับธุรกิจของตัวเอง ก่อนจะขยายไปทำอุตสาหกรรมเสื้อผ้า!”
เสิ่นอี้โจวมองดูเธอที่เต็มไปด้วยความหวัง จึงอดไม่ได้ที่จะยกยิ้มที่มุมปากของเขา
หากเธอสามารถรักษาจิตใจที่แจ่มใสไว้ได้เสมอ เขาก็จะสบายใจขึ้นในอนาคต
…
เช้าวันถัดมา เซี่ยชิงหยวนนัดเจียงเพ่ยหลานว่าจะไปดูรถสามล้อที่ตลาดและไปรับรายงานผลตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาลด้วย
ส่วนเซวียไฉ่เฟิ่งนั้นตื่นไม่ไหว เธอจึงขอให้พวกเธอช่วยรับรายงานผลตรวจกลับมาให้ด้วย
เซี่ยชิงหยวนสังเกตเห็นได้ชัดว่าเจียงเพ่ยหลานเป็นกังวล
เธอถามว่า “เป็นอะไรไปเหรอคะ?”
เจียงเพ่ยหลานลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ยังพูดว่า “คุณคงไม่ทราบ แม่สามีของฉันคิดว่าในเมื่อฉันคลอดลูกสาวได้คนหนึ่งแล้ว ฉันก็ควรจะให้กำเนิดลูกชายได้อีกคนหนึ่ง”
“ก่อนหน้านี้ฉันท้องไปแล้วสองหน แม่สามีของฉันขอให้คนรู้จักมาตรวจฉัน เขาบอกว่าฉันท้องลูกสาวอีกแล้ว และพวกเขาก็ให้ฉันทำแท้งลูกทั้งหมด ฉันเลยกังวลว่าร่างกายในตอนนี้จะไม่ปกติเหมือนเดิม”
ผ่านการทำแท้งมาสองครั้ง แน่นอนว่ามันมีโอกาสสูงที่เธอจะไม่สามารถตั้งครรภ์ได้อีก และแม่สามีจะเกลี้ยกล่อมให้สามีหย่ากับเธอ
เมื่อได้ยินเช่นนี้ คิ้วของหญิงสาวก็ขมวดแน่น เธอไม่รู้ว่าจะโกรธครอบครัวนั้นหรือเสียใจกับความโชคร้ายของอีกฝ่ายดี
แต่ตอนนี้เธอไม่ได้สนิทกับเจียงเพ่ยหลานมากนัก และบางสิ่งก็ยากจะพูดให้ชัดเจน ดังนั้นเธอจึงพูดว่า “ไม่ว่าคนอื่นจะรักคุณหรือไม่ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้หญิงอย่างเราก็คือการรักตัวเอง”
เมื่อได้ยินแบบนี้ เจียงเพ่ยหลานก็ดูจะคิดอะไรบางอย่างได้และดูเศร้าหมอง
ในที่สุดเธอก็พยักหน้าเพื่อแสดงให้เห็นว่าเธอรับรู้แล้ว
เมื่อพวกเธอไปถึงโรงพยาบาลเพื่อรับผลตรวจ แพทย์ก็บอกกับเจียงเพ่ยหลานว่า “มดลูกของคุณอ่อนแอลงเรื่อย ๆ คุณลองพิจารณาเรื่องการทำหมันดูนะครับ ถ้าตั้งครรภ์อีก หมอเกรงว่าจะทำให้ตกเลือดในมดลูกได้”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าของเจียงเพ่ยหลานก็ซีดลง
ทำไมเธอจะไม่รู้ว่าอันตรายอะไรที่กำลังจะรออยู่เมื่อเธอตั้งท้องอีกครั้ง? แต่เธอมีสิทธิ์ตัดสินใจเรื่องนี้ซะที่ไหนกัน?
เธอทำได้เพียงพูดว่า “ฉันรู้แล้วค่ะหมอ ฉันจะลองกลับไปคิดดูนะคะ”
เมื่อเห็นแบบนี้ หมอจึงหยุดพูดเกลี้ยกล่อมเธอ
เจียงเพ่ยหลานเดินออกมาอย่างรวดเร็ว ราวกับเธอกำลังหนีจากโรคระบาด และรอเซี่ยชิงหยวนอยู่ที่หน้าประตู
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเข้าไปในห้อง แพทย์เหลือบมองเธอเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวเกี่ยวกับรายงานผลการตรวจ “อาการของคุณยังไม่ร้ายแรงนัก ตอนนี้คุณยังอายุน้อย คุณสามารถไปที่โรงพยาบาลในเมืองหลวงของจังหวัดเพื่อพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่เชื่อถือได้ บางทียังรักษาให้หายได้”
เมื่อพูดจบ แพทย์ก็ส่งรายงานผลตรวจให้แก่เซี่ยชิงหยวน
หญิงสาวในตอนนั้นรู้สึกเหมือนเลือดไหลย้อนกลับไปทั่วทั้งร่างกายของเธอ และสมองของเธอเบลอไปหมด
เธอรับรายงานผลตรวจมาด้วยความงุนงง และข้อความในรายงานก็น่าตกใจ ท่อนำไข่ทางด้านซ้ายถูกปิดกั้นและท่อนำไข่ทางด้านขวาก็ถูกปิดกั้นเช่นกัน
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกตะลึงงันและน้ำตาก็ร่วงเผาะลงมา
ปรากฏว่าเธอคือคนที่เป็นหมัน ไม่ใช่เสิ่นอี้โจว!