Yusha ni naritai shojo to, yusha ni narubeki kanojo [ฉันคือคนที่อยากจะเป็นผู้กล้าและเธอผู้ที่ควรจะเป็นผู้กล้า] - ตอนที่ 4
(มุมมองของรุจิกะ)
การทดสอบความสามารถได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว
สถานที่ทดสอบเป็นเกาะร้างที่เต็มไปด้วยพืชพันธุ์หนาทึบ ตามที่เอลิซ่าอธิบายไว้ เกาะนี้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ประหลาดจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการติดตั้งกับดักหลากหลายจุดทั่วเกาะ การจะฝ่าฟันผ่านไปได้จำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างคู่หูที่ได้รับเลือกจากเกียร์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
“พวกครูจะออกจากเกาะ ทุกคนต้องหาทางกลับมาเองด้วยตัวเอง เอาล่ะ…การทดสอบความสามารถ เริ่มได้!”
ตามสัญญาณ นักเรียนทุกคนวิ่งออกไปพร้อมกัน ด้วยข้อจำกัดของเวลาห้าวัน นักเรียนส่วนใหญ่เลือกที่จะเดินทางด้วยความเร็วสูงสุด เน้นความรวดเร็ว แม้จะต้องแลกกับพลังงานที่สูญเสียไปบ้าง พวกเขายอมรับความเสี่ยงนี้เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายบนยอดเขาทางตอนเหนือให้เร็วที่สุด วิธีนี้ดูเหมือนจะเป็นตัวเลือกที่ปลอดภัยที่สุด
แต่…
“รุจิกะ ข้างหน้าสามเมตรมีกับดักนะ”
“อะ เกือบไปแล้ว ขอบใจนะ เลโอนี่”
“ไม่เป็นไรค่ะ เรามีเส้นทางอีกไกล ต้องระมัดระวังไว้ก่อนค่ะ”
ฉันกับเลโอนี่เลือกวิธีที่เน้นความปลอดภัย แม้ว่าจะต้องเดินช้ากว่าคนอื่นก็ตาม เราหลีกเลี่ยงการต่อสู้กับสัตว์ประหลาดให้มากที่สุด และใช้เวทมนตร์ค้นหากับดักเพื่อลดการเสียพลังงาน วิธีนี้อาจไม่เร็วที่สุด แต่เรามองว่า หากไปถึงจุดหมายในสภาพเหนื่อยล้าสุดขีด อาจไม่สามารถทำอะไรต่อได้ ความคิดนี้สะท้อนแนวทางที่เรายึดถือ—การเตรียมพร้อมสำหรับทุกสถานการณ์
ถึงแม้จะระมัดระวัง แต่เราก็ยังต้องเจอกับสัตว์ประหลาดและกับดักที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ฉันเป็นคนจัดการการต่อสู้ ขณะที่เลโอนี่รับผิดชอบการแก้กับดัก พวกเราใช้จุดแข็งของแต่ละคนร่วมมือกันได้อย่างลงตัว แม้ว่าเอลิซ่าจะกล่าวไว้ว่าการเอาชนะการทดสอบโดยไม่มีคู่หูที่เกียร์เลือกเป็นเรื่องยาก แต่ฉันก็เชื่อว่าความร่วมมือระหว่างฉันกับเลโอนี่ก็ไม่เลวเลย
“…เวทมนตร์ชีวิตประจำวันที่ฉันยังไม่ค่อยเก่งเท่าไหร่ก็ยังพอมีประโยชน์อยู่เหมือนกันสินะคะ”
เมื่อวันแรกสิ้นสุดลง เราตั้งแคมป์และพักผ่อนรอบกองไฟ ขณะกำลังพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในวันนั้น เลโอนี่หัวเราะขื่นๆ และพูดประโยคนั้นออกมา
“ไม่ใช่แค่พอมีประโยชน์หรอก เลโอนี่ เธอช่วยฉันไว้เยอะเลยต่างหาก”
เวทมนตร์ชีวิตประจำวันของเลโอนี่เป็นอะไรที่น่าทึ่งมาก เธอสามารถเปลี่ยนน้ำสกปรกให้เป็นน้ำดื่มได้ ให้ความอบอุ่นในคืนที่หนาวเหน็บ ป้องกันฝน และยังทำให้อาหารที่เรียบง่ายดูน่ากินขึ้นอีกด้วย ในสถานการณ์เอาตัวรอดแบบนี้ มันคือสิ่งที่ช่วยชีวิตจริงๆ
“ว่าแต่…เอลิซ่าเล่นพวกเราหนักเลยนะ”
“ดูเหมือนว่าเธอจะไม่อยากให้เราผ่านการทดสอบนี้เลยสินะคะ”
จากการพูดคุยกับโนลก่อนออกเดินทาง ฉันถึงได้รู้ว่าเสบียงอาหารและน้ำดื่มของฉันกับเลโอนี่ถูกลดปริมาณลงอย่างจงใจ การขัดขวางการทดสอบแบบนี้มันชัดเจนเกินไป แม้ว่าโนลจะแสดงความไม่พอใจออกมาอย่างชัดเจน แต่ฉันกับเลโอนี่ไม่ได้ใส่ใจนัก เพราะเรามั่นใจว่าจะผ่านมันไปได้อยู่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีเวทมนตร์ของเลโอนี่ช่วยเหลือ
“…ดูเหมือนว่าอากาศจะเริ่มหนาวขึ้นแล้วนะคะ”
“อืม”
กลางคืนบนเกาะแห่งนี้ค่อนข้างหนาวเย็น แม้จะไม่สามารถปล่อยกองไฟไว้ได้ตลอดคืนเพื่อป้องกันไฟป่า แต่เลโอนี่ก็ใช้เวทมนตร์ดัดแปลงคาถาไฟ ให้มีพลังงานที่อบอุ่นและใช้งานได้นานขึ้น แถมยังควบคุมไม่ให้ไฟแรงเกินไปอีกด้วย
“อุ่นจัง…ดีที่สุดเลย”
“ผลลัพธ์เกินคาดมากค่ะ ดีจริงๆเลยค่ะ”
ขณะที่เราสองคนนอนในถุงนอนใต้เต็นท์ที่มองเห็นท้องฟ้าใสอยู่ด้านบน ฉันพูดขึ้นว่า
“…ดาวสวยจังเลยนะ”
“ค่ะ การมองท้องฟ้าแบบนี้ ทำให้รู้สึกว่าเรื่องเล็กๆ ที่เคยกังวลมันไม่สำคัญเลย”
“ใช่เลย ฉันก็คิดเหมือนกัน บางทีก็อดสงสัยไม่ได้ว่าเรากังวลเรื่องแบบนั้นไปทำไมกัน”
“จริงด้วยนะคะ”
หลังจากนั้น บทสนทนาก็เงียบลง เหลือเพียงเสียงลมพัดและเสียงแมลงยามค่ำคืน ฉันคิดว่าเลโอนี่คงหลับไปแล้ว จึงเตรียมจะหลับตาม แต่ทันใดนั้น สายตาของฉันก็สบกับเลโอนี่
“ยังไม่หลับเหรอ?”
“ยังค่ะ”
“นอนไม่หลับเหรอ?”
“เปล่าค่ะ แค่รู้สึกว่ามีบางอย่างที่ยังไม่ได้พูด ขอบคุณค่ะ ที่ช่วยฉันกลับมายืนหยัดอีกครั้ง ถ้าวันนั้นเธอไม่พูดให้กำลังใจ ฉันอาจเลิกเดินบนเส้นทางผู้กล้าไปแล้วก็ได้ค่ะ”
“เลโอนี่…”
“ฉันดีใจมากเลยค่ะ ที่คุณบอกว่าจะช่วยฉัน และจะเป็นผู้กล้าไปด้วยกัน เพราะฉัน…อยู่คนเดียวมาตลอด”
เมื่อพูดเช่นนั้น เลโอนี่ก็หัวเราะอย่างเขินอาย
“ในฐานะลูกสาวของผู้กล้า แน่นอนค่ะว่ามีคนมากมายอยู่รอบตัวฉัน แต่พวกเขามองฉันเพียงแค่ในฐานะลูกสาวของแม่เท่านั้น คนที่ยกเว้นคงจะมีแค่โนล”
“อิจฉาโนลเหรอ?”
“โนลเป็นเพื่อนค่ะ แต่คุณไม่เหมือนกัน”
คำพูดนั้นของเลโอนี่ทำให้หัวใจฉันเต้นแรง
“เอ๊ะ หมายความว่าไงเหรอ?”
“ฉันพูดไม่เก่งค่ะ แต่คุณไม่เหมือนโนล คุณไม่ใช่คนอื่น และก็ไม่ใช่แค่เพื่อน ถ้าจะให้พูดว่า…”
“ถ้าจะพูดว่าอะไรล่ะ?”
ฉันถามต่อด้วยความคาดหวังจนอกแทบพอง
“ก็…คู่หู ไงคะ”
ว่าแล้วเลโอนี่ก็แลบลิ้นออกมาเล็กน้อย อุ๊ย น่ารักจัง
“คู่หูเหรอ… แต่อยากได้อีกสักคำจังเลย”
“อยากได้คำว่าแฟนเหรอคะ?”
“ก็ใช่นะ”
“ความรัก… ฉันยังไม่เข้าใจค่ะ อาจจะเพราะฉันยังไม่มีเวลามากพอ”
พูดจบ เลโอนีก็เงยหน้ามองท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว
“ฉันคิดถึงแค่การเป็นผู้กล้ามาโดยตลอด จนละเลยสิ่งอื่น ๆ ไปจนหมดเลยค่ะ และคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว แต่ว่า…”
“แต่?”
เมื่อฉันเร่งให้เธอพูดต่อ เลโอนี่ก็คิดเล็กน้อยก่อนตอบ
“แต่พอได้เจอคุณ ความคิดฉันก็เริ่มเปลี่ยนไป ฉันคิดว่า บางทีฉันควรจะลองทำอะไรที่ดูไร้ประโยชน์ดูบ้างก็ดีค่ะ”
เลโอนี่ย้ำว่าไม่ได้มีเจตนาแฝงอะไร ฉันจึงพยักหน้ารับอย่างหนักแน่น
“การที่มุ่งมั่นจะเป็นผู้กล้ามากเกินไป ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนที่ตื่นเขินเพราะเอาแต่มุ่งมั่นกับการเป็นผู้กล้าอย่างเดียว และนั่นคงเป็นเหตุผลว่าทำไมตอนนั้น—ตอนที่ฉันถูกบอกว่าขาดความสามารถในการต่อสู้ และถูกบอกว่าไม่เหมาะกับการเป็นผู้กล้า ฉันถึงได้ยอมแพ้ง่าย ๆ แบบนั้นค่ะ”
“ไม่หรอก ตอนนั้นครูเอลิซ่าน่ะพูดแรงไปจริงๆ…”
ฉันพยายามปฏิเสธ แต่เลโอนี่ห้ามฉันด้วยสายตา เธออยากให้ฉันฟังคำพูดของเธอ
“แน่นอนว่าครูเอลิซ่าก็มีส่วนผิดค่ะ แต่ไม่ใช่แค่นั้นแน่ ๆ ฉันควรเป็นคนที่มีความลึกซึ้งในฐานะมนุษย์มากกว่านี้ ต้องมีความเชื่อมั่นที่ไม่หวั่นไหวต่อคำวิจารณ์หรือคำดูถูก ถ้าฉันต้องการจะเป็นผู้กล้าจริง ๆ ยิ่งต้องมีมากกว่านี้ค่ะ”
“ความเชื่อมั่นเหรอ…”
ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจ สำหรับฉัน การเป็นผู้กล้าคือการทำให้ตัวเองแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นเรื่องง่าย ๆ อย่างนั้น ส่วนเรื่องอื่น ๆ อย่างเช่นการช่วยคน ก็ตามมาทีหลัง ฉันเลยไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่เลโอนีพูด แต่ว่า…
—ตอนนี้เธอดูเท่มากเลยค่ะ
“หรือฉันอาจจะคิดมากเกินไปก็ได้ค่ะ”
“ไม่หรอก เลโอนี่ก็ยังคงเป็นลูกสาวของผู้กล้า ‘ไร้เที่ยมทาน’ ที่เอาชนะคุณแม่ของฉันได้อยู่ดีนะ”
“ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ?”
“ฉันว่าคงไม่มีใครตั้งคำถามถึงการเป็นผู้กล้าเหมือนที่เธอทำ และที่มากกว่านั้น เธอเข้าใจความเป็นผู้กล้าได้จากสัญชาตญาณ มากกว่าที่คนอื่นเข้าใจเสียอีกนะ”
บางที นั่นคงเป็นสิ่งที่เธอได้มาจากการเป็นลูกสาวของผู้กล้า
“ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ ฉันแค่พยายามดิ้นรนเพื่อเป็นผู้กล้ามาโดยตลอด เป็นแค่เด็กผู้หญิงธรรมดาเท่านั้นเองค่ะ”
“ฮะ ๆ งั้นก็เหมือนฉันเลย”
ว่าแล้วเราก็หัวเราะไปด้วยกัน
—รุจิกะ คงต้องนอนได้แล้วนะ เดี๋ยวพรุ่งนี้คุณจะไม่มีแรงเอา
(อืม แต่ขออีกสักหน่อย)
ถึงโปรโตจะเตือน แต่ฉันก็อยากคุยต่ออีกนิด อย่างน้อยก็จนกว่าบทสนทนาใต้ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดาวนี้จะจบลง
“รุจิกะ ฉันมีคำถามที่อยากถามคุณค่ะ”
“อะไรเหรอ?”
“ฉันเป็นลูกสาวของผู้กล้า ซึ่งก็คือศัตรูของแม่คุณ คุณไม่โกรธแค้นเหรอคะ?”
“อ๋อ เรื่องนั้นเหรอ?”
ฉันพูดไปโดยไม่แน่ใจว่าเธอจะเข้าใจแค่ไหน แต่ก็พูดต่อไป
“สงครามที่ไร้ประโยชน์ระหว่างมนุษย์กับปีศาจมันยาวนานจนแม่ของฉันเหนื่อยล้า แม่ของฉันบอกว่าสิ่งสุดท้ายที่เธอเผชิญคือผู้กล้าที่แข็งแกร่งที่สุดในมนุษยชาติ ฉันแค่ไม่อยากให้ใคร แม้แต่เธอ ต้องมาสงสารความตายที่น่าภูมิใจของแม่ฉัน”
ฉันยังไม่เกิดตอนนั้น แต่คุณย่าของฉันที่เกลียดผู้กล้า ก็ยังบอกว่าการตายของแม่ฉันมันงดงาม ฉันคิดว่ามันคือจุดจบที่แม่พอใจแล้วล่ะ
“เหรอคะ… แต่ฉันขอโทษค่ะ ฉันก็ยังอยากให้แม่ของฉันกลับมาอยู่ดี”
“งั้น เลโอนี่เองก็เกลียดพวกเผ่ามารอย่างเราเหรอ?”
“…มันคนละเรื่องกันค่ะ”
เลโอนี่ดูอึดอัดที่จะตอบ
“เรื่องที่เราเข้าใจกันได้ กับเรื่องที่เราไม่มีวันเข้าใจกันได้…ทั้งหมดนั้น ฉันก็ยังชอบเลโอนี่นะ”
“อีกแล้วค่ะ คุณพูดตรงไปตรงมาอีกแล้ว…”
“ความรักของเผ่ามารก็แบบนี้แหละ ความรักแบบพวกมนุษย์มันช้าเกินไป”
“อยากให้คุณใส่ใจกับความรู้สึกมากกว่านี้ค่ะ”
“โอ๊ะ? ถ้าฉันใส่ใจมากกว่านี้ เธอจะหันมาชอบฉันไหม?”
“นั่นก็อีกเรื่องค่ะ”
“โธ่…”
ฉันหัวเราะ และเลโอนี่ก็หัวเราะด้วย
“ขอโทษที่ทำให้คุณอยู่จนดึกค่ะ คงต้องพักผ่อนแล้วล่ะ”
“อืม ราตรีสวัสดิ์ เลโอนี”
“ราตรีสวัสดิ์ค่ะ”
พอหลับตาลง ฉันก็ถูกความง่วงงุนครอบงำ ฉันยอมปล่อยตัวให้มันพาเข้าสู่การหลับลึก
“…แปลกคนจังนะ ทั้งที่ชาติกำเนิดของเราต่างกันราวน้ำกับน้ำมัน แต่ฉันกลับรู้สึกใกล้ชิดกับคุณมากขนาดนี้…ทำไมกันนะคะ”
คำพูดที่ราวกับเสียงกระซิบถึงฉันในช่วงท้ายของความรู้สึกนั้นจางหายไปในความมืดของการหลับใหล
◆◇◆◇◆
สี่วันหลังจากเริ่มการทดสอบ พวกเรามาถึงจุดหมายของการทดสอบ ซึ่งก็คือยอดเขาด้านเหนือ
── รุจิกะ สถานการณ์แปลกๆอยู่ค่ะ
(อืม ฉันก็รู้สึกเหมือนกัน)
สิ่งที่ฉันเห็นคือ เหล่านักเรียนที่คิดว่าน่าจะกลับโรงเรียนไปนานแล้ว กลับตั้งแคมป์อยู่รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่
“เลโอนี่จัง! รุจิกะจัง!”
“อ้าว โนล”
“โนล เกิดอะไรขึ้น?”
โนลที่มาถึงก่อนพวกเรายืนอยู่ที่นั่น สีหน้าของเธอดูเคร่งเครียด
“ตามฉันมานี่”
ตามคำพูดของโนล พวกเราเดินตามเธอไปยังบริเวณที่ดูเหมือนแท่นบูชาบนยอดเขา
“ดูนี่สิ”
โนลชี้ไปที่พื้นที่ซึ่งมีวงเวทขนาดใหญ่ถูกวาดเอาไว้บนพื้น แต่ส่วนหนึ่งของวงเวทนั้นได้รับความเสียหาย
“นี่มัน…วงเวทสำหรับการวาร์ปกลับใช่ไหม?”
“ใช่ แต่มันเสียหายไปแล้ว ตอนนี้ไม่มีใครกลับไปโรงเรียนได้เลย”
“เอ๋!?”
“เพราะงี้ทุกคนเลยต้องตั้งแคมป์กันอยู่ที่นี่กัน”
“อืม”
ตามแผนเดิม นักเรียนแต่ละคนจะใช้วงเวทนี้วาร์ปกลับโรงเรียน แต่ตอนนี้ไม่มีอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่จากโรงเรียนอยู่บนเกาะนี้เลย ถ้าทุกคนยังกลับไปไม่ได้ตามกำหนด สุดท้ายโรงเรียนอาจจะสังเกตเห็นและส่งความช่วยเหลือมา แต่ก็คงต้องใช้เวลาหลายวัน
“ในระหว่างนี้ เราต้องหาทางเอาตัวรอดกันเองสินะ”
ฉันมองไปรอบๆ เห็นนักเรียนส่วนใหญ่นั่งหมดแรงอยู่ สีหน้าพวกเขาดูอิดโรยอย่างเห็นได้ชัด
“โนลกับพวกที่ได้คะแนนสูงๆ อย่างเอลิซ่า อาจจะยังพอไหว แต่เด็กคนอื่นๆ ดูเหมือนจะหมดแรงไปหมดแล้ว”
“ใช่ ดูเหมือนจะเป็นแบบนั้นจริงๆ”
ต่างจากฉันกับเลโอนี่ที่ค่อยๆ เดินทางมาแบบไม่เร่งรีบ เด็กคนอื่นดูเหมือนจะเร่งรีบจนเกินไป บางคนอาจจะติดกับดักหรือโดนมอนสเตอร์โจมตี แม้ว่าพวกเขาจะมาถึงจุดหมายได้ แต่พอเจอสถานการณ์นี้คงทำให้หมดกำลังใจ
“เลโอนี่ เธอจะทำยังไง?”
“อะไรนะคะ?”
ฉันหันไปถามเลโอนี่
“ฉันคิดว่า ถ้าเราปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป อาจมีบางคนที่ชีวิตตกอยู่ในอันตราย แต่เธอมีพลังที่จะช่วยพวกเขาได้”
เลโอนี่มีเวทมนตร์เกี่ยวกับการดำรงชีวิต ซึ่งสามารถยืดระยะเวลาการอยู่บนเกาะนี้ได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเธอต้องการช่วยหรือไม่
“แน่นอนอยู่แล้วค่ะฉันจะช่วย นี่เป็นสถานการณ์ฉุกเฉิน พวกเราต้องร่วมมือกันผ่านมันไปให้ได้ค่ะ”
เลโอนี่ตอบโดยไม่ลังเล เธอมั่นใจและหนักแน่นมาก
“แต่พวกเขาเคยกลั่นแกล้งเธอนะ แล้วเธอจะยังช่วยพวกเขาอีกเหรอ?”
นักเรียนพวกนั้นเคยมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม และพอรู้ว่าเลโอนี่ไม่ได้เก่งสมคำร่ำลือ ก็หันไปโจมตีเธอแทน เธอไม่มีเหตุผลที่จะต้องช่วยพวกเขาเลย
“มันไม่เกี่ยวกันเลยค่ะ พวกเขาคือเพื่อนร่วมชั้นของฉัน สิ่งที่ฉันเรียนรู้เกี่ยวกับเวทมนตร์ชีวิตประจำวันชีวิต เพื่อใช้ในสถานการณ์แบบนี้ค่ะ”
ดวงตาของเลโอนี่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่น
──เธอเป็นคนแบบนี้แหละ
(อืม)
เพราะแบบนี้ฉันถึงชอบเธอ
“เพราะแบบนี้ฉันถึงชอบเธอไงล่ะ เลโอนี่”
“เลิกพูดอะไรไร้สาระเถอะค่ะ รีบมาช่วยฉันได้แล้วค่ะ เราต้องเริ่มจากการหาน้ำดื่มก่อน”
จากนั้นพวกเราก็เริ่มลงมือทำงานทันที ฉันกับเลโอนี่ได้รับความช่วยเหลือจากโนล และพวกเราก็เริ่มเตรียมสิ่งที่จำเป็นเพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตอยู่บนเกาะนี้ได้
เลโอนี่นำอุปกรณ์เวทมนตร์ที่ช่วยเปลี่ยนน้ำสกปรกให้เป็นน้ำดื่มออกมา แต่เดิมอุปกรณ์นี้ใช้สำหรับกลุ่มเล็กๆ เท่านั้น เธอปรับแต่งมันเพื่อให้รองรับการใช้งานของคนหมู่มาก นอกจากนี้ยังจัดตั้งสถานที่ทำอาหาร จุดพักฟื้น และพื้นที่ก่อไฟเพื่อให้ทุกคนสามารถอยู่รอดได้
“ประมาณนี้น่าจะใช้ได้นะ”
“เหนื่อยหน่อยนะ เลโอนี่ ไปพักก่อนสิ”
ฉันยื่นผลไม้ป่าสีแดงเล็กๆ ให้เธอ
“นี่คือสตรอว์เบอร์รีป่าหรอคะ?”
“ใช่ บนภูเขามีอยู่เต็มไปหมด ฉันเก็บผักป่าอื่นๆ มาด้วยนะ”
“ขอบใจมากเลยนะคะ รุจิกะ ช่วยได้เยอะเลยค่ะ”
เลโอนี่ยิ้มพลางหยิบสตรอว์เบอร์รีเข้าปาก ดูเหมือนความหวานเล็กๆ นี้จะช่วยผ่อนคลายเธอได้บ้าง
“เราพอจะอยู่รอดได้อีกนานแค่ไหน?”
“ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด น่าจะอยู่ได้ประมาณห้าวัน แต่ถ้าเกินกว่านั้น ฉันไม่มั่นใจแล้ว”
“ระยะทางจากเมืองหลวงมาถึงเกาะนี้ ถ้าคำนวณเวลาก็น่าจะเฉียดๆ พอดีสินะ”
ดูเหมือนกว่าความช่วยเหลือจะมาถึง ต้องใช้เวลาเกือบสัปดาห์
“มีบางคนเริ่มป่วยเพราะเหนื่อยล้าและสภาพแวดล้อมที่ไม่คุ้นเคย ฉันหวังว่าความช่วยเหลือจะมาถึงไวๆ”
เลโอนี่พูดด้วยความกังวล
“อย่าฝืนตัวเองมากเกินไปนะ เลโอนี่ เธออาจจะเก่งมาก แต่ก็ยังเป็นเด็กเหมือนกัน”
“นั่นก็จริงอยู่ค่ะ…”
“อืม หรือถ้าพูดแบบนี้ เธอน่าจะเข้าใจดีกว่า ตอนนี้ทุกคนพึ่งพาเธออยู่ ถ้าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ ทุกอย่างจะพังหมด เธอมีหน้าที่ต้องดูแลตัวเองให้ดีเหมือนกันนะ”
“อืม เข้าใจแล้ว จะระวังตัวมากกว่านี้”
หลังจากนั้น เธอยิ้มออกมาเล็กน้อยแล้วพูดว่า
“รุจิกะ ดูเหมือนเธอจะรู้วิธีจัดการฉันดีขึ้นนะคะ”
เธอพูดพลางหัวเราะเจ้าเล่ห์เล็กๆ
จากนั้นฉันกับเลโอนี่ก็ช่วยกันทำงานอย่างเต็มที่ เราใช้เวทมนตร์และทรัพยากรธรรมชาติบนเกาะให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อให้ทุกคนรอดกลับไปได้
แต่เหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้นในวันที่สี่ของการตั้งแคมป์รวม…
◆◇◆◇◆
──รุจิกะ ตื่นได้แล้วค่ะ
(…?)
เสียงของโปรโตปลุกฉันขึ้นมา
“นี่! พูดอะไรหน่อยสิ!”
“หาววว… เกิดอะไรขึ้นเหรอ?”
ฉันบิดตัวพร้อมหาว ก่อนจะสังเกตว่าเสียงเอะอะโวยวายดังมาจากข้างนอกเต็นท์
ฉันปลุกเลโอนี่ที่นอนอยู่ข้างๆ แล้วบอกเธอว่าเหมือนมีอะไรแปลกๆ เกิดขึ้น จากนั้นพวกเราก็รีบจัดการธุระส่วนตัวตอนเช้าอย่างรวดเร็ว
“ไม่ใช่ฉันจริงๆ นะ!”
“งั้นทำไมอาหารของดานิต้าถึงหายไปล่ะ!”
“ฉัน…ฉันไม่รู้… อาจจะมีสัตว์ป่ามาขโมยไปก็ได้…”
“หา!? พูดอะไรแบบนี้ได้ไง!”
ต้นเสียงดังมาจากบริเวณที่เก็บเสบียง
──ดูเหมือนจะมีเรื่องยุ่งยากอีกแล้วนะคะ
(คงเป็นลูกสมุนของดานิต้า… เกิดอะไรขึ้นอีกล่ะ?)
ที่นี่เป็นที่ที่ทุกคนช่วยกันเก็บเสบียงจากป่าแล้วนำมารักษาไว้ในอุณหภูมิต่ำ ซึ่งเป็นผลจากการใช้เครื่องมือเวทมนตร์ของเลโอนี่ และคนที่ดูแลที่นี่คือโนล
“เกิดอะไรขึ้นน่ะ?”
“อ๊ะ รูจิกะจัง เลโอนี่จัง! ช่วยฉันที!”
“มีอะไรกันคะ?”
“ยัยนี่แอบขโมยอาหารของดานิต้าไป!”
“…”
เสียงตะโกนของลูกสมุนทำให้โนลดูหดหู่ ดานิต้าซึ่งยืนกอดอกอยู่เฉยๆ ก็ไม่ได้พูดอะไร ส่วนรอบๆ มีคนมุงดูสถานการณ์พร้อมสายตาเย็นชา
“อาหาร?”
“คะ… ฉันจะเตรียมอาหารเช้าเหมือนทุกวัน แต่ปรากฏว่าอาหารของดานิต้าหายไป…”
“แค่เตรียมอาหารเพิ่มก็จบเรื่องไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องทำให้เป็นเรื่องใหญ่ด้วยล่ะ?”
“แต่ว่า… ดานิต้ากินข้าวไม่ได้น่ะสิ”
สรุปคือ อาหารของดานิต้าเป็นสูตรพิเศษที่ไม่สามารถหามาทดแทนได้ง่ายๆ
“ถ้างั้นเราก็หาทางเตรียมอาหารให้ดานิต้าใหม่ก่อนเถอะ จะได้ไม่เป็นเรื่องใหญ่ไปกว่านี้”
“หา!? เลโอนี่ นี่แกคิดจะปกป้องยัยโนลเพราะเป็นพวกเดียวกันใช่ไหม?”
ลูกสมุนตะคอกใส่เลโอนี่ที่พยายามไกล่เกลี่ย
“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ แต่ถ้าเถียงกันไปก็ไม่เกิดอะไรดีขึ้น อาหารของดานิต้าก็จะล่าช้าไปอีก”
“ถ้าปล่อยให้มันคลุมเครือแบบนี้ อาจจะเกิดเรื่องแบบเดิมซ้ำอีกก็ได้! จริงไหมคะ คุณดานิต้า?”
“…ฉันไม่สนหรอกว่าอาหารจะมาช้า… แต่──”
“นั่นไง! เห็นไหม!”
ดานิต้าดูเหมือนจะมีอะไรอยากพูด แต่พอลูกสมุนเริ่มโวยวาย เธอก็ถอนหายใจแล้วกลืนคำพูดนั้นกลับไป
“นี่เธอ”
“อะไรของเธอ รุจิกะ คิดจะปกป้องยัยโนลด้วยเหรอ? หรือว่าเธอจะสมรู้ร่วมคิดกัน?”
“──ช่วยหุบปากหน่อยได้ไหม”
ฉันปล่อยออร่าเยือกเย็นออกมาและจ้องเธอด้วยสายตาคม ลูกสมุนถอยหลังไปหนึ่งก้าวเหมือนถูกกดดัน
“ขอโทษนะ ขอเช็กอะไรหน่อย”
“อะ… อะไรของเธอ?”
ฉันยื่นหน้าเข้าไปใกล้ลูกสมุนแล้วสูดกลิ่น
“อืม… เข้าใจล่ะ”
“เข้าใจอะไรของเธอ รุจิกะ?”
“รออีกแป๊บนะ”
ฉันเดินเข้าไปในที่เก็บเสบียง สูดกลิ่น แล้วสุดท้ายก็เดินไปหาโนลเพื่อตรวจสอบกลิ่นอีกครั้ง
“เข้าใจแล้ว”
“เข้าใจอะไรคะ รูจิกะ?”
เลโอนี่ถามด้วยสีหน้าสงสัย ฉันยิ้มให้เธอแล้วหันไปมองลูกสมุน
“คนที่ขโมยอาหารของดานิต้าคือ… เธอใช่ไหม?”
“หา…!?”
“อะไรนะ!?”
ลูกสมุนสะดุ้งตกใจ ขณะที่เลโอนี่ดูงุนงง
“จมูกของฉันดีมากเลยนะ กลิ่นในที่เก็บเสบียง มีกลิ่นของเธอแรงกว่าของโนลเสียอีก นั่นแปลว่า เธอเข้าไปในนั้นหลังจากที่โนลออกมาเมื่อคืน… แล้วเข้าไปทำไมล่ะ?”
”อุ๊…!”
เมื่อฉันไล่ตามไป เด็กติดตามหน้าซีดเผือดลงเรื่อยๆ
”อย่ามาพูดโกหก! รุจิกะ เธอนี่มันเข้าข้างโนลชัดๆ ก็เพราะ──”
”คนที่โกหกน่ะคือเธอมากกว่า ลองคิดดูให้ดีๆ สิ”
ฉันพูดกับกลุ่มคนที่มามุงดูเหตุการณ์
”ทุกคนก็รู้จักนิสัยของโนลในช่วงหลายเดือนนี้ใช่ไหม? คนขี้อายและเก็บตัวแบบเธอจะไปทำอะไรแบบนั้นได้ยังไง? ถึงจะสมมติว่ามีเหตุผลบางอย่างให้เธอต้องขโมยอาหาร แต่จะเลือกขโมยของดานิต้าเนี่ยนะ? ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก”
ฝูงชนเริ่มพูดคุยเสียงดัง ด้วยความที่เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอาหารที่เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ทุกคนจึงเสียสติไปบ้าง แต่ถ้าลองคิดให้ดี มันก็ควรชัดเจนว่าโนลไม่สามารถทำเรื่องแบบนี้ได้ และก็ไม่มีเหตุผลที่จะต้องทำด้วย กลับกัน ถ้าจะมีใครที่มีแรงจูงใจ──
”เธอเป็นคนทำใช่ไหม”
”มะ…ไม่ใช่นะคะ คุณดานิต้า! คือว่า…!”
”เธอทำอะไรลงไปกันแน่──!”
ดานิต้าเดินเข้ามาใกล้เด็กติดตาม และตบที่แก้มของเธอจนล้มลงไปนั่งกับพื้น
”ฉัน…ฉันไม่ได้อยากทำแบบนี้เลย”
”งั้นทำไมถึงทำล่ะ”
”ก็เอลิซ่าครูใหญ่บอกให้ฉันไงเล่า! คนๆนั้นบอกให้ฉันยั่วยุให้คุณโกรธไงล่ะ!”
”──!?”
เด็กติดตามพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความแค้น
”เพราะบอกว่าเป็นลูกสาวของผู้กล้าขวานศึก ฉันถึงได้มาคอยอยู่ใกล้ๆแบบนี้ แต่พอรุจิกะมาปรากฏตัว ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด!”
”เธอ…!”
”ถ้าฉันกับครูเอลิซ่าไม่ทำอะไรแบบนี้ เธอคงไม่มีทางทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้หรอก!”
”──!”
ดานิตะหน้าเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด ไม่เพียงแค่ถูกทรยศจากคนที่เธอไว้ใจ แต่ยังถูกทำลายศักดิ์ศรีอย่างรุนแรงอีกด้วย แม้ดานิต้าจะเป็นคนที่มีนิสัยเย่อหยิ่ง แต่เรื่องนี้มันเจ็บปวดเกินไป เธอถูกทำให้เสียหน้าต่อหน้าคนอื่น และตอนนี้ภาพลักษณ์ของเธอก็พังทลายไปหมดแล้ว
”……!”
ดานิตะมองไปรอบๆ ด้วยความสับสน ไม่มีภาพของทรราชที่เคยหยิ่งผยองอีกต่อไป มีเพียงสัตว์ที่บาดเจ็บและถูกล้อมรอบด้วยสายตาเย็นชา
”อย่ามามองฉันแบบนั้น! ฉัน…ฉัน…!”
ฉันรู้สึกสงสารดานิต้า แม้ว่าฉันจะไม่ได้ชอบเธอ แต่ฉันก็ไม่คิดว่าเธอเป็นคนเลว ดานิต้าเป็นทรราชจริง แต่เธอก็ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น การเห็นเธอต้องเจออะไรแบบนี้มันเจ็บปวด
ฉันกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ต้องหยุดเดิน
”อย่ามองนะ──!”
พลังต่อสู้ของดานิตะแผ่ซ่านออกมา และมันกำลังตอบสนองกับบางอย่างในกระเป๋าของเธอ สัญชาตญาณของฉันที่เป็นเผ่าปีศาจกำลังบอกว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่ดี
”ดานิต้า! หยุดนะ! พลังแบบนี้จะดึงดูดสิ่งแปลกประหลาดเข้ามา!”
”ฉัน…ฉัน…!”
ดานิต้าสิ้นหวังเสียจนเสียงของฉันไม่สามารถเข้าถึงเธอได้ กระเป๋าของเธอปล่อยแสงสว่างจ้า และมีม้วนคัมภีร์หล่นลงมา
”คัมภีร์อัญเชิญ!”
เลโอนี่เป็นคนที่ดูออกได้อย่างรวดเร็วว่ามันคืออะไร ดูเหมือนจะเป็นคัมภีร์ของกองทัพที่หายไป
”ฉันจะฉีกมันเพื่อหยุดการอัญเชิญ!”
”ไม่ทันแล้วล่ะ มันออกมาแล้ว ทุกคนถอยไป!”
ฉันยื่นตัวขวางเลโอนี่ที่พยายามเข้าใกล้คัมภีร์ และผลักทุกคนให้ถอยไปข้างหลัง
คัมภีร์ตอบสนองกับพลังของดานิตะและสร้างวงเวทขนาดใหญ่ขึ้นในอากาศ จากนั้นเงาขนาดใหญ่ก็ปรากฏตัวออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของวงเวท
◆◇◆◇◆
(มุมมองของเลโอนี่)
มันคือร่างยักษ์สูงตระหง่าน เสมือนภูเขาลูกเล็กที่ลุกขึ้นมีชีวิต ร่างนั้นคือ ไซคลอปส์ ยักษ์ตาเดียวที่ถือกระบองหินขนาดใหญ่ในมือขวา
“ไซคลอปส์…”
รุจิกะ ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยชื่อของมันออกมาอย่างคนละเมอ ไซคลอปส์—เคยถูกเล่าขานในสงครามระหว่างมนุษย์และปีศาจว่า สามารถล้มมนุษย์เป็นสิบหรือร้อยด้วยตัวคนเดียว
“เลโอนี่ ทุกคนถอยไปก่อน นั่นไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่มนุษย์ธรรมดาจะรับมือได้”
“แล้วเธอจะทำอะไร?”
“ฉันจะถ่วงเวลาให้พวกเธอหนีไป”
“มันบ้าไปแล้วค่ะ! นี่ไม่ใช่แค่ความแตกต่างระหว่างผู้ใหญ่กับเด็กแล้วนะคะ!”
คู่ต่อสู้นั้นเหมือนป้อมปราการเคลื่อนที่ ฉันไม่คิดว่า รุจิกะ แข็งแกร่งพอจะสามารถจัดการได้
“ฉันจะใช้ ตะกละ แบบเต็มกำลังเลย ไม่เป็นไร ฉันแค่ต้องการเวลา ถ้าเข้าใจแล้วไปเร็วเข้า!”
ฉันถูกผลักอย่างแรงจนเสียการทรงตัว เมื่อหันกลับไป รุจิกะได้เข้าไปในระยะของไซคลอปส์แล้ว กระบองหินขนาดใหญ่ที่สามารถบดขยี้ทุกสิ่งที่สัมผัสถูก เธอหลบหลีกมันอย่างคล่องแคล่ว
“รุจิกะ… ขอให้ปลอดภัยด้วยเถอะ…”
แต่ฉันไม่มีเวลามัวแต่ลังเล เวลาที่รุจิกะซื้อให้นั้นล้ำค่า ฉันต้องนำคนอื่นๆ ออกห่างจากตรงนี้ให้ได้
“ทุกคน! ตั้งสติ! ถอยออกไปอย่างเป็นระเบียบ!”
แม้ว่าจะเป็นผู้ถูกฝึกมาอย่างดีในฐานะผู้สมัครนักรบผู้กล้า แต่เมื่อเผชิญหน้ากับภัยคุกคามระดับนี้ ใครๆ ก็ต้องหวาดกลัว แต่ทุกคนยังคงเคลื่อนตัวถอยหลังอย่างไม่วุ่นวาย
“เลโอนี่จัง!”
“โนล!? กลับไปด้านหลังเดี๋ยวนี้!”
“ฉันจะไปช่วยรุจิกะ ฉันไม่ทำตัวเป็นตัวถ่วงแน่นอน”
“──!”
ฉันตกใจมาก เพราะปกติ โนล เป็นคนขี้ขลาดและขี้กลัว แม้ว่าเธอจะมีความสามารถที่โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม แต่บุคลิกของเธอกลับทำให้ไม่ได้รับการยอมรับที่เหมาะสม แต่ตอนนี้เธอกลับยืนหยัดต่อหน้าไซคลอปส์
“มันอันตรายนะ”
“ฉันรู้ แต่ว่าฉันก็เป็นผู้สมัครผู้กล้าเหมือนกัน ถ้าเป็นแม่ของฉัน แม่คงลุกขึ้นต่อสู้ในสถานการณ์แบบนี้ ฉันไม่อยากเห็นเพื่อนต้องตายต่อหน้าต่อตาหรอกนะ!”
“…เข้าใจแล้ว ไปกันเถอะ โนล”
“อืม!”
ฉันกับโนลกลับไปยังสนามรบ
“เลโอนี่!? โนลด้วย!? ทำไมกลับมาอีก!”
เมื่อเห็นพวกเรา รุจิกะร้องด้วยเสียงอันแตกตื่น แต่เธอถอยกลับมาหาพวกเราโดยที่ยังมีบาดแผลตามตัว
“ฉันจะไม่ปล่อยให้เธอสู้เพียงลำพังหรอกนะคะ”
“ฉันเองก็สู้ได้เหมือนกัน!”
ฉันรีบร่ายเวทย์รักษาบาดแผลให้รุจิกะ ส่วนโนลก็เริ่มร่ายเพลงเวทมนตร์เสริมพลัง
“พวกเธอไม่เคยฟังกันเลยจริงๆ”
“แล้วเธอล่ะ ก็ไม่เคยฟังเหมือนกันไม่ใช่หรอคะ?”
“หยุดเถียงกันก่อน มันมาแล้ว!”
พวกเรากระจายตัวออกทันที และบริเวณที่เรายืนอยู่เมื่อครู่นั้นก็ถูกกระแทกจนแตกเป็นเสี่ยงๆ
”แข็งแกร่งชะมัด……!”
สำหรับไซคลอปส์ซึ่งเป็นสัตว์ปีศาจนั้น เคยถูกกล่าวถึงอย่างละเอียดในบทเรียนมาแล้ว เป็นนักรบที่ไม่ใช้พลังเวทมนตร์หรือพลังจิต แต่ใช้พละกำลังบริสุทธิ์เพียงอย่างเดียวในการบดขยี้เผ่ามนุษย์ ถือเป็นกองกำลังที่มีทั้งพลังโจมตีและป้องกันที่ยอดเยี่ยม แม้จะถูกโจมตีเพียงผิวเผินก็ไม่สนใจและพุ่งทะยานเข้ามา
”ชิ…! 《ตะกละ 》โจมตีมันไม่เข้าเลย”
เสียงของรุจิกะดังขึ้นอย่างหงุดหงิด ความสามารถ 《ตะกละ 》 ของเธอ คือการดูดซับพลังเวทมนตร์หรือพลังจิตของศัตรูแล้วแปรเปลี่ยนเป็นพลังให้กับตัวเอง แต่พละกำลังบริสุทธิ์ของไซคลอปส์กลับไม่สามารถถูกดูดซับได้ดีนัก
”ฉันจะหยุดการเคลื่อนไหว! รุจิกะ โนล เตรียมพร้อมโจมตีเลย!”
”!”
”เข้าใจแล้ว!”
ฉันร่ายมนตร์ทันที เป้าหมายคือ—ใต้เท้าของไซคลอปส์
”《โคลนหนืด》!”
”──!”
เท้าขวาของยักษ์ใหญ่ที่หนาเหมือนท่อนซุงจมลงไปในพื้นดิน มันเสียจังหวะและหยุดการเคลื่อนไหวชั่วครู่
”รุจิกะ ไปเลย! 《แอร์เบิรน์》!”
”ย๊าาาา!”
รุจิกะยกหมัดขึ้นสูงก่อนจะพุ่งเข้าโจมตีโดยอาศัยพลังลมจากเวทมนตร์ของโนล เป้าหมายคือดวงตาเพียงหนึ่งเดียวของไซคลอปส์ซึ่งเป็นจุดอ่อนเพียงจุดเดียว
แต่—
”ไม่ได้นะ! รุจิกะ ป้องกันตัวเร็ว!”
”!?”
”กร๊าาาาา!”
ภาพที่ฉันเห็นคือรุจิกะถูกดีดกระเด็นออกไป คำเตือนของฉันไม่ทันการณ์ เสียงคำรามของไซคลอปส์ก้องกังวาน และร่างเล็กของรุจิกะกระเด็นเหมือนลูกบอล กระแทกพื้นครั้งหนึ่ง สองครั้ง และหยุดนิ่งไป
”รุจิกะ!”
”เลโอนี่ ฉันจะถ่วงเวลาไว้ รักษาเธอที!”
”ได้ค่ะ!”
โนลพยายามหยุดการเคลื่อนไหวของไซคลอปส์ด้วยเวทมนตร์ แต่ฉันไม่ได้หยุดดูจนจบ รีบวิ่งไปหารุจิกะ เธอยังพอป้องกันตัวได้บางส่วน แต่บาดเจ็บหนัก ร่างกายเต็มไปด้วยแผลสาหัส โดยเฉพาะแขนซ้ายที่โดนไม้กระบองดูเหมือนกระดูกจะบดขยี้ไปหมดแล้ว
”รุจิกะ ได้โปรดอย่าหมดสติไป…!”
ฉันพยายามใช้เวทมนตร์รักษาอย่างสุดความสามารถ แต่ความเสียหายนั้นลึกเกินไป ทำให้รุจิกะยังไม่ฟื้น
”กรี๊ดดดด!”
เสียงกรีดร้องดังก้อง ฉันมองไปทางไซคลอปส์ พบว่าโนลถูกจับตัวและโดนบีบด้วยมือข้างเดียว
”อ๊าาาา…!”
เสียงกระดูกของโนลดังสนั่น หากปล่อยไว้ พวกเราต้องพ่ายแพ้แน่ๆ—ฉันพยายามคิดหาทางออกอย่างสุดความสามารถ
ในขณะนั้น ฉันนึกถึงสิ่งที่รุจิกะเคยพูดถึงรสชาติของพลังจิต
”รุจิกะ ความสามารถ 《ตะกละ 》 ของเธอ สามารถดูดซับพลังเวทมนตร์หรือพลังจิต และแปรเปลี่ยนเป็นพลัง ยิ่งคลื่นพลังเข้ากันได้ดีเท่าไหร่ พลังที่ได้รับยิ่งเพิ่มขึ้น…ใช่ไหม?”
ถ้าเช่นนั้น—แม้รุจิกะยังหมดสติ ฉันเริ่มรวบรวมพลังเวทมนตร์จากทั่วร่างกาย
”รุจิกะ ฉันเชื่อในพลังของเธอ…และความสัมพันธ์ของเรา”
ฉันไม่รู้ว่าจะเอาชนะสัตว์ประหลาดตนนั้นได้หรือไม่ และไม่รู้ว่าความสามารถของ 《ตะกละ)》จะได้ผลหรือเปล่า แต่ฉันเลือกที่จะเชื่อ
เพื่อเอาชนะไซคลอปส์ ฉันรวบรวมพลังเวทมนตร์จากทุกส่วนของร่างกาย แม้กระทั่งชีวิตตัวเอง ฉันก็พร้อมที่จะมอบให้ รู้สึกได้ถึงความฮึกเหิมที่พลุ่งพล่าน ฉันโน้มหน้าลงใกล้รุจิกะ
”ฉันจะมอบทุกสิ่งทุกอย่างให้เธอ ดังนั้น รุจิกะ—”
ฉันจูบริมฝีปากของรุจิกะเพื่อส่งพลังทั้งหมดให้เธอ
ขณะที่ฉันจมอยู่ในภวังค์ของความเมามายจากพลังเวทที่ลุกโชน ฉันเทพลังทั้งหมดลงไปให้รุจิกะ ฉันรู้สึกได้ว่าพลังในตัวฉันกำลังไหลออกไปจากรากลึกภายในตัวเองอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงกระนั้น ฉันก็ยังไม่หยุดที่จะถ่ายเทพลังเวทให้เธอ
──ได้โปรดเถอะ รุจิกะ ได้โปรดฟื้นขึ้นมาเถอะ
ฉันรู้สึกว่าภายในร่างกายของฉันกำลังว่างเปล่าลงเรื่อยๆ สติของฉันเริ่มเลือนรางไปทุกที แต่ในช่วงเวลานั้นเอง ฉันก็สัมผัสได้ถึงพลังที่เอ่อล้นออกมาจากส่วนลึกยิ่งกว่าที่เคย
(นี่มันอะไรกัน…?)
แสงสว่างเจิดจ้าเหมือนระเบิด พุ่งออกมาด้วยพลังมหาศาล ราวกับจะทำให้ทุกอย่างรอบตัวสั่นสะเทือน
◆◇◆◇◆
(มุมมองของรุจิกะ)
เมื่อฉันลืมตาขึ้นมา ฉันพบว่าตัวเองถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่าง และอยู่ในอ้อมแขนของเลโอนี่ เธอดูเหมือนจะหมดสติไปแล้ว แต่ฉันยังมีสติเลือนรางพอที่จะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง เลโอนี่นี่ช่างกล้าจริงๆ ทำแบบนี้กับฉันได้ยังไง
“แต่ฉันจะไม่ทำให้เธอต้องผิดหวังแน่นอน เลโอนี่”
ฉันกำหมัดแน่น ความรู้สึกว่าพลังเอ่อล้นไปทั่วร่างกายชัดเจนเหลือเกิน มันต่างจากตอนที่ใช้พลัง ตะกละ เพื่อดูดซับพลังเวทหรือจิตต่อสู้อย่างสิ้นเชิง พลังที่ไหลเวียนในตัวฉันมันมหาศาลเกินปกติอย่างชัดเจน
(นี่มัน…เพราะพลังเวทของคนที่เป็นว่าที่เจ้าสาวหรือเปล่านะ?)
──ถึงจะเป็นคำถามที่น่าสงสัย แต่ตอนนี้เรื่องของไซคลอปส์สำคัญที่สุดนะคะ
(เอ่อ รู้แล้วหน่า!)
ฉันดีดตัวขึ้นจากพื้นด้วยแรงจากทั้งร่างกาย ราวกับสปริงที่ปล่อยตัว และเผชิญหน้ากับไซคลอปส์ ในขณะที่โนลยังคงนอนแน่นิ่งอยู่ใกล้ๆ ฉันตกใจไปชั่วขณะ แต่พอเห็นว่าเธอยังมีลมหายใจ ฉันก็โล่งใจขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนที่ความโกรธจะปะทุขึ้นแทน
“คิดจะทำอะไรกับเพื่อนที่สำคัญของฉันกันหะ! ไอ้บ้านี่!”
ฉันออกแรงที่ขาเต็มกำลัง และพุ่งตัวไปหาไซคลอปส์ ราวกับลูกธนูที่ถูกยิงจากคันศร ในชั่วพริบตา ฉันก็มาถึงเบื้องหน้าร่างยักษ์ของมัน
“นี่แน่ะ!”
ฉันฟาดหมัดเข้าไปที่หน้าของไซคลอปส์อย่างจัง มันดูจะตกใจที่ถูกโจมตีโดยไม่ทันตั้งตัว ร่างมหึมาของมันเซถอยหลังไปหลายก้าว ฉันฉวยโอกาสนั้นโจมตีซ้ำทันที
“นี่แหละ!”
ฉันปล่อยหมัดที่สอง หมัดที่สาม โจมตีตรงไปที่ตาของมัน จุดอ่อนเพียงจุดเดียวของไซคลอปส์ รู้สึกถึงแรงปะทะที่ต่างจากก่อนหน้านี้อย่างชัดเจน มันได้ผล! แต่ศัตรูก็ไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หมัดที่สี่ของฉันถูกมันปัดป้องได้ และมันก็เริ่มตั้งหลักใหม่ ก่อนจะสวนกลับอย่างรวดเร็ว ฉันต้องพยายามหลบหลีกหมัดใหญ่ของมันเหมือนหลบรถบรรทุกคันยักษ์ ในขณะที่ยังโจมตีสวนกลับอย่างต่อเนื่อง
“กรรร…”
“!?”
ไซคลอปส์จู่ๆ ก็คุกเข่าลงและทำท่าเหมือนจะอ้าปาก ความรู้สึกเย็นวาบแล่นผ่านกระดูกสันหลัง ฉันกระโดดหลบออกไปด้านข้างทันที
“กร๊าซซซซ!”
ลมหายใจที่เหมือนเปลวไฟของไซคลอปส์พุ่งทะยานออกมา พลังทำลายล้างมหาศาล ฉีกกระชากพื้นที่ป่าเบื้องหลังเป็นร่องลึก โชคดีที่ฉันบอกให้ทุกคนหลบออกมาก่อนหน้านี้ ไม่อย่างนั้นคงไม่มีใครรอด
──รุจิกะ ตรวจสอบทางขวาเฉียงไปด้านหลังแปดเมตรด้วยค่ะ
(อะไรนะ? …อ๊า แบบนี้แย่แล้ว!)
ฉันพบว่ามีคนหลบหนีไม่ทัน ดานิต้าและพรรคพวกของเธอนั่นเอง ฉันอยากจะร้องออกมาด้วยความหัวเสีย พวกเขาคิดอะไรอยู่กันแน่เนี่ย!
“ดานิต้า! หนีไปสิ! อย่าอยู่ตรงนั้น!”
ในขณะที่ฉันต้องต่อสู้ประชิดตัวไซคลอปส์เพื่อไม่ให้มันใช้ลมหายใจอีกครั้ง ฉันตะโกนสุดเสียงเรียกพวกเขา แต่ดูเหมือนพรรคพวกของดานิต้าจะตกใจจนทำอะไรไม่ถูก ดานิต้าเองกลับไม่ได้ดูตกใจเท่าไหร่ แต่เธอกลับยืนนิ่ง และจ้องมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ
“ดานิต้า! รีบหนีไปเร็ว!”
“ทำไม…”
“อะไรนะ? ฉันไม่ได้ยิน!”
“ทำไมพวกแก…ถึงไม่ยอมแพ้ซักที…”
ดานิต้าพึมพำเหมือนละเมอ
“ทำไมต้องมาสนใจ! ทำไมพวกแกไม่ทิ้งพวกเราไปซะ! ทำไมล่ะ!”
คำพูดนั้น อาจจะเป็นครั้งแรกที่ฉันได้เห็น “ตัวตนที่แท้จริง” ของดานิต้า เธออยู่ในสภาพที่ดูไม่เหลืออะไรอีกแล้ว ถูกทอดทิ้งแม้กระทั่งจากพวกพ้องของเธอเอง ชื่อเสียงในฐานะผู้กล้าผู้สืบทอดที่แข็งแกร่งที่สุดก็ถูกทำลายจนสิ้นซาก ตอนนี้เธอเพียงแค่ตัวสั่นไปด้วยความรู้สึกผิด เสียใจ ความเจ็บปวด และหลากหลายอารมณ์ที่พันกันยุ่งเหยิง
“ทำไมงั้นเหรอ… จำเป็นต้องมีเหตุผลด้วยเหรอ ที่จะปกป้องเพื่อนน่ะ?”
ฉันไม่เข้าใจเหตุผลที่ดานิต้าพูดออกมาเลยจริงๆ ดานิต้ากับพวกพ้องของเธอคือเพื่อน เพราะฉะนั้นฉันก็แค่ปกป้องพวกเขา มันก็แค่นั้นเอง ฉันไม่คิดว่ามันจำเป็นต้องมีเหตุผลอะไรซับซ้อนกว่านี้ หรือว่าสำหรับมนุษย์มันไม่เหมือนกัน?
“เพื่อน…? ฉันเนี่ยนะ?”
“ไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยฉันก็คิดแบบนั้นนะ”
ในขณะที่ฉันหลบหลีกแขนยักษ์ของไซคลอปส์ซึ่งมีพลังมหาศาลอยู่ ฉันก็ยังคุยกับดานิต้าต่อ ฉันควรจะมีสมาธิกับการต่อสู้นี่แหละ แต่ว่าไม่รู้ทำไม ฉันรู้สึกว่าถ้าหยุดพูดคุยกับเธอตอนนี้ มันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้คุยกับเธอ
ดานิต้าดูเหมือนจะตะลึงไป เธอคงไม่คิดว่าจะได้ยินอะไรแบบนี้ ฉันไม่ได้มีเวลาหันไปดูหน้าเธอด้วยซ้ำ แต่สัมผัสได้ถึงบรรยากาศรอบตัวเธอ
“เอาเถอะ จะยังไงก็ช่าง แต่ตอนนี้ช่วยหลบไปก่อนจะดีกว่า พาเพื่อนของเธอหนีออกไปจากตรงนี้ด้วย”
“…ว่าไงนะ”
“หา? ฉันยุ่งอยู่นะ พูดให้ชัดๆ หน่อยสิ!”
ดานิต้าสั่นไปทั้งร่าง บางทีเธออาจจะกลัว อสูรตัวมหึมานี่ไม่มีทางไม่ทำให้ใครกลัวได้หรอก แม้แต่ฉันก็ยังกลัว แต่มันดูเหมือนว่าการสั่นนั้นไม่ได้มาจากความกลัวอย่างเดียว
“อย่าดูถูกฉันนะ!!”
“ดานิต้า…?”
พลังบางอย่างที่ทรงพลังเอ่อล้นขึ้นมาจากด้านหลัง ฉันไม่จำเป็นต้องหันไปดูก็รู้ มันคือพลังจิตต่อสู้ที่บริสุทธิ์ ราวกับเลือดสีแดงสดที่ไหลพุ่งออกมาอย่างไม่มีการเจือปน
“อย่ามองฉันเป็นแค่คนไร้ค่าพวกนั้นนะ! ฉันคือดานิต้า แบล็คเบิร์น! ลูกสาวแห่งผู้กล้าแห่งขวานศึก อูลวาริตา!”
เสียงคำรามแห่งจิตวิญญาณดังก้อง ฉันรู้สึกได้ถึงพลังที่สั่นสะเทือนไปทั่วพื้นที่ จากนั้นแสงสีแดงพุ่งผ่านราวกับดาวตก
ดานิต้ากระโดดขึ้นฟาดขวานลงมาจากมุมสูง ท่วงท่าที่งดงามของเธอสร้างร่องรอยในอากาศก่อนจะฟันลงไปที่แขนขวาของไซคลอปส์ แขนเหล็กของมันถูกตัดขาดเป็นสองท่อนในคราวเดียว
“กร๊าซซซซ!”
เสียงคำรามของไซคลอปส์ดังลั่น มันเจ็บปวดอย่างคาดไม่ถึงจนต้องถอยหลังไป นี่เป็นโอกาสทองที่ฉันจะปล่อยหมัดสุดท้าย
“สุดยอดไปเลย ดานิต้า! บางทีเธออาจจะได้เป็นคู่ชีวิตฉันได้ก็ได้นะ!”
ฉันรวบรวมพลังทั้งหมดที่เหลืออยู่ไว้ในหมัดขวา ก้าวถอยหลังเล็กน้อยเพื่อเตรียมปล่อยหมัดตัดสินการต่อสู้ ฉันหันไปมองไซคลอปส์ด้วยสายตาแน่วแน่
“ขอบคุณนะที่ต่อต้านแม่ของฉัน ตอนนี้ฉันขอพักนะ”
พลังจิตต่อสู้ที่เข้มข้นถึงขีดสุดเริ่มกลายเป็นรูปเป็นร่าง ฉันเห็นสัตว์ร้ายในตำนาน เคอร์เบรอส ปรากฏขึ้นที่มือของฉัน โดยปกติมันจะมีสีดำสนิทดั่งเงามืด แต่ในตอนนี้มันเป็นสุนัขสีขาวบริสุทธิ์ อาจจะเป็นเพราะพลังเวทของเลโอนี่ ฉันไม่แน่ใจ แต่ฉันมั่นใจว่ามันจะจบการต่อสู้นี้ได้
“จบกันแค่นี้แหละ! จงถูกขย้ำให้แหลกเป็นชิ้นๆ กรงเขี้ยวแห่งเคอร์เบรอส!”
พลังต่อสู้ ที่ควบแน่นอยู่ในมือขวาถูกปลดปล่อยออกมา กระแสพลังอันรุนแรงที่ไม่อาจควบคุมได้พุ่งตรงไปหาไซคลอปส์อย่างเกรี้ยวกราด มันแผดเผาและวนเวียน ก่อนจะตรงเข้าสู่ดวงตาของไซคลอปส์ แล้วถูกขย้ำจนหมดสิ้นในคราวเดียว
“ก๊าาาาาา!”
เสียงกรีดร้องแห่งความพ่ายแพ้ดังสนั่น ร่างมหึมาของไซคลอปส์เริ่มล้มลงราวกับภูเขาถล่มดินสะเทือนเมื่อร่างของมันกระแทกพื้น
แม้จะรู้สึกว่าจัดการได้สำเร็จแล้ว แต่ฉันก็ยังไม่ประมาท ฉันค่อยๆ เดินเข้าไปดูใกล้ๆ ว่ามันหยุดการเคลื่อนไหวแล้วหรือยัง ฉันแตะที่ร่างอันใหญ่โตที่ยังคงอุ่นอยู่ และสัมผัสได้ว่าคอร์พลังของมันหยุดทำงานแล้ว นักรบแห่งเผ่ามารผู้กล้าหาญได้พักผ่อนตลอดกาล
“ขอบคุณสำหรับมื้ออาหาร และฝันดีนะ”
ขณะที่ฉันส่งเขาไปอย่างสงบ เสียงหนึ่งดังขึ้นจากข้างหลัง
“สุดยอดมากเลย รุจิกะ”
“เลโอนี่ ฟื้นแล้วสินะ”
“ค่ะ”
เลโอนี่ปรากฏตัวขึ้น เธอคงใช้เวทรักษาร่างกายของตัวเองจนกลับมาแข็งแรงแล้ว ไม่มีบาดแผลให้เห็นเลย เธอเดินเข้าไปหาโนลที่ล้มอยู่และเริ่มใช้เวทรักษาให้เขาอีกครั้ง ทั้งที่เธอแบ่งพลังเวทให้ฉันมากมายขนาดนั้น แต่ยังคงรักษาคนอื่นได้อีก เธอนี่สุดยอดจริงๆ
“รุจิกะ ไซคลอปส์ตัวนี้เป็นทหารของแม่คุณหรอคะ?”
“เอ๊ะ? ฉันยังไม่ได้บอกเหรอ?”
เหมือนจะลืมบอกไปสินะ
“แม่ของฉันชื่อเอลิซ่า เป็นจอมมารอลิซา ผู้ที่พ่ายแพ้ต่อแม่ของเธอ ผู้กล้าเรย์นี ไบเอซ ”
“อะไรนะ!? ถ้าอย่างนั้นคุณก็คือ…ลูกของจอมมารเหรอ!?”
“ใช่แล้วล่ะ”
เลโอนี่ทำหน้าตกใจจนฉันแปลกใจ แต่ก็ไม่แปลกหรอก
“ไม่น่าเชื่อเลย”
“อ่าา… โดนพูดแบบนี้อีกแล้ว”
คุณยายเคยบอกว่าแม่ของฉันเป็นหญิงงามที่มีเสน่ห์น่าหลงใหลมาก แต่ฉันกลับไม่ค่อยได้ส่วนดีนั้นมาสักเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้ฉันถึงได้รู้สึกแปลกแยกในดินแดนของเผ่ามารอยู่บ่อยๆ
“เอาเถอะ ฉันฝากดูแลโนลด้วยนะ”
“ได้ค่ะ แล้วคุณจะไปไหนต่อ?”
“ไปคุยกับสองคนนั้นสักหน่อยน่ะ”
ฉันเดินไปหาดานิต้าและเพื่อนร่วมทีมของเธอ เพื่อนคนนั้นกอดเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่ ดูเหมือนจะหมดกำลังใจไปแล้ว ส่วนดานิต้าก็มีสีหน้าที่ดูโล่งใจ แต่ยังคงมีความว่างเปล่าในสายตา
“ดานิต้า ขอบคุณนะ ถ้าไม่มีพลังของเธอ ฉันคงเอาชนะไซคลอปส์ไม่ได้”
“…”
“แล้ว…วงเวทเคลื่อนย้ายที่พังไป เป็นฝีมือเธอหรือเปล่า?”
คำถามนี้ฉันถามไปอย่างไม่ค่อยมั่นใจ แต่มีลางสังหรณ์บางอย่างว่ามันเป็นอย่างนั้น ดานิต้าพยักหน้าเบาๆ
“ดานิต้า ฉันไม่รู้ว่าเธอกำลังทุกข์ใจกับเรื่องอะไรอยู่ แต่สิ่งที่เธอทำอยู่นี่มันใช่สิ่งที่เธอต้องการจริงๆสินะ?”
“…”
“ที่ฉันไม่คิดอย่างนั้น ก็เพราะตอนสอบเข้า ฉันได้ลองสัมผัสพลังเวทของเธอ แม้มันจะเต็มไปด้วยหนามแหลมคม แต่รสชาติของมันกลับซื่อตรงและบริสุทธิ์”
ฉันยิ้มให้เธอ ดานิต้าก้มหน้าและพึมพำออกมา
“…บ้าเอ๊ย… ฉันแพ้เธอจริงๆ”
เมื่อเธอเงยหน้าขึ้น ดวงตาของดานิต้ามีคราบน้ำตา แต่ใบหน้ากลับดูสงบและสดใสเหมือนอะไรบางอย่างได้ถูกปลดปล่อยไป
ฉันรู้สึกว่าร่างกายกำลังอ่อนแรง ทรงตัวไม่อยู่จนเข่าทรุดลง
“นี่! เดี๋ยว!”
“รุจิกะ!?”
“รุจิกะจัง!?”
เสียงของพวกเธอดังอยู่รอบตัว แต่ฉันไม่อาจรับรู้อะไรได้อีกแล้ว ขอโทษนะ ทุกคน…
“รุจิกะ! ลืมตาสิ! ได้โปรด!”
เสียงที่แสนเศร้าของเลโอนี่ดังขึ้น แต่ฉันก็ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นจริงหรือเปล่า
“ในที่สุดฉันก็เจอคนที่ฉันไว้ใจได้แล้ว…ถ้าฉันต้องเสียเธอไปตอนนี้ ฉัน…”
โครกกกกกกกกกกกกก
“…”
“…”
“…”
“…หิวจัง…”
ฉันพูดออกมาเบาๆ เพราะใช้พลังของ “กรงเขี้ยวแห่งเคอร์เบรอส” เต็มที่แล้ว ความหิวจึงเข้าครอบงำ
“คะ-คุณนี่มันนนน!!”
“ฮะๆ ไม่เป็นไรหรอกเลโอนี่จัง ยังไงรุจิกะก็ปลอดภัยแล้วนี่นา”
“ฉันแพ้ให้กับคนแบบนี้เหรอ…ช่างน่าอายจริงๆ…”
เสียงถอนหายใจดังมาจากทุกทิศทาง
หลังจากนั้น ไม่นานฉันก็ได้กินเนื้อไก่ย่างที่มีคนยัดใส่ปากมาให้ ถึงแม้ว่าสายตาของเลโอนี่จะดูเย็นชาอย่างประหลาดก็ตาม ทำไมล่ะ…?
ทีมช่วยเหลือจากโรงเรียนมาถึงหลังจากนั้นไม่นานนัก