กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี - บทที่ 245 ความหวังไม่มีวันตาย และความรักก็เช่นกัน
- Home
- กลับไปในยุค 80 จนกลายเป็นที่ชื่นชอบของอดีตสามี
- บทที่ 245 ความหวังไม่มีวันตาย และความรักก็เช่นกัน
บทที่ 245 ความหวังไม่มีวันตาย และความรักก็เช่นกัน
บทที่ 245 ความหวังไม่มีวันตาย และความรักก็เช่นกัน
เมื่อเซี่ยชิงหยวนเห็นกำไล เธอก็ไม่สามารถละสายตาจากมันไปได้เลย
เมื่อชาติก่อนของเธอ ปี่เหลาซานมอบกำไลนี้ให้เธอเป็นของขวัญสำหรับการเป็นลูกศิษย์
มันเป็นกำไลหยกสีเขียวมรกตโปร่งแสงและมีส่วนของสีขาวโปร่งแสงอยู่เล็กน้อย เธอหลงรักมันตั้งแต่แรกเห็น ทุกคืนหญิงสาวจะลูบมันหลายครั้งก่อนจะหลับไป
คำกล่าวที่ว่าหยกสวยต้องตาผู้คนเรียกว่าไม่เกินจริงเลย
แน่นอนว่าปี่เหลาซานมองเห็นความรักในดวงตาของเซี่ยชิงหยวน
เขาพึงพอใจและพูดว่า “กำไลอันนี้เธอชอบมันมากเลยใช่ไหม?”
เซี่ยชิงหยวนพยักหน้าอย่างร่าเริง “ฉันชอบมันค่ะ”
ปี่เหลาซานแสร้งทำเป็นไม่สนใจ “ความสุขของคนทำงานด้านนี้อย่างฉันก็คือได้เห็นคนและหยกมีชะตาผูกกัน ในเมื่อเธอชอบมันมาก งั้นฉันจะให้มันแก่เธอแล้วกัน”
เซี่ยชิงหยวนจับกำไลอย่างดีอกดีใจ และคำนับปี่เหลาซาน “ขอบคุณค่ะ อาจารย์!”
การคำนับของเธอทำให้ปี่เหลาซานแสนมีความสุข
แต่เขาทำเพียงแค่ยักไหล่และถามว่า “ฉันยังไม่ได้ตกลงเลย ทำไมเธอยังเรียกฉันว่าอาจารย์อยู่อีกเนี่ย?”
เซี่ยชิงหยวนกล่าวว่า “อาจารย์ให้สิ่งล้ำค่าแก่ฉัน ดังนั้นจึงหมายความว่าอาจารย์ชื่นชอบฉัน และฉันก็ชื่นชอบอาจารย์เหมือนกัน ดูสิ คุณยอมรับฉันแล้วใช่ไหมคะ?”
เมื่อเห็นท่าทางที่พอใจของเซี่ยชิงหยวน ปี่เหลาซานก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ
เขาพยุงเธอให้ลุกขึ้นด้วยมือข้างเดียว และเอ่ยว่า “สาวน้อย เธอนี่มันชอบฉวยโอกาสเสียจริง”
เขาลูบเคราตัวเองอย่างเคยชินและพูดว่า “อย่าได้รีบร้อนไป เมื่อเธอกลับมาจากแสวงบุญ ถ้าเรายังมีโชคชะตาต่อกันและได้พบกันใหม่จริง ๆ ฉันจะรับเธอเป็นศิษย์อย่างแน่นอน”
เธอกำลังจะเดินทางข้ามแดนไปครั้งนี้ ซึ่งมันเป็นการเดินทางไกลและลำบากมาก ไม่รู้ว่าจะกลับมาอย่างปลอดภัยได้หรือไม่
ในเรื่องนี้เขาเชื่อในโชคชะตาเสมอ
ดังนั้นจะรีบร้อนไปทำไม?
เซี่ยชิงหยวนรู้ว่าเขายอมรับตัวเธออยู่ในใจแล้ว
เธอยิ้มและพูดว่า “งั้นท่านอาจารย์รอฉันนะคะ”
เซี่ยชิงหยวนดื่มยา เก็บกระเป๋า และอำลาปี่เหลาซานและคนอื่น ๆ
ปี่เหลาซานบอกเซี่ยชิงหยวนถึงข้อควรระวังในการแสวงบุญ จากนั้นจึงยกมือส่งสัญญาณให้เธอออกไปโดยเร็ว
ปี่ฟู่หมานเฝ้ามองจากด้านข้าง เตะฝุ่นบนพื้นด้วยความเบื่อหน่าย อ้าปากค้างและไม่พูดอะไร
จนกระทั่งเซี่ยชิงหยวนจับได้ว่าเขาแอบมองดู ซึ่งเห็นได้ว่ามีร่องรอยของความลำบากใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา
เซี่ยชิงหยวนยิ้มให้เขาโดยไม่ได้สนใจมากนัก
แต่เมื่อคิดถึงความตายในวัยเด็กของเขาในชาติที่แล้ว เซี่ยชิงหยวนก็อดไม่ได้ที่จะก้าวไปหาและพูดกับเขาว่า “ระวังทุกอย่างไว้นะ อย่าทำตัวกล้าหาญโดยไม่จำเป็นและจงหนี หากมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น”
เธอรู้ว่าปี่เหลาซานเดินทางไปมาเพื่อซื้อหยก ซึ่งระหว่างทางมีความยากลำบากและอุปสรรคมากมาย บางครั้งความปลอดภัยก็ถูกคุกคามได้
เธอไม่รู้เรื่องของปี่ฟู่หมานมากนัก แต่พอเดาได้ว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับเรื่องแนว ๆ นี้
คำพูดเหล่านี้อาจไม่มีประโยชน์มากนัก แต่อย่างน้อยก็เตือนเขาได้อยู่
ปี่ฟู่หมานเลิกคิ้วขึ้น และมองเธออย่างอธิบายไม่ได้
“นี่ เธอกำลังหลอกด่าฉันอยู่หรือเปล่า?”
เซี่ยชิงหยวน “…”
“นายกำลังพูดบ้าอะไร!” ปี่เหล่าซานอยู่ข้างหลังเขา ยกมือขึ้นแล้วตบหัวลูกศิษย์ตัวเอง
ปี่ฟู่หมานอุทานด้วยความเจ็บปวด กุมศีรษะพลางจ้องมองปี่เหลาซานด้วยความโกรธ “ตาเฒ่า มันเจ็บนะ!”
เซี่ยชิงหยวนอดไม่ได้ที่จะหัวเราะเมื่อเห็นพวกเขาหยอกล้อกัน
เธอได้แต่หวังว่าชายหนุ่มคนนี้จะปลอดภัย “ท่านอาจารย์ ฉันไปก่อนก็แล้วกันค่ะ ทั้งคุณและคนอื่น ๆ ก็ระมัดระวังตัวไว้ตลอดทางด้วยนะคะ”
หลังจากกล่าวเช่นนั้นเธอก็อำลาคนทั้งสองและออกเดินทางต่อไป
ตามที่ปี่เหลาซานเตือนไว้ ก่อนอื่นเธอต้องซื้อแผ่นรองเพื่อป้องกันหัวเข่าและข้อศอกของเธอที่ตลาด เพิ่มรองเท้าผ้าหนาพื้นนุ่มสองคู่ และขวดน้ำขนาดใหญ่และแผนที่ ซึ่งปี่ฟู่หมานมอบให้เธออย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่
อันที่จริง ในปีนี้อากาศของลาซาในเดือนกันยายนค่อนข้างดีเลย มีความสดชื่นแบบในฤดูใบไม้ร่วง
มีเพียงแค่ความแตกต่างของอุณหภูมิระหว่างกลางวันและกลางคืนเท่านั้น เพราะเมื่อตกกลางคืนอุณหภูมิจะต่ำลง และตอนกลางวันรังสีอัลตราไวโอเลตค่อนข้างแรง ดังนั้นจึงควรใส่ใจกับการป้องกันแสงแดดและรักษาร่างกายให้อบอุ่น
ในเวลานี้เธอไม่สามารถทำเพียงแค่กางร่มและทาครีมกันแดดได้
เส้นทางแสวงบุญของเซี่ยชิงหยวนเริ่มต้นที่เชิงเขา
มีผู้แสวงบุญมากมายเช่นเธอที่นี่
เดินสามก้าวกราบหนึ่งครั้ง เดินห้าก้าวทิ้งตัวลงพื้นกราบอีกครั้ง แล้วก้าวไปข้างหน้าทีละก้าวสู่ดินแดนศักดิ์สิทธิ์
ในตอนแรกเซี่ยชิงหยวนยังคงอยู่แถวหน้าของกลุ่ม แต่เธอค่อย ๆ สูญเสียความแข็งแกร่งของเธอไป
แม้ว่าเธอจะเกิดในชนบท แต่ก็ไม่ได้ทำงานหนักในไร่มากนักตั้งแต่ยังเป็นเด็ก และเธอก็เป็นคนขี้โรคด้วย
หนึ่งคือเพราะมีพี่ชายสองคนที่คอยช่วยเหลือเธอ และอีกอย่างคือหวังผิงทำงานทั้งหมดด้วยตัวเองก่อนแล้วค่อยมาบ่นจู้จี้เธอทีหลัง
หวังผิงมักจะทำสีหน้าเหนื่อยหน่าย “ลูกจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดีและแรงของลูกก็ไม่ได้ดีเท่าแม่ เพราะงั้นลูกดูจากข้างในตอนที่แม่ทำก็พอ”
หลายครั้งเมื่อพวกผู้ใหญ่ยังไม่กลับมาจากงานในไร่ เซี่ยชิงหยวนเคยย้ายม้านั่งและยืนบนม้านั่งอย่างสั่นๆ เพื่อต้องการทำอาหาร แต่หวังผิงนั้นกลับมาก่อนเวลา เธอจึงเข้าไปกอดเธอทันทีและดุว่า “นี่ลูกกำลังจะทำอะไร? ลูกทำได้เหรอ?ถ้าพลาดล้มลงไป หั่นผักพลาดโดนมือตัวเอง หรือไม่ก็โดนน้ำมันกระเด็นใส่จะทำยังไง?”
หวังผิงรีบพาเธอออกจากครัวอย่างกระวนกระวาย “ไปเลย ไปเลย ตอนนี้เข้าใจแล้วนะ? ลูกยังอยากมีมืออยู่ใช่ไหม?”
ต่อมาเซี่ยจิ่งเฉินแต่งงาน ในคืนที่หวังผิงฉีกใบสมัครเข้าเรียนมหาวิทยาลัย เธอซ่อนตัวอยู่ในสนามและร้องไห้
หญิงสาวไม่ทันได้เห็นฉากฉีกใบสมัคร ไม่เช่นนั้นต่อให้ตนจะขี้ขลาดแค่ไหน เธอก็จะสู้เพื่อตัวเอง
แม้เธอจะเคารพและรักหวังผิงมาโดยตลอด แต่เธอก็อดตำหนิแม่ของตัวเองไม่ได้
ตำหนิที่หวังผิงเลือกเซี่ยจิ่งเฉินกับเธอ และหวังผิงก็เซี่ยจิ่งเฉิน
แต่ในความเป็นจริงก็เช่นเดียวกับแม่ทั่วไปในโลก บางครั้งก็รักลูกในแบบของตัวเองที่อาจจะไม่ถูกต้องที่สุด
เมื่อคิดถึงเซี่ยจิ่งเฉินอีกครั้ง
เมื่อเทียบกับเซี่ยจิ่งเยว่ ซึ่งเหมือนเป็นพ่อของเธอครึ่งหนึ่ง เธอก็รู้สึกว่าพี่ชายคนรองคนนี้พรากความรักที่แม่มีให้เธอตั้งแต่ยังเด็ก
เมื่อเธอนอนอยู่ในอ้อมแขนของหวังผิงและทำตัวเหมือนเด็กทารก พี่ชายคนรองก้จะหัวเราะเยาะเธอ จากนั้นเขาจะแอบเข้าไปในอ้อมแขนของหวังผิงในขณะที่เธอกำลังวิ่งไล่เพื่อทุบตีเขา
เขากัดเธอไม่ปล่อยไปเลย “ผมก็เด็กเหมือนกัน ผมยังไม่ขี้แงเลย”
แต่ถึงยังไง เขาก็มักจะพาเธอกลับบ้านเมื่อเธอร้องไห้เสมอ “แค่นี้ไม่ถึงตายหรอกน่า ผิวถลอกแค่นี้จะร้องไห้ไปทำไม”
และเขาจะยืนหยัดเพื่อเธอทุกครั้งเมื่อถูกเพื่อน ๆ รังแก “รู้ไหมว่าเธอเป็นน้องสาวของใคร! มาสำนึกตอนนี้มันสายเกินไปแล้ว!”
เขาจะกลับมาจากโรงเรียนด้วยจมูกช้ำและใบหน้าที่บวม และต่อให้เซี่ยโยว่หมิงจะลงโทษเขาที่ไปมีเรื่องยังไง เขาจะเอาแต่กัดฟันทนไม่ยอมเผยความจริง ปากเอาแต่พูดว่า “ผมแค่ไม่ชอบพวกเขา นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น!”
ต่อมาเธอได้ยินเพื่อนร่วมชั้นพูดว่า “ชิงหยวน พี่รองของเธอเจ๋งมากเลย เพื่อนร่วมชั้นผู้ชายบางคนที่พูดไม่ดีเกี่ยวกับเธอก็ถูกพี่รองของเธอจัดการซะน่วมเลย มันน่าทึ่งมาก!”
เซี่ยชิงหยวนเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้าสีคราม
เธอเคยคิดว่าท้องฟ้าในมณฑลยูนนานนั้นสวยงาม แต่เมื่อเธอมาถึงทิเบต เธอก็ตระหนักว่ามันอยู่ใกล้สวรรค์กว่ามาก
เธอปาดเหงื่อออกจากใบหน้า กัดฟัน และเดินหน้าต่อไป
ขณะนี้ ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าการแสวงบุญไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อที่เคร่งศาสนา ไม่ใช่แค่การค้นหาความหมายของชีวิตเท่านั้น แต่ยังเป็นการชำระจิตใจของเราให้สะอาด และมันจะย้ำเตือนถึงสิ่งที่สวยงามในโลกนี้
เธอกราบไหว้โขกหน้าผากลงพื้นอีกครั้ง และก้อนกรวดขรุขระก็ถูกับผิวหนังอันบอบบางของเธอ กระทั่งเสียดสีเข้าไปในเนื้อ
แขนขาของเธอเปลี่ยนจากเจ็บและเดินกะเผลกจนค่อย ๆ ชาไร้ความรู้สึกไป
ทุกครั้งที่เธอลุกขึ้น คุกเข่า และโค้งคำนับ เธอจะได้รับกำลังใจจากตัวเอง
เหงื่อของเธอตกลงสู่พื้นอีกครั้ง และละลายลงสู่ดินอย่างรวดเร็ว
เช่นเดียวกับเมล็ดพันธุ์แห่งความศรัทธา พวกมันขุดลงไปในดินและหยั่งรากลึก
ความหวังไม่มีวันตาย และความรักก็เช่นกัน
———————