World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 98 ยอมรับความจริง!
ตอนที่ 98 ยอมรับความจริง!
อาคารฝึกฝนการต่อสู้จริงตั้งอยู่มุมตะวันออกเฉียงเหนือของวิทยาเขต
นี่เป็นอาคารสูงเก้าชั้น และเก้าชั้นเป็นจํานวนสูงสุดของโม่อู่
มันไม่สูงนัก แต่กินพื้นที่กว้างขวาง
ในวันนี้มันไม่ได้เปิดทุกชั้น มันเปิดแค่สี่ชั้นเท่านั้น
บนชั้นเก้าชั้นเก้าไม่ได้ถูกออกแบบมาเพื่อฝึกฝนแต่เป็นห้องโถงที่กว้างขวาง
มีหน้าจอติดตั้งอยู่บนผนังทั่วห้องโถงบนหน้าจอกําลังแสดงภาพนักศึกษาหลังเข้ามาในอาคาร
บนชั้นเก้าที่มักไม่มีคน เวลานี้มีอาจารย์ทั้งนั่งทั้งยืนเกือบร้อยคน
ด้วยจํานวนนักศึกษาใหม่เกือบ1600 คน จึงมีอาจารย์สอนวิชายุทธประมาณ 100 คนและอาจารย์ที่สอนสังคมศาสตร์ อีกหลายสิบคน
มหาลัยวิชายุทธเซี่ยงไฮ้มีนักศึกษามากกว่า 6000 คน อาจารย์ทั้งสองวิชาจึงมีนับพันคน
อัตราส่วนนักศึกษากับอาจารย์เกือบ 5:1 นี่เป็นอีกหนึ่งความพิเศษของมหาลัยวิชายุทธอาจารย์วิชายุทธไม่ได้สอน นักศึกษาหลายคนในครั้งเดียว
หวงจึงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนเช่นเคยอาจารย์และคณบดีสาขาคนอื่นๆยืนอยู่ร อบตัวเขา
ขณะที่พวกเขารอให้นักศึกษาเข้ามาก็มีคนในห้องโถงพูดขึ้นมาอย่างกระทัน หัน “แรงจูงใจแรกเริ่มของการก่อตั้งสี่สาขาคือป้องกันไม่ให้มุ่งเน้นวิชายุทธมากไปซึ่งจะทําให้นักศึกษารู้จักแต่ใช้พลังเข้าสู้!”
“ตอนนี้สาขาศัสตราวุธได้ทรัพยากรมากสุดและเลือกนักศึกษาที่ดีที่สุด”
“นักศึกษาบางคนไม่ได้สนใจการต่อสู้พวกเขาเหมาะกับงานวิจัย การประดิษฐ์ธุรกิจและการเมืองมากกว่า”
“ประเทศจะเจริญได้ก็ต่อเมื่อทุกอุตสาหกรรมจะเฟื่องฟูเราไม่ควรให้ความสําคัญกับวิชายุทธอย่างเดียว!”
“ตอนนี้มหาลัยวิชายุทธทุกแห่งทั่วประเทศได้เบี่ยงเบนจากความตั้งใจเดิม”
“สาขาศัสตราวุธได้รับการลงทุนมากเกินไปซึ่งทําให้นักศึกษาที่โดดเด่นส่วนใหญ่เลือกสาขานี้”
“คณบดีหวง ผลลัพธ์เช่นนี้มันดีเหรอ?”
ทุกคนหันไปมองผู้พูด
คนที่พูดไม่ใช่ใครอื่นนอกจากคณบดีสาขาสังคมศาสตร์เฉินเจิ้นฮวา
เฉินเจิ้นฮวาไม่ใช่ปรมาจารย์แต่เขาก็ยังเป็นยอดยุทธขั้นหกสูงสุด เขายังเป็นนักวิชาการชื่อดังระดับประเทศและเป็นที่ปรึกษาทางการเมืองอีกด้วย
สาขาสังคมศาสตร์ในโม่อู่ในช่วงไม่กี่ปีมานี้ก็ไม่ได้แย่อย่างน้อยก็เป็นสาขาสังคมศาสตร์ชั้นนําของประเทศ
มีผู้ว่าราชการเจ็ดแปดคนที่เป็นศิษย์เก่าของมหาลัยปัจจุบันมีคนดํารงตําแหน่งอยู่สี่คน
แต่มันเป็นความจริงที่ทรัพยากรของมหาลัยทุกปีกระจุกอยู่ที่สาขาศัสตราวุธอย่างไม่ยุติธรรมสาขาสังคมศาสตร์ได้รับทรัพยากรน้อยกว่าดังนั้นเมื่อเทียบกับสาขาศัสตราวุธคุณภาพนักศึกษาจึงแย่ลงเรื่อยๆ
เคยมีนักศึกษาที่โดดเด่นบางคนเลือกสาขาสังคมศาสตร์แต่ตอนนี้ไม่มีใครทําแบบนั้นเลย
เมื่อเห็นว่าการกําหนดสาขาประจําปีของมหาลัยจะเริ่มขึ้นอีกครั้ง เฉินเจิ้นฮวาจึงไม่อาจอยู่เฉยเขาต้องพูดอะไรบางอย่าง
หวงจึงไม่สะดุ้ง เขากล่าวอย่างเฉยเมย”นักศึกษาจากสาขาศัสตราวุธเป็นแต่ใช้กําลังโง่ๆงั้นเหรอ?”
“มีนักศึกษาทุกประเภทที่จบการศึกษาจากสาขาศัสตราวุธ!”
“มีทั้งนักการเมืองที่สามารถปกครองทั้งประเทศนายพลที่ปกป้องดินแดนผู้ประกอบการที่มั่งคั่งนักวิทยาศาสตร์อดังระดับโลก…”
“ใครกล้าบอกว่านักศึกษาทุกคนจากสาขาศัสตราวุธดีแต่ใช้กําลังกัน!”
“ผู้ที่เชี่ยวชาญภาษาปกครองประเทศได้แต่ผู้ที่เชี่ยวชาญยุทธรักษาความสงบและความสามัคคีได้”
“คณบดีเฉิน คุณจะพูดเรื่องนี้โดยไม่ไตร่ตรองไม่ได้!”
เฉินเจิ้นฮวากล่าวอย่างไม่พอใจ “คณบดีหวงอย่าสรุปแบบนั้นนักศึกษาที่จบสาขาศัสตราวุธส่วนใหญ่ในไม่กี่ปี มานี้ต่างก็เลือกเข้ากองทัพหรือกรมสืบสวน…”
“มันเป็นเพราะถ้ําใต้ดินอันตรายขึ้นเรื่อยๆ !”
หวงจึงกล่าวด้วยสีหน้าหนักอึ้ง “พวกเขาทําเพื่อประเทศ!”
“จะมีสักกี่คนที่รู้ว่าพวกเขาเสียชีวิตที่สนามรบ?”
“เราทําได้แต่เฝ้าดูนักศึกษาชั้นยอดต่อสู้อยู่แนวหน้ากลุ่มแล้วกลุ่มเล่า เฝ้าดู จุดจบชีวิตวัยเยาว์คุณที่อาศัยอยู่เบื้องหลังมีความสุขกับชีวิตที่มั่นคงจะเข้าใจได้เหรอ?”
“ทําไมสาขาศัสตราวุธถึงได้รับการแบ่งสรรทรัพยากรมากที่สุด? ทําไมเราถึงรับแต่หัวกะทิ?”
“ผู้บัญชาการแนวหน้ากําลังลดลง จํานวนคนตายกําลังเพิ่มขึ้น! คุณรู้ไหม?”
“แม้ว่ามันจะไม่ยุติธรรมต่อทหารและผู้ ฝกยุทธทั่วไป แต่คุณต้องยอมรับว่าที่คุณใช้ชีวิตอย่างสงบสุขอยู่ได้ทั้งหมดต้องขอบคุณนักศึกษามหาลัยวิชายุทธอัจฉริยะที่เสี่ยงชีวิตนั่นเศียรของผู้นํา ฝ่ายตรงข้าม!”
หวงจึงกล่าวด้วยสีหน้าเศร้าหมอง เขากล่าวด้วยน้ําเสียงเกรี้ยวกราด “แม้จะมีทรัพยากรพิเศษแต่ทุกปีก็มีผู้ฝึกยุทธชั้นยอดเสียชีวิตในถ้ําใต้ดินมหาศาล!”
“ย้อนกลับไปตอนนั้น บรรพบุรุษของเราตัดสินใจไม่เปิดเผยความจริงต่อสาธารณะไม่ให้เกิดความโกลาหลและความตื่นตระหนกต่อโลกปล่อยให้ประชาชนใช้ชีวิตทํางานแต่งงานกันอย่าง
สงบสุข”
“แต่มันยุติธรรมไหม?”
“คนรุ่นใหม่ที่โดดเด่นเสียชีวิตในแนวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆพวกเขาไม่ได้รับนามวีรบุรุษด้วยซ้ําแถมเรายังต้องประกาศสู่สาธารณะด้วยว่าพวกเขาเสียชีวิตจากการฝึกฝนหรือเสียชีวิตขณะปฏิบัติภารกิจ!”
“มันไม่ยุติธรรมเลย!”
“ผู้อ่อนแอตั้งคําถามไม่หยุดว่าทําไมผู้ฝึกยุทธถึงได้สิทธิพิเศษมากมาย!”
“ทําไม?”
“บอกฉันทีว่าทําไม?”
“คณบดีหวง ใจเย็นลงก่อน!”
เฉินเจิ้นฮวาคําราม “สถานการณ์ยังไม่ย่ําแย่ถึงจุดนั้น ฉันไม่ปฏิเสธผลงานและความพยายามของทุกคนนักศึกษาสาขาสังคมศาสตร์ก็พยายามสุดความสามารถเช่นกัน!”
“เมื่อสังคมมั่นคง เศรษฐกิจเฟื่องฟูประเทศก็จะมีเงินทุนมากขึ้น มีทรัพยากร ให้การศึกษาวิชายุทธมากขึ้น”
“นักศึกษาสาขาการผลิตก็กําลังคิดค้นเม็ดยาใหม่ พัฒนาเคล็ดวิชา ปรับปรุงอาวุธ
“สาขากลยุทธและยุทธวิธีก็เป็นผู้บัญชาการแนวหน้าเช่นกัน ตําแหน่งนี้ไม่ได้เป็นของสาขาศัสตราวุธแต่เพียงผู้เดียว”
“ทั้งสี่สาขาถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อทําหน้าที่ควบคู่กันไป”
“แต่ตอนนี้สาขาศัสตราวุธมีความสําคัญมากเกินไป มันไม่ยุติธรรมกับคนอื่น!”
“ยุติธรรม?”
หวงจึงกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “ในโม่อู่ ความแข็งแกร่งคือกฏ! คุณจะพูดกับฉันอย่างยุติธรรมได้ก็ต่อเมื่อคุณเป็นปรมาจารย์!”
“แต่คุณไม่ใช่ปรมาจารย์เพราะงั้นอย่าพูดเรื่องความยุติธรรมกับฉัน!”
“คุณ!”
เฉินเจิ้นฮวาโกรธมาก เมื่อเขาพยายามคุยด้วยอย่างมีเหตุผล อีกฝ่ายดันพูดเรื่องความแข็งแกร่งที่เหนือกว่า แต่เขารู้ ว่าเขาคงพูดอะไรไม่ได้เพราะเขารู้ตัวว่าเขาจะถูกแย่งกลับ
สถานะปรมาจารย์ของหวงจึงทําให้สาขาของเขาเหนือกว่าอีกสามสาขา
เฉินเจิ้นฮวาโกรธยิ่ง เขาแค่นเสียงในลําคอ “รอให้รองอาจารย์ใหญ่กลับมาก่อนเถอะฉันจะเอาเรื่องนี้ไปคุยกับ
เขา”
“เชิญเลย!”
หวงจึงไม่เก็บมาใส่ใจ เขาพูดอย่างไม่แยแส “การประเมิณจัดสรรสาขาจะเริ่มแล้วทุกสาขาจะแข่งขันกันอย่างยุติ ธรรม ถ้ามีการคุกคามข่มขู่เมื่อเรื่องแดงขึ้นมาจะถูกจัดการอย่างจริงจัง!”
“ฉันกําลังพูดถึงอาจารย์ โดยเฉพาะอาจารย์จากสาขาสังคมศาสตร์ ระวังคําพูดด้วย!”
อาจารย์จากสาขาสังคมศาสตร์รู้สึกอับอายสาขาศัสตราวุธต่างหากที่จะทํา สาขาสังคมศาสตร์มีความสามารถด้อยกว่า พวกเขาจะทําแบบนั้นไปทําไม?
ในจัตุรัสหน้าอาคาร ถังเพิ่งตะโกน”ชั้นแรกสาขาสังคมศาสตร์ ชั้นสองสาขาการผลิตชั้นสามกลยุทธและยุทธวิธีชั้นสี่สาขาศัสตราวุธ”
“ตอนนี้เวลา 7.57 น. ประตูจะปิดตอน 8 โมงตรง และจะเปิดอีกที 9 โมงตรง
“เมื่อประตูเปิดออก ชั้นที่เธออยู่จะเป็นตัวกําหนดสาขาที่เธอเรียน”
“หนึ่งชั้นจํากัดคนสูงสุด 400 คนเท่านั้น!”
“ถ้าจํานวนนักศึกษาต่อชั้นเกินขีดจํากัด ทุกคนจะถูกหัก 30 คะแนน!”
เมื่อได้ยินประโยคนี้นักศึกษาก็ตกอยู่ ในโกลาหล
มาตรการนี้สร้างขึ้นมาเพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาต่อสู้ ไม่งั้นถ้ามีคนผืนเข้ามาจะทําให้คะแนนของนักศึกษาหลายร้อยคน ถูกหักออกไป
30 คะแนน เม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง 3 เม็ด แม้แต่นักศึกษาที่ร่ํารวยอย่างฟูชางยิ่งก็ต้องปฏิบัติตามอย่างจริงจัง
ฟูช่างติ่งตัดสินใจสร้างชื่อให้ตัวเองด้วยความช่วยเหลือของเม็ดยา เขาเตรียมเม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งมาสามเม็ดด้วยเช่นกัน
นักศึกษาปั่นป่วน แต่ก็ไม่มีใครกล้าตั้งคําถาม
ทันใดนั้นเองก็มีนักศึกษาคนนึงเอ่ยถามขึ้นมา “อาจารย์ พกอาวุธเข้าไปด้วยได้ไหม?”
ถังเฟิงกวาดสายตามองเขาและสังเกตเห็นมีดสันในมืออีกฝ่าย เขาคิดอยู่ครู่นึ่งก่อนจะกล่าว “ห้ามอาวุธโลหะ มีอาวุธ ไม้อยู่ที่ชั้นหนึ่ง เธอนําไปใช้ได้”
“พวกเธอเป็นมือใหม่คุมพลังไม่เป็น มันอาจทําให้เกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิต”
“อาวุธไม่ช่วยลดโอกาสบาดเจ็บหรือเสียชีวิต…”
นักศึกษาส่วนใหญ่เข้าใจความหมายของการใช้คําว่าลดแทนคําว่าป้องกันสีหน้าของพวกเขาซีดลงทันที
เห็นได้ชัดว่าการบาดเจ็บล้มตายไม่ใช่เรื่องแปลก
ตราบใดที่โจมตีจุดตาย อาวุธไม่ก็สังหารคนได้แต่มันอันตรายน้อยกว่าอาวุธโลหะ
ถังเฟิงพูดต่อ “ยกเว้นอาวุธโลหะใช้ได้ทุกอย่าง”
“พวกเธอจะจับมือกันหรือรวมกลุ่มกันก็ได้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทางเลือกของตนเอง”
“ผู้ฝึกยุทธต้องสู้ แต่ก็ต้องรู้ขีดจํากัดของตนเองเช่นกัน ร่างกายของตนสําคัญกว่าอัตตาถ้าไม่ไหวก็อย่าทํา”
“ทุกสาขามีข้อดีข้อเสียของตัวเอง สาขาศัสตราวุธก็ไม่ได้รับประกันว่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดของเธอ การเลือกสาขา ที่เหมาะสมกับตนเองจะเป็นประโยชน์ ต่อเธอมากที่สุดในระยะยาว”
หลังถังเฟิงพูดจบ เขาก็ตะโกน “เข้าเดี๋ยวนี้!”
หลังได้ยินคําพูดเขา เหล่านักศึกษาก็เข้าไปทันที
เมื่อนักศึกษาเข้าไปในอาคาร ประตูทั้งหมดก็ปิดลง จะเหลือก็แต่ทางเดินหลักที่กว้างขวางมีอาจารย์หลายคนปกป้องอยู่
เส้นทางนี้เปิดไว้เพื่อกรณีจําเป็นต้องให้การช่วยเหลือฉุกเฉิน
มือใหม่ไม่รู้จักวิธียับยั้งตัวเองถ้ามีสัญญาณบาดเจ็บทั้งร้ายแรงและไม่ร้ายแรงทางมหาลัยจะป้องกันไม่ให้มันเกิดขึ้นและเข้าช่วยเหลือให้เร็วที่สุด
เมื่อเข้ามาในอาคารสิ่งแรกที่พวกเขาเห็นคือห้องโถงอันกว้างขวาง
แม้จะมีนักศึกษากว่าพันคนอยู่ข้างในมันก็ไม่ได้ดูแคบเลย
ชั้นวางอาวุธอยู่กลางห้องโถง มันมีอาวุธไม้ทุกชนิดวางไว้อยู่เต็มไปหมดกระบี่หอกดาบง้าว…มันมีทุกอย่างที่ คนต้องการ
เนื่องจากหอกไม้ของฟูชางซึ่งไม่ใช่โลหะเขาจึงได้รับอนุญาตให้เอาเข้าไปได้
เมื่อเข้ามา ฟูชางยิ่งก็รีบเดินมาหาฟางผิงและเอ่ยถามเสียงเบา “นายอยากใช้อาวุธไหม?”
ฟางผังพยักหน้า อาวุธไม้ก็ดีกว่าไม่มีเมื่อพวกเขายังแข็งแกร่งไม่พอการมีอาวุธในมือทําให้พวกเขามั่นใจขึ้น
แน่นอนเมื่อเผชิญกับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งพอกันอาวุธที่ไม่คุ้นเคยจะถ่วงมือไม้
ฟางผิงไม่พูดอะไรมากเขาหยิบไม้พลองยาวประมาณหนึ่งเมตรขึ้นมา
เขาไม่เคยเรียนใช้อาวุธดังนั้นไม้พลองจึงเหมาะกับเขาที่สุด เขาแค่ต้องใช้แรงเข้าว่า
บางคนก็หยิบอาวุธบางคนก็ไม่ใช้
บางคนก็สังเกตรอบข้างอย่างระมัดระวังบางคนก็ก้าวขึ้นชั้นบน ก้าวไปข้างหน้าอย่างเด็ดเดี่ยว
ฟางผิงไม่ได้รีบร้อน เขากะน้ําหนักไม่ในมือและหันไปพูดกับฟูชางยิ่ง”เราควรเริ่มเลยไหม?”
“รอสักพักก่อน”
ฟูชางยิ่งส่ายหน้า “ตอนแรกจะวุ่นวายกว่าพลังของจํานวนน่ากลัวมากบางคนไม่ร้ขอบเขตตัวเองก็พยายามขึ้นไปชั้น
สี่”
“เราต้องรอสักพัก รอให้คนอ่อนแอเข้าใจก่อนว่าตัวเองอยู่ได้แต่สามชั้นแรกเท่านั้นเราค่อยขึ้นไป”
“แน่นอน เราจะแยกทางกันก่อนแล้วไปเจอกันชั้นสี่”
ฟางผิงก็ไม่ได้มีเจตนาไปพร้อมกับเจ้าหมอนี่เขาถือไม้พลองเดินขึ้นไปชั้นสอง
เมื่อเห็นฟางผังเดินไป ฟูชางยิ่งก็ก่นด่าในใจ ถ้าเจ้าหมอนี่ไม่ทําพลาดก็คงดี” ถ้าฟางผิงถูกจัดการ เขาลุยคน เดียวคงลําบากแน่
บนชั้นสี่ถังซ่งถึงเดินเข้ามาในห้องโถงมีสิบกว่าคนอยู่ในห้องโถง
หลังชําเลืองมองรอบๆคร่าวๆถังซ่งถึงเดินไปหาชายที่ไว้ผมทรงครูว์คัตเขานั่งลงข้างๆ หัวเราะอย่างเบิกบาน”ฉันถังซ่งถึง!”
“จ้าวเหล่ย!”
“ร่วมมือกันไหม?”
จ้าวเหล่ยขมวดคิ้ว “ไม่จําเป็น”
“ฮ่าๆ!”
ถังซ่งถึงก็ไม่ได้พูดมากนัก เขาลุกขึ้นยืนและเดินจากไป จ้าวเหล่ยค่อนข้างแข็งแกร่งเขาอาศัยอยู่ห้องหนึ่งและเป็น หนึ่งในผู้ฝึกยุทธที่ขัดเกลาสองครั้ง
ถังซ่งถึงตั้งใจมาหาเขาและชวนเขามาร่วมมือกันจัดการเจ้าบัดซบฟูชางยิ่ง
แต่อีกฝ่ายไม่ยินยอมถังซ่งถึงก็ไม่ได้เซ้าซี้เขาคิดว่าตนเองก็แข็งแกร่งไม่ด้อยกว่าอีกฝ่าย
ขณะที่ถังซ่งถึงกําลังหาคู่หูสาวๆบางส่วนก็ไปรวมตัวกันอยู่อีกฟากนึ่งของห้อง
หยางเสี่ยวม่านกล่าวอย่างกระตือรือร้น”ผู้หญิงอย่างเราๆมักถูกมองข้ามถูกบอกว่าผู้หญิงด้อยกว่าผู้ชาย!แต่ฉันหยางเสี่ยวม่านไม่เชื่อเรื่องนี้!”
“ครั้งนี้พวกเราสามคนจะร่วมมือกันเพื่อพิสูจน์ให้ผู้ชายเห็นว่าเราก็ไม่ได้ยั่วยุได้ง่ายๆ!”
“ถ้าใครกล้ายั่วยุเรา เราจะสั้นหน้ามันให้หงาย!”
หลังจากนั้นหยางเสี่ยวม่านก็พลันเอ่ยขึ้น”เฉินหยุนซี เธอจะทําตัวอ่อนแอไม่ได้!เธอจะทําให้เราดูเหมือนคนที่รังแกได้ง่าย!”
“เอาอย่างจ้าวเสวี่ยเหมยบ้าง! ทําหน้าให้ดๆ ผู้ชายจะได้กลัว!”
เฉินหยุนซี หนึ่งในสองสาวที่ถูกพูดถึงยิ้มอย่างไร้เดียงสา กลับกันจ้าวเสวี่ยเหมยกล่าวอย่างฉุนเฉียว”เธอจะบอกว่า ฉันน่ากลัวก็ได้ไม่จําเป็นต้องพูดจาอ้อมค้อม!”
“ฉันไม่ได้พูดแบบนั้นสักหน่อย! ผู้ฝึกยุทธจะดูดีไปทําไม? เราแข็งแกร่งก็พอแล้ว”
หยางเสียวม่านอธิบายอย่างจนปัญญาจ้าวเสวี่ยเหมยไม่ได้คิดมาก เธอแสยะยิ้ม “ไม่เป็นไรฉันไม่สนใจ”
“เสี่ยวม่านพูดถูก ผู้ฝึกยุทธตัดสินจากความสามารถเพียงอย่างเดียว”
“เสี่ยวม่านเป็นผู้ฝึกยุทธขัดเกลาสองครั้งหยุนซีก็เหมือนกันฉันได้ยินว่ามีแค่สี่คนเท่านั้นที่ขัดเกลาสองครั้งต่อให้ผู้ ญิงจะมีจํานวนน้อยกว่าแต่เราไม่ได้อ่อนแอกว่าผู้ชาย!”
“ในหมู่ผู้ชาย มีแค่จ้าวเหล่ยกับฟูชางติ่งเท่านั้นที่จัดเกลาสองครั้ง คนอื่น…ฉันไม่สนใจ!”
“ไม่มีใครกล้าตอแยเราถ้าเราร่วมมือกัน!”
จ้าวเสวี่ยเหมยดูมั่นใจ เฉินหยุนซีกล่าวเสียงเบา “ไม่ใช่ว่าฟางผังขัดเกลาสามครั้งเหรอ?”
“ชิ เขาไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธด้วยซ้ําขัดเกลาสามครั้งก็แค่ช่วยเพิ่มความเร็วการฝึกฝนเล็กน้อยวรยุทธเขาอาจไม่ได้สูงตาม”
“นอกจากนี้ถ้าเขาขัดเกลากระดูกสามครั้งเขาจะยังมีเวลาฝึกวรยุทธอีกเหรอ?”
“เธอคิดว่าไง?”
หยางเสี่ยวม่านเห็นด้วย “ใช่ ครั้งนี้อย่างขึ้นอยู่กับความสามารถเชิงยุทธไม่ใช่คําพูดเขากับฟูชางยิ่งอาจพูดเก่ง แต่พูดยากว่าวรยุทธเขาดีแค่ไหน”
ขณะที่สาวๆคุยกัน ก็มีเสียงด่าดังมาจากข้างๆ
“ไสหัวไป!”
ชั้นสีมีทางเข้าห้องโถงอยู่สองจุดตรงหน้าทางเข้านึ่ง มีผู้ฝึกยุทธร้องตะโกน”ชั้นสี่ไม่เปิดรับคนอย่างแก!”
ฝ่ายตรงข้ามเป็นเด็กหนุ่มกลุ่มสี่คนเมื่อชายคนนั้นถูกสบถค่า ก็มีคนตอบอย่างโกรธเคือง”ทุกชั้นอยู่ได้ 400 คน ตอนนี้มีคนเท่าไหร่เชียว? อย่าล้ําเส้นให้มากนัก!”
“ล้ําเส้น? ยอมรับความจริงซะบ้าง!”
นักศึกษาที่เป็นผู้ฝึกยุทธแค่นเสียงอย่างเย็นชาเขาไม่ได้พูดอะไรอีกดาบยาวไม้ในมือฟาดใส่ไหล่อีกฝ่ายโดยไม่ลังเล!
คนที่ถูกโจมตีคือคนที่พึ่งโต้เถียงไปเมื่อกี้
นักศึกษาธรรมดาย่อมเทียบผู้ฝึกยุทธไม่ได้แถมนักศึกษากลุ่มสี่คนนี้เห็นได้ชัดว่ามาจากห้องเดียวกันในเขตสี่
ห้องเขตสี่ในโม่อู่เป็นที่รวมนักศึกษาปราณและเลือด130แคลแม้เวลาจะล่วงเลยหลังสอบเกาเข่ามาหลายเดือนแล้วแต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่จะแข็งแกร่งขึ้น
ผู้ฝึกยุทธมีปราณและเลือดสูง เคลื่อนไหวได้เร็ว และมีความแข็งแกร่ง มหาศาล พวกเขาได้ก้าวเข้าสู่ขั้นตอนขัดเกลากระดูกอย่างจริงจัง
เด็กหนุ่มอีกฝ่ายหลบการโจมตีไม่ได้ด้วยซ้ําทุกคนได้ยินเสียงแตกหัก
“อ้าก…”
เสียงกรีดร้องโหยหวนดึงดูดสายตาของคนจํานวนมาก
ทุกคนเห็นว่าคนที่ถูกโจมตีเอามือกุมไหล่ด้วยสีหน้าเจ็บปวด กรีดร้องได้ขึ้นไม่หยุด
“ออกไป!”
คนที่ลงมือตะคอกใส่อีกฝ่ายโดยไม่ชําเลืองมองกลุ่มคนอ่อนแอกลุ่มนี้ขึ้นมาเพื่อแย่งดินแดนพวกเขาพวกแกคิดว่าใครจะมาชั้นสี่ก็ได้งั้นเหรอ?
“แก…แกทํามากไปแล้ว! พวกเราเป็นเพื่อนร่วมชั้นกันนะเว้ย…”
เด็กหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บแสดงความโกรธและความไม่พอใจออกมา
เมื่อเขาพูดจบ เขาก็เห็นผู้ฝึกยุทธฝ่ายตรงข้ามเอื้อมดาบยาวขึ้นอีกครั้ง
อีกฝ่ายไม่กล้าพูด อีกสามคนก็ช่วยเด็กหนุ่มที่บาดเจ็บลงไปข้างล่างด้วยสีหน้าไม่พอใจ
“ระวังตัวไว้ใ ชั้นสี่ไม่เปิดรับคนที่มีปราณและเลือดต่ํากว่า 140แคล!”
ผู้ฝึกยุทธเมื่อกี้ตะโกนเสียงดังทําให้นักศึกษาหลายคนที่เฝ้าดูอยู่บนโถงทางเดินและบันไดด้านนอกหวาดกลัว
เด็กใหม่หลายคนแสดงสีหน้าสับสนและทําอะไรไม่ถูกคล้ายๆกันทําไมมันถึงกลายเป็นแบบนี้ไปได้?
คนพวกนี้ใช้ความรุนแรง!
กลุ่มนักศึกษาสังคมสมัยใหม่เข้ามาในโลกอันแสนโหดร้ายเปี่ยมไปด้วยอันตรายนั้นไร้เดียงสาไม่ต่างกับลูกแกะในฝูงหมาป่า
ในห้องโถงผู้ฝึกยุทธไม่น้อยหันไปมองพวกเขาและเลิกสนใจเมื่อมีคนกําจัดขยะในชั้นให้พวกเขาย่อมมีความสุข
ถ้าหากไม่มีเกณฑ์กําหนดพวกเขาก็คงไม่มีปัญหาถ้าจะให้ทุกคนเข้ามา
ผู้ฝึกยุทธคนนั้นไม่ได้พูดอะไรเขาหาที่ว่างๆและนั่งลงเขาไม่ได้โจมตีอีกฝ่ายเอาสนุกเขาแค่ใช้โอกาสนี้แสดงความแข็งแกร่งของตนเอง
ที่เขาสื่อไปคือ เขาไม่ได้เป็นขยะไร้ประโยชน์ที่มีดีแค่ปราณและเลือด!