WSSTH – สงครามจักรพรรดิทะยานสวรรค์ - ตอนที่ 2614
ตอนที่ 2,614 : เคล็ด ผลึกรัศมีลี้ลับ
ระหว่างที่เดินทางกลับกระโจมของตัวเอง ต้วนหลิงเทียนก็ได้ยินเหล่าทหารในค่ายทัพมังกรดำเอาแต่สนทนากันถึงเรื่องเขา
แน่นอนว่าหัวข้อสนทนาทั้งหลายก็วนเวียนอยู่แต่กับเรื่องที่เขาจัดการหยางกงผิงในเหลาอาหารไหลเฟิ่งในเมืองเฉวี่ยโยววันนี้
ทหารของกองทัพมังกรดำมากมายเริ่มเป็นห่วงความปลอดภัยของเขา และทั้งหมดรู้สึกว่าเรื่องราวในวันนี้ ไม่มีทางที่ผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินจะปล่อยเขาไปง่ายๆ
‘เหมียวไหลหลงน่ะหรือไม่ปล่อยข้าไปง่ายๆ ให้มันกล้าโผล่หัวมาเถอะ…’
ต้วนหลิงเทียนส่ายหัวไปมาด้วยรอยยิ้ม ค่อยเดินทางกลับกระโจม
ถึงแม้ต้วนหลิงเทียนจะรู้ดีว่า สาเหตุที่ไฉนทหารของกองทัพมังกรดำถึงพากันวิตกกังวลเรื่องความปลอดภัยเขา จะเป็นเพราะพลังฝีมือที่เขาเผยออกนั้น…จะทำให้กองทัพมังกรดำมีขุมพลังเหนือกว่าและสามารถบดขยี้กองทัพมังกรเงินได้ในอนาคต…
พูดกันตรงๆก็คือเขามีค่ากับกองทัพมังกรดำ
อย่างไรก็ตามในใจเขายังรู้สึกซาบซึ้งอยู่บ้าง
‘เคล็ดวิชาผลึกรัศมีลี้ลับ’
หลังกลับมาถึงกระโจมของตัวเองแล้ว ต้วนหลิงเทียนก็หยิบป้ายหยกที่เขารีดไถเหมียวไหลหลงผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินออกมาทันที เป็นป้ายหยกที่อีกฝ่ายได้บันทึกเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองเอาไว้
ป้ายหยกแผ่นนี้มีเคล็ดความวิชา ผลึกรัศมีลี้ลับ บันทึกเอาไว้ ตราบใดที่ต้วนหลิงเทียนใช้เวลาตีความสักหน่อย เขาย่อมเข้าใจมันได้ไม่ยาก
‘นี่น่ะเหรอเคล็ดวิชาบ่มเพาะของระนาบเทวโลก…น่าตื่นเต้นจริงๆ’
สูดลมหายใจเข้าลึกๆเพื่อระงับความตื่นเต้นในใจ ต้วนหลิงเทียนก็เริ่มเดินพลังฝึกฝนตามเคล็ดวิชาในป้ายหยก
เนื่องจากแต่เดิมเขาบ่มเพาะตามเคล็ดวิชา 9 มังกรจักรพรรดิสงครามมาจนคุ้นชิน ตอนนี้เขาจึงต้องใช้เวลาพอสมควรเพื่อให้ร่างกายปรับตัวเข้ากับการโคจรบ่มเพาะพลังตามเคล็ด ผลึกรัศมีลี้ลับ! เปลี่ยนเส้นทางการโคจรของพลังเซียนอมตะต้นกำเนิดในร่างใหม่หมด…
หลังหลับตาลงเดินพลังได้สักพัก ต้วนหลิงเทียนก็จมจ่อมลงสู่ภวังค์บ่มเพาะพลังตามเคล็ดผลึกรัศมีลี้ลับ จนลืมเลือนเวลา ตัดขาดโลกภายนอก…
“แม่ทัพต้วนหลิงเทียน”
ทว่าหลังบ่มเพาะพลังไปได้ไม่ทันไร ต้วนหลิงเทียนกลับได้ยินเสียงเรียกหาของผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำเฉินเฉวียนป้าอีกครั้ง “ข้าได้ยินมาเรื่องที่เหลาอาหารไหลเฟิ่งวันนี้มาแล้ว…ท่านลงมือไปเช่นนั้น เกรงว่าเรื่องคงไม่จบลงง่ายๆแน่”
“พวกเรา…มาหารือกันก่อนดีหรือไม่ ว่าจะจัดการกับโทสะของเหมียวไหลหลงอย่างไร?”
“จากเรื่องที่เกิดและนิสัยของมัน ข้าเชื่อว่ามันต้องมาอาละวาดที่นี่ก่อนไปฟ้องร้องท่านเจ้าเมืองแน่…”
เฉินเฉวียนป้ากล่าว
ต้วนหลิงเทียนที่อุทิศตัวให้กับการบ่มเพาะพลังตามเคล็ด ผลึกรัศมีลี้ลับ ได้พักหนึ่ง พอถูกเฉินเฉวียนป้ามาขัดจังหวะแบบนี้ ย่อมทำให้เขารู้สึกขัดใจอยู่บ้าง เมื่อลืมตาขึ้นใบหน้าเขาก็เผยความรำคาญให้เห็นชัด!
“ผู้บัญชาการเฉิน ตอนนี้ข้าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการบ่มเพาะ…หากเหมียวไหลหลงนั่นไม่มาเคาะประตูบ้าน ขออย่าได้มารบกวนข้าบ่มเพาะอีก…”
ต้วนหลิงเทียนกล่าวออกด้วยน้ำเสียงขาดความอดทนกระทั่งยังแทบจะเป็นคำสั่ง!
ได้ฟังวาจากล่าวคำด้วยน้ำเสียงรำคาญแกมสั่ง! ผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำเฉินเฉวียนป้าที่ยืนอยู่หน้ากระโจมต้วนหลิงเทียนถึงกับชักหน้าเหวอไปอยู่นานกว่าจะคืนสติ…
น้ำเสียงรำคาญแกมสั่งของต้วนหลิงเทียน ทำให้เฉินเฉวียนป้ารู้สึกว่าเรื่องราวมันเข้าอีหร็อบ ‘ฮ่องเต้ไม่กังวล ขันทีเป็นกังวล’ อย่างไรก็ไม่ทราบ…
‘แม่ทัพต้วนหลิงเทียนผู้นี้จริงๆเลย…’
ถึงแม้จะรู้สึกไร้คำจะพูดอยู่บ้าง แต่ในเมื่อต้วนหลิงเทียนได้กล่าวเอาไว้ชัดเจนแล้วว่าอยู่ในช่วงสำคัญของการบ่มเพาะ เช่นนั้นเฉินเฉวียนป้าจึงไม่คิดรบกวนอีกต่อไป
‘แต่…หากจะว่ากันตามปกติ ป่านนี้เหมียวไหลหลงนั่นสมควรมาอาละวาดแล้วนี่นา…’
หลังฉุกคิดได้ถึงเรื่องนี้เฉินเฉวียนป้าก็รู้สึกว่าเรื่องราวมันมีอะไรผิดปกติพิกล ‘เป็นไปได้หรือไม่…ที่เหมียวไหลหลงนั่นมันไม่คิดมาอาละวาดที่ค่ายมังกรดำของข้าก่อน แต่บุกไปฟ้องร้องกับท่านเจ้าเมืองเลย?’
เฉินเฉวียนป้าในตอนนี้ กระทั่งให้หลับยังไม่อาจฝันถึง
ว่าเหมียวไหลหลงที่มันกลัวอีกฝ่ายมาอาละวาด…จะพึ่งแพ้พ่ายต้วนหลิงเทียน ทั้งถูกรีดไถเคล็ดวิชาบ่มเพาะที่เจ้าเมืองมอบให้ไปหยกๆ! ไหนเลยจะหาญกล้ามาสร้างปัญหาให้ต้วนหลิงเทียนได้ในเวลาอันสั้น!!
ณ ค่ายของกองทัพมังกรเงิน
“ท่านพี่…ไฉนกลับมาเร็วนักเล่า?”
เหมียวไหลหลงที่พึ่งกลับมาถึงกระโจม เหมียวไหลเฟิ่งที่รออยู่ด้านในก็เร่งกล่าวทักออกมาทันที “เป็นอย่างไรบ้างท่านพี่ ผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำมันว่ายังไง…แล้วท่านได้ตัวแม่ทัพสารเลวแซ่ต้วนนั่นมาหรือไม่?”
ขณะกล่าวถามสองตาเล็กๆของเหมียวไหลเฟิ่งก็หดหยีลงแทบปิด หากแต่ยังมีประกายแห่งความคาดหวังฉายลอดออกมาให้เห็น
ได้ยินเหมียวไหล่เฟิ่งพูดถึงต้วนหลิงเทียน สีหน้าของเหมียวไหลหลงก็เปลี่ยนเป็นมืดมนลงทันใด ในแววตายังฉายถึงความเกลียดชังคับแค้นแสนเกลียดออกมาให้เห็น…
“ท่านพี่…ท่าน…เป็นอะไรไป?”
จังหวะนี้เหมียวไหลเฟิ่งย่อมสังเกตเห็นความผิดปกติของเหมียวไหลหลงได้ทันที
“เจ้ารู้หรือไม่ว่าหลังข้าออกจากค่ายมังกรเงินแต่ไม่ทันถึงเมืองเฉวี่ยโยว…ข้าได้พบกับใครเข้าระหว่างทาง?”
เหมียวไหลหลงมองถามเหมียวไหลเฟิ่ง
“ใครหรือ?”
เหมียวไหลเฟิ่งชะงักไปเล็กน้อย
นางรู้ดีว่าอยู่ๆพี่ชายของนางคงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้ขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล
“ต้วนหลิงเทียน!”
แสงเย็นวาบขึ้นในลูกตาเหมียวไหลหลงก่อน ค่อยพูดขึ้นว่า “มัน…ถึงกับจงใจมาดักข้ากลางทางระหว่างค่ายมังกรเงินกับเมืองเฉวี่ยโยว”
“อะไรนะ!?”
เหมียวไหลเฟิ่งตกใจนัก “สารเลวต้วนหลิงเทียนนั่นมาถึงกับกล้ามาดักท่านกลางทาง…หรือมันเบื่อชีวิตคิดหาที่ตาย?”
“เบื่อชีวิตคิดหาที่ตาย?”
เหมียวไหลหลงส่ายหัว ค่อยหัวเราะออกมาอย่างหดหู่ “ไหลเฟิ่ง พี่ชายของเจ้าคนนี้…เกือบไม่ได้กลับมาแล้ว…”
“อะไร!? สารเลวนั่นมันไปหาคนมาช่วยหรือ!? ใช่ผู้บัญชาการกองทัพมังกรดำเฉินเฉวียนป้าให้ท้ายมันหรือไม่?!”
หน้าของเหมียวไหลเฟิ่งเปลี่ยนไปอย่างมาก
“ไม่มีใครช่วยมันทั้งนั้น”
เหมียวไหลหลงส่ายหัวไปมา ค่อยกล่าวออกด้วยสายตาฉายแววหวาดกลัว “มันมาคนเดียว…หากมันไม่ใช้ทักษะพิสดารฉกชิงอาวุธผู้อื่น พลังของข้านับว่าเหนือกว่ามันเล็กน้อย…”
“แต่พอมันใช้วิธีผีสางนั่นชิงดาบเซียนอมตะข้าไป พลังของข้าก็อ่อนด้อยกว่าของมันทันที…”
“เจ้าเองก็สมควรรู้ดี…ว่าในระดับของข้า ผลต่างของพลังเพียงเล็กน้อยก็มากพอจะตัดสินผลลัพธ์ได้แล้ว…”
ขณะกล่าวประโยคท้าย เหมียวไหลหลงก็ได้แต่คลี่ยิ้มเหยเกออกมา
“อะไร?!”
“สารเลวนั่น…พลังของมัน…เหนือกว่าท่าน?”
ร่างอ้วนดั่งช้างน้ำของเหมียวไหลเฟิ่งสะท้านไปจนไขมันกระเพื่อมเป็นลอน ใบหน้าของนางฉายชัดถึงความตกใจทั้งไม่อยากจะเชื่อ! ขณะเดียวกันนางก็ส่ายหน้าอ้วนๆของนางไม่หยุด ราวกับไม่ยอมรับความจริง!!
“อืม”
เหมียวไหลหลงพยักหน้า
“กระทั่งท่านพี่ยังไม่ใช่คู่ต่อสู้มันอีกหรือ…เช่นนั้นเรื่องราวครั้งนี้ พวกเราทำได้แค่ลืมมันไปงั้นเหรอ?”
เหมียวไหลเฟิ่งไม่อาจรับความจริงได้โดยง่าย
ไม่นานคล้ายนางคิดอะไรได้ออก สองตานางเผยประกายเรืองวูบ มองกล่าวกับเหมียวไหลหลงว่า “ท่านพี่! ในเมื่อท่านบอกว่าพลังฝีมือของมันเดิมทียังอ่อนด้อยกว่าท่านเล็กน้อย…เช่นนั้นหากเป็นท่านเจ้าเมืองเล่า? มันต้องมิใช่คู่ต่อสู้ของท่านเจ้าเมืองแน่!!”
“ท่านพี่…ท่านไปร้องขอคำอธิบายจากท่านเจ้าเมืองเถอะ! ข้ามิเชื่อ…ว่ามันจะสามารถใช้หนึ่งมือบังฟ้าต่อหน้าท่านเจ้าเมืองได้!!”
กล่าวถึงประโยคท้ายสีหน้าเหมียวไหลเฟิ่งก็แลดูดุร้ายนัก ประกายในแววตานางยิ่งมายิ่งเยียบเย็นอำมหิต!
“ทำไม่ได้!”
แต่เหมียวไหลหลงกับปฏิเสธออกมาเสียงแข็งทันที
“ทำไมเล่าท่านพี่!?”
หน้าเหมียวไหลเฟิ่งเปลี่ยนไปทันใด จาดดุร้ายอำมหิตกลับกลายเป็นความหดหู่สลดใจ “ท่านพี่…หรือท่านพี่จะให้ข้าลืมเรื่องนี้? ท่านพี่…ข้าทำไม่ได้! ข้าไม่อาจทำใจปล่อยวางได้!!”
“ไหลเฟิ่งเอย…ไม่ใช่ว่าพี่ไม่เข้าใจเจ้า แต่ครานี้พี่มิอาจไปหาท่านเจ้าเมืองได้จริงๆ…หากพี่ไปหาท่านเจ้าเมือง เกิดต้วนหลิงเทียนนั่นมันเปิดเผยเรื่องที่พี่มอบเคล็ดวิชาบ่มเพาะระดับเหลืองให้มันไปกับท่านเจ้าเมืองขึ้นมา พวกเราก็จบสิ้นกันแล้ว!”
เหมียวไหลหลงได้แต่เผยยิ้มขื่นขม กล่าวออกเสียงอ่อน “เจ้าเองก็สมควรรู้ดี ฝ่าฝืนคำสั่งส่งมอบเคล็ดวิชาระดับเหลืองออกไปโดยไม่ได้รับอนุญาต…มีโทษหนักหนาสาหัสเพียงใด…”
“ท่านพี่…ไฉน…ท่านถึงส่งเคล็ดวิชาให้มันไปเล่า!?”
สีหน้าเหมียวไหล่เฟิ่งเปลี่ยนไปอีกรอบ
“พี่ยังไม่ส่งให้มันได้หรือ? มันบอกว่า หากพี่ไม่ส่งให้มัน…มันจะฆ่าพี่ทิ้งเสียตรงนั้น!”
เหมียวไหลหลงกล่าวต่อว่า “มันยังบอกอีกว่า…ตัวมันเป็นแค่ผู้ที่พึ่งขึ้นสวรรค์มาได้แค่ครึ่งเดือน หลังฆ่าพี่แล้วมันแค่ออกจากเมืองเฉวี่ยวโยว กระทั่งออกจากมณฑลจิ่วโยวก็จบ ยังต้องกังวลอะไร…”
“ไม่ใช่มันมีวรยุทธ์อมตะทั้งเวทย์พลังเลิศล้ำแล้วหรือไร…ไฉนมันยังต้องการเคล็ดวิชาบ่มเพาะของท่านอีก มิใช่มันสมควรมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะเลิศล้ำด้วยหรือ?”
เหมียวไหลเฟิ่งย่อมไม่เข้าใจ ว่าไฉนต้วนหลิงเทียนถึงต้องมาเค้นเอาเคล็ดวิชาบ่มเพาะจากพี่ชายของนางไปแบบนี้
“ข้าเองก็คิดว่ามันสมควรมีเคล็ดวิชาบ่มเพาะเลิศล้ำอยู่แล้ว และสมควรเหนือล้ำยิ่งกว่าผลึกรัศมีลี้ลับหลายขุมด้วยซ้ำ…แต่ที่มันสั่งให้ข้าส่งมอบเคล็ดวิชาออกไป จุดประสงค์ไม่พ้นต้องการให้ข้า คิดเขวี้ยงมุสิกกริ่งเกรงภาชนะเสียหายจนไม่กล้าไปหาท่านเจ้าเมือง…”
เหมียวไหลหลงกล่าวคาดเดาออกมา และยิ่งพูดมันก็ยิ่งคิดว่ามันเข้าใจถูก
“ท่านพี่…ข้าไม่ยอมรับ…ข้าไม่ยอมรับ…”
จังหวะนี้ถึงแม้ปากเหมียวไหลเฟิ่งจะกล่าวออกมาเช่นนั้น แต่น้ำเสียงนางก็อ่อนลงไม่น้อย
เพราะนางเองก็รู้ดีแก่ใจ จากสถานการณ์ในตอนนี้ คิดทวงความเป็นธรรมให้สามีนางนั้น มันยากเย็นยิ่งกว่าทะยานฟ้า!
“ไหลเฟิ่ง พี่รู้ดีว่าเจ้าทำใจเรื่องนี้ไม่ได้ ตัวพี่เองไหนเลยจะทำใจได้! เพียงเจ้าอดทนไว้ก่อนเถอะ…หลังจากนี้พี่จักพยายามเต็มที่ว่าสามารถยืมมีดผู้ใดฆ่าคนได้หรือไม่! พี่เชื่อว่าต้องมีสักคนที่ฆ่าสารเลวนั่นได้แน่!”
เหมียวไหลหลงกล่าวปลอบน้องสาวตัวเองออกมาก่อน และหลังจากกล่าวบอกถึงความไม่ยินยอมของตัวเองแล้ว ค่อยกล่าวถึงแผนการณ์ออกมาด้วยสายตาอำมหิตเยียบเย็น
…
ไม่ว่าจะผู้คนในเมืองเฉวี่ยโยวหรือค่ายกองทัพมังกรดำต่างก็รู้สึกว่า ผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินเหมียวไหลหลง ไม่มีวันเลิกราเรื่องนี้แน่นอน มันต้องตามมาเอาเรื่องต้วนหลิงเทียนที่ไปทำร้ายน้องเขยมันจนพิการให้ถึงที่สุด!
ด้านคนในกองทัพมังกรดำก็พากันวิตกกังวลถึงความปลอดภัยของต้วนหลิงเทียน
ด้านคนในเมืองเฉวี่ยโยวก็เฝ้ารอชมเรื่องบันเทิงกันอย่างใจจดใจจ่อ
อย่างไรก็ตามเมื่อวันเวลาผ่านไป แต่ด้านกองทัพมังกรเงินยังไร้ความเคลื่อนไหวอะไร ทุกอย่างสงบเงียบราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น…
วันเวลาหนึ่งเดือนผ่านพ้นไปอย่างเงียบงัน…
เรื่องราวของต้วนหลิงเทียนแม่ทัพกองทัพมังกรดำได้ทำร้ายแม่ทัพของกองทัพมังกรเงินอย่างหยางกงผิงจนพิกลพิการเมื่อเดือนที่แล้ว กลับเงียบไปราวหายเข้ากลีบเมฆ…
“นี่มัน…เกิดอะไรขึ้นกันแน่?”
“เงียบสงบเช่นนี้มิใช่นิสัยของผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินอย่างเหมียวไหลหลงเลย…”
“หรือเหมียวไหลหลงมันจักปิดด่านบ่มเพาะอยู่ ป่านนี้จึงยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเดือนที่แล้ว?”
…
ในเมืองเฉวี่ยโยยปรากฏถ้อยคำทำนองดังกล่าวดังขึ้นทุกที่
ณ จวนเจ้าเมือง ของเมืองเฉวี่ยวโยว
ภายในห้องโถงหลัก
“ไหลหลง ผู้คนพากันพูดว่าเจ้ากำลังปิดด่านบ่มเพาะอยู่…แต่ข้ารู้ดีว่าหากเกิดเรื่องอันใดขึ้นกับน้องสาวเจ้า ถึงตัวเจ้าจะปิดด่านบ่มเพาะอยู่ แต่ไม่พ้นเจ้าต้องรีบออกจากการปิดด่านเพื่อมาสะสางเรื่องราวความแค้นให้นางทันทีแน่!”
เจ้าเมืองเฉวี่ยโยว หลิ่วเฟิงกู่ มองไปยังผู้บัญชาการกองทัพมังกรเงินอย่างเหมียวไหลหลง พลางกล่าวออกมาด้วยวาจาทำราวกับรู้จักเหมียวไหลหลงดี
เหมียวไหลหลงไม่ตอบคำใด เพียงเผยยิ้มเจื่อนๆออกมา
“ว่าแต่วันนี้เจ้ามาเพื่อส่งมอบหินอมตะที่กองทัพมังกรเงินของเจ้าขุดได้ในเดือนนี้งั้นหรือ?”
หลิ่วเฟิงกู่กล่าวถามออกมาอีกครั้ง