World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 62 ผู้ฝึกยุทธสองประเภท
ตอนที่ 62 ผู้ฝึกยุทธสองประเภท
เมืองรุ่ยหยาง
เมื่อนักเรียนที่ประเมิณร่างกายไม่ผ่านจากไป โรงแรมก็มีห้องว่างมากมายทันที
สำหรับคนอย่างฟางผิงที่ผ่านการประเมิณร่างกายแล้ว พวกเขาจึงได้ห้องเป็นของตัวเองและไม่ได้ไปเบียดเสียดกับคนอื่นอีก
…..
ด้วยเหตุนี้ ในที่สุดฟางผิงก็มีโอกาสฝึกเคล็ดเสริมสร้าง
เมื่อเข้ามาอยู่ในห้อง เขาก็ปิดประตูด้านหลัง เริ่มฝึกจวงกงและบ่มเพาะ เสียงกระดูกเขาดังกรอบแกรบเบาๆขณะร่างกายโยกไปมาช้าๆ
ถ้ามีผู้ฝึกยุทธคนอื่นดูฟางผิงตอนนี้ พวกเขาคงดูออกว่าฟางผิงเสริมสร้างกระดูกขั้นต้นสำเร็จแล้ว
หนึ่งในพื้นฐานของการเป็นผู้ฝึกยุทธคือการขัดเกลากระดูกทั้งร่างกายให้สำเร็จ
เมื่อขัดเกลากระดูกสำเร็จ ปราณและเลือดเราก็จะเพิ่มเป็น 150แคลหรือเหนือกว่า ซึ่งจะช่วยบำรุงร่างกายของเรา
จากนั้นเราก็จะทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธที่แท้จริง!
…..
ครึ่งชั่วโมงต่อมา ขั้นตอนการขัดเกลาก็เสร็จสิ้น
ฟางผิงลุกขึ้นยืน เขาขยับแขนขา เสียงกระดูกลั่นกรอบแกรบ เวลานี้ เขารู้สึกได้ชัดเจนว่ากระดูกเขาดูดซับปราณและเลือดอย่างต่อเนื่อง
‘หลังขัดเกลากระดูกขั้นต้นเสร็จเป็นแบบนี้เหรอ?’
เขานึกถึงเนื้อหาหลังขัดเกลากระดูกขั้นต้นในวิธีฝึกฝนพื้นฐาน สัญญาณที่เห็นได้ชัดที่สุดคือการเพิ่มขึ้นของความเร็วการแลกเปลี่ยนระหว่างภายในกับภายนอกของกระดูก หรือที่บางคนเรียกว่า กระดูกเริ่มหายใจ
ปกติแล้ว กระดูกมนุษย์ปกติก็ยังมีกระบวนการแลกเปลี่ยนปราณและเลือดในร่างกาย มันเหมือนกับการหายใจ
อย่างไรก็ตาม สำหรับคนทั่วไป พวกเขาสัมผัสไม่ได้ว่ามันเกิดขึ้น
ทว่าเมื่อขัดเกลากระดูกขั้นต้นสำเร็จ สัญญาณการแลกเปลี่ยนจะชัดเจนขึ้น และรู้สึกถึงสัญญาณนั้นชัดเจนขึ้น
‘เมื่อขัดเกลากระดูกสำเร็จ มันก็หมายความว่าร่างกายฉันจะทนรับปราณและเลือดได้มากขึ้น’
ฟางผิงติดอยู่ที่ 149แคลมาสักพักแล้ว แม้ว่าสำหรับคนอื่นอาจดูเหมือนระยะสั้นๆก็ตาม
อย่างไรก็ตาม สำหรับฟางผิงไม่ใช่ เมื่อเทียบกับแต่ก่อน ด้วยเวลาเท่ากัน เขาเพิ่มปราณและเลือดได้ประมาณ 7-8 แคลเลยทีเดียว
แถมเขายังกินยาปราณและเลือดไปด้วย ซึ่งมันมีผลบีบอัดปราณและเลือด เขารู้สึกถึงผลของการยกระดับเช่นกัน
ตอนนี้เขาขัดเกลากระดูกเสร็จแล้ว ฟางผิงสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงของสถานะ
ทรัพย์สิน : 4,895,000
ปราณและเลือด : 146แคล (152แคล)
จิตใจ : 168เฮิรตซ์ (175เฮิรตซ์)
“หืม…”
ฟางผิงค่อนข้างประหลาดใจ การขัดเกลากระดูกครั้งนี้กินปราณและเลือดไม่มากนัก แต่ขีดจำกัดเพิ่มขึ้นพอควรเลย
เขาคิดว่ามันจะเพิ่มขึ้น 1แคลเหมือนปกติ ใครจะรู้ล่ะว่ามันเพิ่มขึ้นตั้ง 3แคล
เนื่องจากกระดูกเขาผ่านการขัดเกลาขั้นต้นแล้ว จำนวนปราณและเลือดที่เขารับได้จึงสูงกว่าเดิม
“งั้นตอนนี้ฉันเลือกจะทะลวงตอนไหนก็ได้งั้นเหรอ?”
ตราบใดที่ปราณและเลือดมาถึง 150แคลและขัดเกลากระดูกเสร็จ เขาจะสามารถกินยาและระเบิดปราณและเลือด ทำให้ปราณและเลือดทะลวงเส้นลมปราณได้มากขึ้น
ถ้าผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเลือกขัดเกลาแขน เส้นลมปราณที่แขนจะถูกทะลวง ในทางกลับกันถ้าขัดเกลากระดูกขา เส้นลมปราณขาก็จะถูกทะลวงแทน
เคล็ดเสริมสร้างช่วงขัดเกลาขั้นต้นช่วยทะลวงแค่เส้นเลือดใหญ่เท่านั้น ส่วนการทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธเป็นการทะลวงเส้นเลือดฝอยเพิ่มเติม
ดังนั้น กระดูก และเส้นเลือดจะสามารถขัดเกลาได้ละเอียดและทั่วถึงมากขึ้น
ด้วยเหตุนี้ การทะลวงเส้นเลือดฝอยจึงเสี่ยงกว่ามาก
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมคนอย่างหวังจินหยางถึงแนะนำให้มีผู้ฝึกยุทธขั้นสี่อยู่ด้วยตอนทะลวงเพื่อให้พวกเขาควบคุมป้องกัน
“ฉันจะขัดเกลาขาตอนขั้นหนึ่ง ซึ่งหมายความว่าฉันควรทะลวงเส้นลมปราณช่วงขาตอนทะลวงขั้น ฉันยังมีความเข้าใจต่อเส้นเลือดฝอยไม่ชัดเจน ดังนั้นถ้าฉันรีบทะลวง มันจะเสี่ยงเกินไป…”
ฟางผิงยังขาดความเข้าใจเชิงลึก ถ้าเขาทะลวงตอนนี้มีโอกาสมากที่เขาจะพิการ
ยิ่งกว่านั้น เขาจำได้จากหนังสือว่า 150แคลเป็นแค่ขีดจำกัดของคนทั่วไป แม้ว่าขีดจำกัดปราณและเลือดของฟางผิงจะทะลุจาก 150แคลไป 152แคลได้อย่างง่ายดาย แต่เขาไม่เลือกทะลวงตอนนี้
ฟางผิงคิดถึงการฝึกฝนครั้งต่อไปขณะล้างคราบสกปรกบนร่างกายไปด้วย
“ฉันขัดเกลากระดูกต่อได้ เพื่อเพิ่มการตอบสนองปราณและเลือดกับร่างกาย มันจะทำให้การขัดเกลาขั้นสูงง่ายขึ้น…”
นอกจากนี้ ปราณและเลือดเขาแข็งแกร่งมากแล้ว และกระดูกเขาก็แข็งแกร่งกว่าคนปกติ
ถึงเวลาฝึกกระบวนท่าพื้นฐานยัง?
สำหรับผู้ฝึกยุทธแล้ว ทั้งปราณและเลือดและพลังรบที่แข็งแกร่งต่างก็เป็นสิ่งสำคัญ
ก่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ มีไม่กี่คนเท่านั้นที่เลือกฝึกกระบวนท่าพื้นฐานบางอย่าง กลับกันคนส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นพัฒนาปราณและเลือดและเสริมสร้างร่างกายมากกว่า
ตอนนี้ เวลาคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนที่ยังไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ
การเพิ่มปราณและเลือด ขัดเกลากระดูก บำรุงร่างกาย ฝึกจวงกง เรียนวัฒนธรรมศึกษา…
ทั้งหมดนี้ก็ลำบากมากพอแล้ว มันคงเป็นเรื่องแปลกที่จะมีคนฝึกเพลงยุทธตอนยังไม่ทะลวงเป็นผู้ฝึกยุทธ
แต่สำหรับฟางผิงมันต่างกัน เพราะปราณและเลือดเขาเพิ่มขึ้นเร็วกว่าคนอื่น ดังนั้นเขาจึงไม่จำเป็นต้องสะสมปราณและเลือดช้าๆอย่างคนอื่น
ในบรรดาหนังสือที่หวังจินหยางมอบให้เขา มีบางเล่มที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้จริง อย่างหนังสือเพลงมวยพื้นฐาน ฝึกพลังขาพื้นฐาน และบทสรุปอาวุธเย็น
อย่างไรก็ตาม ถ้าไม่มีคำแนะนำที่เหมาะสม มันอาจเป็นปัญหาที่จะฝึกฝนเคล็ดวิชาเหล่านี้
เหตุผลที่ทำไมจู่ๆฟางผิงถึงอยากฝึกฝนวรยุทธบ้างเกี่ยวข้องกับหวงปิน
สำหรับนักเรียนส่วนใหญ่แล้ว ในสังคมที่ยังมั่นคงอยู่ พวกเขาย่อมไม่มีโอกาสสัมผัสกับการต่อสู้จริง
อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้ฟางผิงกังวลก็คือความเป็นไปได้ที่จะเจอกับคนอย่างหวงปินอีก
แค่มีปราณและเลือดสูง มันยังไม่พอ ถ้าไม่มีความสามารถในการต่อสู้จริง ต่อให้ปราณและเลือดสูงแค่ไหน เราก็จบชีวิตลงได้
ตอนนี้ ฟางผิงมีปราณและเลือดสูง และรู้กระบวนท่าบางอย่างจากท่าจวงกง อย่างไรก็ตามจวงกงไม่ใช่กระบวนท่าโจมตี ซึ่งหมายความว่ามันมีประสิทธิภาพต่อศัตรูจำกัด
หลังครุ่นคิดเรื่องนี้ เขาก็รู้ว่ามันไม่มีประโยชน์ที่ต้องเร่งรีบ เขาต้องทำไปทีละขั้นตอน
หลังคิดเล็กน้อย เขาก็โทรหาหวังจินหยาง
…..
ไม่กี่นาทีต่อมา
ฟางผิงวางสาย เขาตกตะลึง
“อยู่นอกเขตสัญญาณ เจ้าหมอนี่ไปไหนกัน?”
โทรหาฟางผิงไม่ติดทำให้ฟางผิงรู้สึกจนปัญญา
เขาส่ายหน้าเล็กน้อย เหล่าหวังไม่อยู่ เขาจึงได้แต่ไปคุยกับถานเจิ้นผิง
…..
ร้านกาแฟชั้นสาม
เมื่อได้ยินคำถามของฟางผิง ถานเจิ้นผิงก็ตอบด้วยความประหลาดใจ “เธอพยายามทะลวงหลังบ่มเพาะปราณและเลือดได้เกิน 150แคลเหรอ?”
ถานเจิ้นผิงไม่ได้โง่ แม้ว่าฟางผิงจะไม่ได้พูดถึงตรงๆ แต่เขาก็เข้าใจสิ่งที่ฟางผิงคิดทันทีที่ได้ยินคำพูดอีกฝ่าย
หลังไตร่ตรองอยู่แปปนึง ถานเจิ้นผิงก็กล่าว “คนส่วนใหญ่เลือกทะลวงทันทีที่ขัดเกลากระดูกขั้นต้นเสร็จ และเมื่อปราณและเลือดมาถึง 150แคล”
“มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาบ่มเพาะปราณและเลือดไม่ได้อีก แต่เป็นเพราะมันไม่คุ้ม”
“ไม่คุ้ม?” ฟางผิงถามอย่างงุนงง
ถานเจิ้นผิงพยักหน้า “ใช่ มันไม่คุ้ม”
“นั่นเพราะถ้าเธอเลือกที่จะไม่ขัดเกลากระดูกขั้นสูงเมื่อปราณและเลือดถึง 150แคล ปราณและเลือดของเธอจะเพิ่มขึ้นช้ามาก มันเปลืองเกินไป”
“สมมุติเมื่อเธอมีปราณและเลือด 140แคลแล้วกินยาปราณและเลือดหนึ่งเม็ด มันจะมีโอกาสเพิ่ปราณและเลือด 1แคล อย่างไรก็ตามเมื่อเธอมาถึง 150แคลหรือสูงกว่า ยาชนิดเดียวกันจะมีฤทธิ์เป็นอาหารเสริมเท่านั้น เพราะมันยกระดับปราณและเลือดไม่ได้อีก”
“พอถึงตอนนั้น เธอจำเป็นต้องใช้ยาปราณและเลือดขั้นหนึ่ง ซึ่งมีราคาแพงเกินไป!”
“นอกจากนี้เธอควรขัดเกลากระดูกต่อถ้าอยากเพิ่มขีดจำกัดของร่างกายอีก”
“ถ้าเธอไม่เปิดเส้นเลือดฝอยและพึ่งพาแต่เส้นเลือดใหญ่กับขัดเกลากระดูก ผลจะออกมาไม่ดีนัก วิธีที่ดีที่สุดคือกินยาชำระกระดูกเพื่อขัดเกลากระดูก”
“ยาชำระกระดูกเม็ดตั้งเท่าไหร่?”
“หลายครั้ง ไม่ใช่ว่าคนไม่อยากเพิ่มปราณและเลือด แต่พวกเขาไม่สามารถ”
“เพื่อยกระดับให้สูงกว่า 150แคล คนส่วนใหญ่จำเป็นต้องมีเม็ดยาปราณและเลือดขั้นหนึ่งหรือเม็ดยาชำระกระดูกขั้นหนึ่ง มันมีราคาสามแสนและห้าแสน”
“ใช้ยามูลค่าแปดแสนหยวน เธออาจเพิ่มปราณและเลือดได้แค่ 1-2 แคลเท่านั้น หรืออย่างมากสุด 3-5 แคล”
“มีคนเท่าไหร่เชียวที่ยอมเสียเงินแบบนั้น?”
“ไม่ต้องพูดถึงเลยว่า มันจะเสียเวลาไปมากเช่นกัน!”
เมื่อเห็นฟางผิงยังคงครุ่นคิด ถานเจิ้นผิงก็พูดต่อ “ใช่แล้ว ตอนเธอยังเป็นกึ่งผู้ฝึกยุทธ ยิ่งขีดจำกัดปราณและเลือดเธอสูงเท่าไหร่ ภายหลังเธอก็ยิ่งฝึกฝนได้ง่ายขึ้น ไม่เพียงแค่นั้น ศักยภาพของเธอยังสูงกว่าคนอื่นด้วย”
“อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบกันแล้ว คนส่วนใหญ่อยากทะล่วงเป็นผู้ฝึกยุทธก่อน เพราะเวลาและทรัพยากรที่เสียไปก่อนเป็นผู้ฝึกยุทธเอาไปใช้ตอนฝึกฝนดีกว่ามาก”
“ตอนเธอทะลวงขั้นหนึ่ง คนอื่นอาจทะลวงขั้นสองไปแล้ว”
“ต่อให้เธอมีปราณและเลือดแข็งแกร่งและประมือกับผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งได้ยาวนาน แต่เมื่อประมือกับผู้ฝึกยุทธขั้นสอง เธอยังยากจะประมือด้วย”
“เพราะงั้นฉันเลยบอกว่ามันไม่คุ้ม…”
ฟางผิงเข้าใจคำพูดของอีกฝ่ายอย่างชัดเจน แต่เขาต่างออกไป ความกังวลทั้งหมดของถานเจิ้นผิงแลกมาได้ด้วยค่าทรัพย์สิน
“ลุงถาน ถ้าครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธเพิ่มขีดจำกัดต่อ ขีดจำกัดสูงสุดที่ไปถึงคือเท่าไหร่?”
เมื่อเห็นความตั้งใจของฟางผิง ถานเจิ้นผิงก็ตัดสินใจไม่ให้คำแนะนำเขาอีก
คนหนุ่มก็แบบนี้แหละ มักคิดเสมอว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ ถ้าเขาให้คำแนะนำเพิ่มเติม ฟางผิงอาจคิดว่าเขาพยายามขัดขวางหรืออิจฉาก็ได้
ไม่ใช่แค่นั้น ความจริงที่ว่าฟางผิงมาถึงขีดจำกัดตอนนี้แสดงให้เห็นว่าหวังจินหยางสนับสนุนเขามากรวมถึงพรสวรรค์และพรแสวง
คนอย่างเขาย่อมปรารถนาอนาคตที่ยิ่งใหญ่และสดใส ดังนั้นคำแนะนำเขาจึงไร้ประโยชน์
“ฉันเดาว่ามันต่างกันตามบุคคล แต่ฉันไม่ค่อยรู้เรื่องนี้นัก”
“ตอนที่ฉันยังเรียนคอสฝึกฝนวิชายุทธ บางคนก็เพิ่มขีดจำกัดปราณและเลือดไปถึง 159แคล”
“นี่ยังเป็นแค่คอสฝึกฝนวิชายุทธ ถ้าเป็นในมหาลัยวิชายุทธ บางคนที่มาจากตระกูลชั้นสูงและเพรียบพร้อมด้วยพรสวรรค์อาจมีขีดจำกัดปราณและเลือดกว่านี้อีก”
“อย่างไรก็ตาม ทุกๆเลขเก้ามักจะทะลวงได้ยากที่สุด ยิ่งสูงเท่าไหร่ ก็ยิ่งยากเท่านั้น”
“แล้วปกติ ปราณและเลือดของผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งเท่าไหร่?”
“ที่จริงผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่งไม่ได้เพิ่มมากนัก ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับกระบวนการขัดเกลากระดูก…”
“ในกรณีของฉัน ตอนที่ฉันขัดเกลากระดูกขา ช่วงปราณและเลือดสูงสุดฉัน ฉันไปถึง 250แคล”
“ในขณะเดียวกัน สำหรับผู้เริ่มต้น ขอบเขตปกติคือ 170-180 ถ้าอยากให้เกิน 200แคล เธอต้องขัดเกลากระดูกถึงระดับหนึ่ง”
ฟางผิงพยักหน้าอีกครั้ง จากนั้นเขาก็ถามคำถามทั่วไปเกี่ยวกับการบ่มเพาะ
สุดท้าย ฟางผิงก็ถามถึงเคล็ดวิชาต่อสู้จริงเช่นกัน
ถานเจิ้นผิงส่ายหน้า “ฉันแนะนำให้เธออย่าฝึกกระบวนท่าก่อนเป็นผู้ฝึกยุทธ”
“มันเสียเวลาเปล่า!”
“ไม่ต้องพูดถึงว่า ตอนนี้เราอยู่ในยุคสมัยที่สงบสุข ที่จริงบางคนหลังเป็นผู้ฝึกยุทธแล้วก็ไม่ได้เรียนกระบวนท่า พวกเขาแค่ขัดเกลากระดูกและบำรุงปราณและเลือด”
“หืม?”
ฟางผิงอึ้งไปชั่วครู่ ความหมายของถานเจิ้นผิงคือผู้ฝึกยุทธจำนวนมากเป็นแค่ของไว้โชว์เหรอ?
สิ่งที่เขาพูดเหมือนจะต่างกับที่หวังจินหยางพูดเล็กน้อย
เขาเคยคุยกับหวังจินหยางสองสามครั้ง และที่หวังจินหยางพูดถึงคือ ‘ผู้ฝึกยุทธควรเน้นการต่อสู้เป็นหลัก’ และขั้นพลังเป็นแค่ตัวสนับสนุนเท่านั้น
ถ้าขั้นพลังสำคัญที่สุด งั้นพี่หม่าก็ไม่จำเป็นต้องสู้กับแทมแล้ว เขาแค่แสดงขั้นพลังตอนทะลวงสู่ขั้นแปดก็พอ
นี่เป็นความต่างของวิสัยทัศน์เหรอ?
นับตั้งแต่ที่ถานเจิ้นผิงจบจากคอสฝึกฝนวิชายุทธ เขาก็ได้เป็นผู้ฝึกยุทธทั่วไป เขาใช้ตัวตนผู้ฝึกยุทธ เขาจึงเข้ารับตำแหน่งในรัฐบาลได้
อย่างไรก็ตามเขาติดอยู่ขั้นหนึ่งมาหลายปีแล้ว
เขาอยู่ในเมืองหยางเฉิง เขาจึงไม่มีโอกาสได้ต่อสู้ แม้ว่าจะมีคดีอาชญากรรมที่เกิดจากผู้ฝึกยุทธ มันก็เป็นหน้าที่ของกรมสืบสวน
บางทีที่ถานเจิ้นผิงบอกว่าการเรียนกระบวนท่าไม่ใช่สิ่งจำเป็น เขาอาจไม่ได้โกหก มันอาจเป็นสิ่งที่เขาเชื่อจริงๆ
แม้ว่าฟางผิงจะยังฟังอยู่ แต่เขาไม่ได้เชื่อ เขาไม่อยากเป็นผู้ฝึกยุทธที่มีไว้โชว์ นับตั้งแต่ที่เขาได้เห็นพื้นที่หลังการต่อสู้ระหว่างสองปรมาจารย์ ฟางผิงก็สนใจอยากเป็นอาร์พีจีร่างมนุษย์อย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตามเมื่อเห็นถานเจิ้นผิงไม่สนใจวรยุทธ ฟางผิงก็ตัดสินใจไม่ถามอีก เพราะเขาไม่รู้ข้อมูลเกี่ยวกับการฝึกฝนวรยุทธเลย
ตอนแรกฟางผิงคิดว่าเขาจะมีโอกาสได้คำแนะนำหัวข้อนี้จากถานเจิ้นผิง แต่ดูเหมือนเขาไม่จำเป็นต้องพูดถึงหัวข้อนี้แล้ว
“ฉันควรกลับไปถามเหล่าหวังทีหลัง…”
ในมุมมองของฟางผิง หวังจินหยางน่าเชื่อถือกว่าเมื่อเทียบกับถานเจิ้นผิง ไม่ใช่แค่หวังจินหยางเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสามเท่านั้น แต่เขายังเลือดเย็นและเคยคร่าชีวิตด้วย
เมื่อพูดถึงคนอย่างหวังจินหยาง เราควรเข้าใจว่าต่อให้คนแบบนี้ไม่ได้แสดงความสามารถในการต่อสู้ แต่มันไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะอ่อนแอ
ไม่งั้นเหล่าหวังคงไม่กล้าตามล่าหวงปินตอนเขาอยู่ขั้นสองสูงสุดหรอก
หลังคุยกับถานเจิ้นผิงครู่นึง ฟางผิงก็ขอบคุณเขาและเดินจากไป
เมื่อตระหนักว่าฟางผิงจ่ายเงินแล้ว ถานเจิ้นผิงก็ยิ้ม ที่จริงเขาสังเกตเห็นท่าทีไม่เห็นด้วยของฟางผิงตอนที่กำลังคุยกันเช่นกัน
“เป็นไปตามคาด เขามีความทะเยอทะยานสูง…” ถานเจิ้นผิงถอนหายใจเบาๆ
ถ้าเขาเป็นฟางผิงที่มาถึงเกณฑ์ผู้ฝึกยุทธที่แท้จริงตั้งแต่ก่อนเข้ามหาลัยวิชายุทธ เขาก็อาจมีความคิดทะเยอทะยานยิ่งกว่านี้ด้วยซ้ำ
…..
เมื่อกลับมาถึงห้องโรงแรม ฟางผิงก็โทรหาหวังจินหยางอีกครั้ง แต่ก็เหมือนเดิม หวังจินหยางยังอยู่นอกเขตสัญญาณ
ฟางผิงรู้สึกมืดมน ‘เหล่าหวังหายไปไหน?’
ที่จริงฟางผิงอยากถามเหล่าหวังเรื่องการเพิ่มปราณและเลือดตอนเป็นครึ่งก้าวผู้ฝึกยุทธ เผื่อเขาจะได้มีอะไรมาอ้างอิง
อย่างไรก็ตามเนื่องจากโทรหาหวังจินหยางไม่ติด ฟางผิงจึงไม่มีทางเลือกนอกจากรอถามทีหลัง ยังไงเขาก็พึ่งทะลวงสู่ 152 แคล มันยังเร็วมากอยู่
ต่อจากนี้ มันอาจดีกว่าถ้าเขาสนใจเรื่องเตรียมสอบขั้นตอนอื่นของสอบวิชายุทธ หลังสอบเสร็จค่อยไปถามมันก็ยังไม่สายเกินไป