กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 451 ยังอยากกินข้าวอยู่ไหม? หรือจะกินผมก่อนดี?
- Home
- กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี
- บทที่ 451 ยังอยากกินข้าวอยู่ไหม? หรือจะกินผมก่อนดี?
บทที่ 451 ยังอยากกินข้าวอยู่ไหม? หรือจะกินผมก่อนดี?
บทที่ 451 ยังอยากกินข้าวอยู่ไหม? หรือจะกินผมก่อนดี?
เสิ่นอี้โจวถอนหายใจเบา ๆ แต่ท่าทีของเขาก็ยังดูสงบ “ผู้เชี่ยวชาญที่เคยพูดถึงก่อนหน้านี้ไม่ยินยอมพบพวกเราน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนงุนงง “ทำไมล่ะ?”
เสิ่นอี้โจวกล่าว “ตามข้อมูลที่เสี่ยวฉู่ให้มา ดูเหมือนจะเกี่ยวข้องกับประสบการณ์ก่อนหน้านี้ของเขาน่ะ”
เซี่ยชิงหยวนมองดูเขาอย่างเงียบ ๆ เป็นสัญญาณให้เขาเอ่ยต่อ
เสิ่นอี้โจวกล่าวต่อ “ในช่วงหลายปีก่อนการสอบเข้าวิทยาลัยจะกลับมาอีกครั้ง ลูกชายของผู้เฒ่าเสียชีวิตในการเคลื่อนไหวครั้งนั้น สิ่งนี้เลยกลายเป็นหนามทิ่มแทงหัวใจ ต่อมาเขาและภรรยาก็กลับมาที่เมืองกว่างโจว โดยไม่ยอมพบใครก็ตามที่เกี่ยวข้องกับรัฐบาลอีกเลย”
ผู้เฒ่าคนนั้นไม่เพียงแต่เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังเชี่ยวชาญด้านโครงสร้างพื้นฐานทางวิศวกรรมอีกด้วย
สะพานและทางหลวงหลายแห่งที่สร้างขึ้นทางตะวันตกของประเทศถูกสร้างขึ้นภายใต้การสนับสนุนของเขา แต่ในเวลาต่อมา เมื่อบุตรชายของผู้เฒ่าจากโลกนี้ไป เขาก็ไม่อยากเกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้อีก
ได้ยินดังนั้น เซี่ยชิงหยวนก็เงียบนิ่งไปเช่นกัน
ไม่ว่าจะในทางอารมณ์หรือเหตุผล พวกเขาไม่มีเหตุผลใดที่จะไปบังคับให้ผู้เฒ่ายอมให้พวกเขาเข้าพบ
เธอพลันหวนนึกถึงเหตุผลที่ตงวั่งชุนมาที่นี่ได้ จึงเอ่ยขึ้น “ไม่ใช่ว่าเสี่ยวตงบอกว่าเป็นลูกศิษย์ของเขาหรอกเหรอ? พูดเรื่องนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์เลยเหรอ?”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เสิ่นอี้โจวก็ขมวดคิ้ว “พูดกันตามตรง การที่เธอเข้าไปฟังบรรยายในชั้นเรียนของผู้เฒ่าไม่ถือว่าเป็นนักเรียนที่เขาสอนเป็นการส่วนตัวหรอกนะ”
หลักสูตรเศรษฐศาสตร์ของผู้เฒ่ามีชื่อเสียงไปทั่วโลกวิชาการ และนักเรียนจำนวนไม่น้อยที่ไปเข้าเรียนชั้นเรียนของเขาด้วยเลื่อมใสในชื่อเสียง ตงวั่งชุนเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
ตงวั่งชุนเป็นคนยอดเยี่ยมมาก จึงได้ขึ้นพูดในชั้นเรียนอยู่หลายครั้ง ได้สนทนากับผู้เฒ่าและได้รับคำชมเชยจากเขาอยู่บ้าง
แต่ก็เพียงเท่านั้น
เซี่ยชิงหยวนพลันสั่นศีรษะ ตงวั่งชุนคนนี้คุยโวโอ้อวดเสียจริง เธอเกือบคิดว่าหล่อนเป็นศิษย์คนโปรดของผู้เฒ่าเสียแล้ว
เซี่ยชิงหยวนไม่ใช่คนประเภทที่ชอบนินทาคนอื่นลับหลัง และเสิ่นอี้โจวก็รู้ข้อนี้อยู่ในใจว่าเธอไม่จำเป็นต้องซ้ำเติม
เธอเองก็จนปัญญาจึงเอ่ยแนะนำว่า “ดังคำกล่าวที่ว่าหากมีความมุ่งมั่นจริงใจ แม้ศิลาที่แข็งกร้าวก็สั่นสะเทือนและทลายออกได้ คุณลองไปพบเขาอีกสักสองสามครั้ง เพื่อดูว่าพอจะทำให้ผู้เฒ่าหยัดยืนความชอบธรรมของประชาชน แล้วยอมให้คุณเข้าพบสักหน่อยได้รึเปล่าดีไหม?”
คิ้วที่ขมวดแน่นของเสิ่นอี้โจวคลายลง “ผมเข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ พรุ่งนี้ผมจะหาเวลาไปเยี่ยมเยียนผู้เฒ่าเป็นการส่วนตัวอีกทีแล้วกัน”
จากนั้นเขาก็ดึงเซี่ยชิงหยวนออกจากผ้าห่มแล้วพูดว่า “ไปล้างหน้าล้างตาเถอะ เย็นนี้พวกเราจะกินข้าวกับเฮ่ออวี้เฟิงกัน”
ตั้งแต่สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย เขาและเฮ่ออวี้เฟิงก็ไม่ได้พบกันอีกเลย ในเมื่อตอนนี้เขาอยู่ที่เมืองกว่างโจวแล้ว แน่นอนว่าต้องไปพบหน้าชายหนุ่มสักหน่อย
เซี่ยชิงหยวนเอ่ยตอบว่า “อื้ม”
เดิมทีเธอก็วางแผนจะเชิญเฮ่ออวี้เฟิงมากินข้าวด้วยสักมื้อพอดี แต่เพียงว่าสถานที่ที่พวกเขาพักนั้นอยู่คนละเขตกับเฮ่ออวี้เฟิง การที่เธอจะไปเพียงลำพังจึงไม่ค่อยสะดวกนัก
เมื่อเอ่ยจบหญิงสาวก็ลุกนั่งเพื่อสวมรองเท้า
เสิ่นอี้โจวกล่าวว่า “ผมสวมให้”
เขาหยิบเสื้อคลุมที่ไม่หนามากจากข้าง ๆ มาสวมให้เธอ จากนั้นจึงก้มลงแล้วสวมรองเท้าให้ผู้เป็นภรรยา
ท้องของเธอเริ่มใหญ่ขึ้น ทำให้ก้มลงสวมรองเท้าไม่ค่อยสะดวก
เสิ่นอี้โจวให้คนทำม้านั่งสำหรับใส่รองเท้าขึ้นมาที่บ้านเพื่อความสะดวกของเธอ แต่ตราบเท่าที่เขาอยู่ที่บ้าน เขาจะไม่ยอมให้เธอทำเอง
เซี่ยชิงหยวนมองเขาด้วยคิ้วที่ลู่ลงและอดเอ่ยหยอกเย้าเขาไม่ได้ “ลูกน้องของคุณรู้ไหมว่าคุณสวมรองเท้าให้ภรรยาเนี่ย?”
เสิ่นอี้โจวเงยหน้าขึ้นมองเธอ ริมฝีปากของเขาประดับรอยยิ้มจาง ๆ ”ถึงรู้ก็ไม่ได้เสียหายอะไรนี่ ดีเสียอีก พวกเขาจะได้เรียนรู้ว่าควรจะรักภรรยาของตนอย่างไร”
เซี่ยชิงหยวนย่นจมูกใส่เขาพลางหัวเราะ “หน้าของเลขาธิการเสิ่นนี่ไม่บางเลยจริง ๆ”
เสิ่นอี้โจวสวมรองเท้าให้เธอเสร็จแล้วจึงลุกขึ้น ก่อนจะเท้าแขนลงบนเตียงทั้งสองฝั่ง กักเธอไว้กับเตียงนอน “หากผมไม่ใช่คนหน้าหนา ยังจะได้รับความรักจากคุณอยู่ไหม?”
เขาเอ่ย ก่อนจะจูบไปที่ริมฝีปากสีแดงสวยของเธอ
ใบหน้าของเซี่ยชิงหยวนพลันแดงระเรื่อเพราะคำพูดของเขา หญิงสาวหันศีรษะหนีเพื่อหลบจูบ
ใครกันจะคาดคิดว่าสัมผัสที่นุ่มนวลและเย็นเล็ก ๆ กลับไปตกลงที่ข้างใบหูของเธอเข้าอย่างพอดิบพอดี เขาจึงถือโอกาสจับติ่งหูที่เล็กน่ารักนั้นเอาไว้ จนหญิงสาวอดไม่ได้ที่จะส่งเสียงร้องออกมาเบา ๆ และมองเขาตาใส
เสิ่นอี้โจวกลืนน้ำลายอึกจนเห็นว่าลูกกระเดือกของเขาขยับ จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นด้วยเสียงทุ้มต่ำ “คุณยังอยากกินข้าวอยู่ไหม? หรือจะกินผมก่อนดี หืม?”
เสียงที่ใช้เอ่ยท้ายประโยคของเขาสูงขึ้นในลักษณะที่จงใจแกล้งเธอ
เซี่ยชิงหยวนยื่นขาออกไปเพื่อเตะเขา “กินน้องสาวคุณสิ”
เสิ่นอี้โจวคว้าข้อเท้าของเธอแล้วหัวเราะเบา ๆ “ผมไม่มีน้องสาว มีแต่น้องชาย แต่ถ้าน้องชายของผมรู้ว่าคุณกำลังจะกินเขา เกรงว่าเขาคงร้องไห้ด้วยความหวาดกลัวแน่ ๆ”
เซี่ยชิงหยวนยกมือขึ้นมาปิดหน้าตัวเองเอาไว้ทันที “เสิ่นอี้โจว!”
เขาจูบหลังมือเธอเบา ๆ แล้วเอ่ยกลั้วหัวเราะ “ภรรยา ผมผิดไปแล้ว เป็นผมเองที่หน้าหนา ผมไม่ควรแกล้งคุณเลย”
เมื่อเผชิญหน้ากับผู้ชายแบบนี้ เซี่ยชิงหยวนจะยังหลงเหลือความโกรธอะไรได้อีก? ลืมจนเลิกใส่ใจไปนานแล้วมากกว่า
…
เสิ่นอี้โจวให้คนขับรถไปส่งเขา
ขณะที่ทั้งสองยืนอยู่ข้างถนนเพื่อรอรถมารับ ก็พลันได้ยินเสียงใครบางคนเอ่ยตะโกนขายถังหูลู่
เซี่ยชิงหยวนมองตามไปทางต้นเสียง ห่างจากทั้งสองไปหลาย 10 เมตรมีชายชราคนหนึ่งถือแท่งไม้ที่มีฟางผูกติดอยู่พร้อมกับเชือกที่ผูกไม้ถังหูลู่เอาไว้
เซี่ยชิงหยวนดึงเสิ่นอี้โจว “คุณรออยู่ตรงนี้ก่อนนะ ฉันจะไปซื้อสักหนึ่งไม้หน่อย”
เมื่อเห็นว่าระยะทางไม่ไกลเกินไป เสิ่นอี้โจวจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “อื้ม ระวังด้วยนะ”
เซี่ยชิงหยวนเดินไปและพูดกับชายชราว่า “คุณตา ฉันเอาหนึ่งไม้ค่ะ”
ขณะนั้นเอง คนที่อยู่ข้าง ๆ ก็พลันเอ่ยขึ้น “ฉันเอาสองไม้”
เซี่ยชิงหยวนรู้สึกว่าเสียงนั้นคุ้นเคยจึงหันศีรษะมองไป ก่อนพบเป็นหญิงชราที่ถูกขโมยกระเป๋าเงินในวันนั้น
เซี่ยชิงหยวนร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ “คุณยาย เป็นคุณนั่นเอง!”