World’s Best Martial Artist - ตอนที่ 3 สังคมศาสตร์ตกต่ำ วิชายุทธเฟื่องฟู
ตอนที่ 3 สังคมศาสตร์ตกต่ำ วิชายุทธเฟื่องฟู
นอกร้านอินเตอร์เน็ตค่าเฟ่
ฟางผิงมีสีหน้าเด็ดเดี่ยว แววตาของเธอเปล่งประกายด้วยความมุ่งมั่นเด็ดขาด
เขาต้องตัดสินใจแล้ว!
หลังค้นหาข้อมูลมาราวๆหนึ่งชั่วโมง ในที่สุดฟางผิงก็พอเข้าใจแล้ว
ยกตัวอย่าง ผู้ฝึกยุทธคืออะไร
ผู้ฝึกยุทธสมัยใหม่ไม่ต่างกับในนิยายกำลังภายในและในหนังโลกก่อนเขานัก มันแค่ต่างกันที่พื้นหลังสมัยใหม่เท่านั้น ผู้ฝึกยุทธมีอยู่ทุกที่ในสังคมสมัยใหม่
ถ้ามันเป็นแค่อาชีพที่มีความเสี่ยงสูงได้เงินดี ต่อให้ฟางผิงสนใจความแข็งแกร่งเหนือมนุษย์ เขาก็คงไม่ดึงดันเป็น
ในสังคมปัจจุบัน ผู้ฝึกยุทธไม่ได้เป็นอาชีพเพียงอย่างเดียว แต่มันยังหมายถึงอำนาจและสถานะด้วย!
ปลาใหญ่กินปลาเล็ก นี่เป็นความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
ในโลกก่อน ความแตกต่างนี้เล็กน้อยเกินไป ยังไงทุกคนก็เป็นคนธรรมดาที่ถูกกระสุนปืนฆ่าเอาได้
ในโลกนี้ มีผู้ฝึกยุทธผู้ทรงพลังทุกหนทุกแห่ง ความแตกต่างจึงเห็นได้ชัด
ยกตัวอย่าง ตอนนี้ฟางผิงเข้าใจสิ่งที่หยางเจี้ยนบอกเรื่องขีดจำกัดของคนธรรมดาในแวดวงการเมืองและธุรกิจแล้ว
พวกเขาเป็นองค์ประกอบหลักของสังคม อันที่จริงคนธรรมดาจะทำอาชีพไหนก็ไม่มีขีดจำกัด
แต่…ตามกฏหมาย ใช่แล้ว ตามกฏหมายที่เป็นลายลักษณ์อักษร ถ้าบริษัทอยากขยายธุรกิจไปเมืองใกล้เคียง ตัวแทนตามกฏหมายของบริษัทต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ
ถ้าอยากขยายไปเมืองอื่น ตัวแทนตามกฏหมายต้องไม่ต่ำกว่าขั้นสี่
ตามข้อมูลที่ฟางผิงได้มาจากอินเตอร์เน็ต ผู้ฝึกยุทธถูกแบ่งเป็นเก้าขั้น ขั้นหนึ่งคือต่ำสุด ขั้นเก้าคือสูงสุด
ผู้ฝึกยุทธต่ำกว่าขั้นสี่คือผู้ฝึกยุทธขั้นต่ำ และผู้ฝึกยุทธสูงกว่าขั้นเจ็ดเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นสูง นอกจากนี้ยังถูกเรียกว่าผู้ฝึกยุทธระดับปรมาจารย์ด้วย
ถ้าเราอยากตั้งบริษัทข้ามมณฑล ข้อกำหนดแรกคือตัวแทนตามกฏหมายต้องมีขั้นสี่หรือสูงกว่า
ส่วนบริษัทข้ามชาติ แม้ว่ากฏหมายจะไม่ได้กำหนด แต่จากที่ฟางผิงเห็นบนเว็บ ทุกอย่างจะไร้ประโยชน์ถ้าไม่มีผู้ฝึกยุทธสูงกว่าขั้นเจ็ดอยู่ในบริษัท ไม่ว่าผลิตภัณฑ์จะดีแค่ไหนหรือมีลูกค้ามากแค่ไหนก็ตาม การเข้าประเทศอื่นหรือเขตอื่นก็ไม่ต่างจากการทิ้งชีวิต
และถ้าบริษัทไหนมีผู้ฝึกยุทธขั้นเจ็ดหรือสูงกว่า พวกเขาต้องพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเอง
ตัวอย่างก็คือพี่หม่าวันนี้!
ผลิตภัณฑ์ของเพนกวิ้นแทบจะเหมือนกับโลกก่อน ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การสื่อสาร QQยังเป็นวิธีสื่อสารบนโลกออนไลน์หลักๆในประเทศจีน
แต่มันจำกัดแค่ในประเทศจีนเท่านั้น!
เพนกวิ้นไม่สามารถเข้าตลาดเอเชียได้แม้ว่าหม่าฮั่วเถิงจะเป็นจอมยุทธขั้นเจ็ดแล้วก็ตาม เพราะกูเกิ้ลบริษัทข้ามชาติก็ทำตลาดซอร์ฟแวร์การสื่อสาร และตัวแทนในเอเชียก็เป็นผู้ฝึกยุทธขั้นแปด
ถ้าหม่าฮั่วเถิงพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเองไม่ได้ พิสูจน์ไม่ได้ว่ามีความแข็งแกร่งมากพอที่จะแย่งชิงทรัพยากรกับกูเกิ้ล งั้นเขาก็ไม่ต้องคิดถึงการขยายอาณาเขตของตัวเองเลย
ตลาดที่เขาอยากขยายอยู่ต่างประเทศ ดังนั้นคนที่เขาส่งไปอาจหายตัวไปอย่างไร้ร่องรอยก็ได้
มีแต่หลังจากเขาพิสูจน์ความแข็งแกร่งของตนเองต่อสาธารณะเท่านั้น บริษัทของเขาถึงจะขยายตัวไปได้ นี่เป็นอีกเหตุผลเช่นกันที่หม่าฮั่วเถิงเลือกท้าประลองกับแทมทันทีหลังบรรลุขึ้นแปด
ผลลัพธ์ของการท้าประลองครั้งนี้ไม่สำคัญ สิ่งสำคัญคือการพิสูจน์ว่าตัวเขาเป็นผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งมากสมกับเป็นขั้นแปด เขามีความสามารถพอที่จะแบ่งสันทรัพยากร
นี่เป็นกฎของโลกธุรกิจ และสาขาอื่นก็คล้ายๆกันไม่มากก็น้อย
ยกตัวอย่าง ในแวดวงการเมืองจะมีความต่างเล็กน้อย ผู้สำเร็จราชการเป็นบุคคลที่ทรงพลังที่สุดในมณฑล พวกเขามีพลังอย่างน้อยขั้นสี่
แต่ตอนนี้ไม่มีผู้สำเร็จราชการที่มีพลังต่ำกว่าขั้นห้า มณฑลที่ทรงพลังบางแห่ง พวกเขาถึงขั้นเป็นปรมาจารย์ขั้นเจ็ด
ตอนนี้ผู้สำเร็จราชการมณฑลหนานเจียงเป็นผู้ฝึกยุทธขั้นหก ไม่ใช่คนที่อ่อนแอที่สุดในมณฑลทั้งหมด แต่มันก็ไม่ได้แข็งแกร่งเช่นกัน นี่ทำให้เขาไม่มีความสามารถในการต่อสู้เพื่อให้ได้ทรัพยากรเพิ่มให้หนานเจียง
ทรัพยากรดังกล่าวเป็นปัจจัยชี้ขาดในการกำหนดความแข็งแกร่งและการลงทุนของภาครัฐที่มีไว้ฝึกฝนผู้ฝึกวิชายุทธ
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมหยางเจี้ยนถึงตื่นเต้นมากเมื่อได้ข่าวว่าผู้สำเร็จราชการหนานเจียงใกล้ทะลวงขั้นแล้ว
ผู้สำเร็จราชการระดับปรมาจารย์จะมีพลังต่อสู้เพื่อชิงทรัพยากรให้หนานเจียงได้มากขึ้น
และเรื่องแบบนี้ก็ไม่ได้ยกเว้นวงการบันเทิงหรือวงการอาชีพอื่นๆ
ศิลปินชายหญิงที่โด่งดังจำเป็นต้องมีวิชายุทธที่โดดเด่นนอกเหนือไปจากพรสวรรค์และรูปร่างหน้าตาที่ดูดี
ถ้าพวกเขาไม่มีฝีมือ ไม่ว่าพวกเขาจะร่ำรวยแค่ไหน พวกเขาก็ไม่สามารถปกป้องความมั่งคั่งของตนได้
แต่มันจะเป็นข้อยกเว้นถ้าพวกเขามีผู้อาวุโสที่แข็งแกร่งหนุนหลังอยู่
ตอนนี้ทายาทของบุคคลร่ำรวยและทายาทของเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างก็เป็นทายาทของผู้ฝึกยุทธเช่นกัน เพราะผู้ที่มีความมั่งคั่งหรือพลังอำนาจต่างก็เป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังทั้งนั้น
มีประชาชนคนธรรมดาเล็กน้อยมากที่ไต่เต้าไปอยู่ตำแหน่งสูงๆได้ แต่คนเหล่านี้ต่อให้มีผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังหนุนหลังก็ไม่มีข้อยกเว้น พวกเขาจำเป็นต้องพิสูจน์คุณค่าของตนเอง และถูกประเมิณด้วยมาตรฐานที่เข้มงวดกว่าผู้ฝึกยุทธ
ถ้าใครไม่เป็นผู้ฝึกยุทธ พวกเขาบอกลากับอาชีพและพลังอำนาจไปได้เลย
ความต่างสุดกู่นี้ก็เป็นอีกเหตุผลที่ทำไมประชาชนธรรมดาทุกคนถึงอยากเป็นผู้ฝึกยุทธในยุคใหม่
ผู้ฝึกยุทธ ไม่ว่าจะอ่อนแอแค่ไหนก็สามารถหาเงินล้านได้ ต่อให้เขาไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากการมีชื่อติดไว้ที่บริษัทเล็กๆก็ตาม
ในความเป็นจริง เหล่าคนที่ประสบความสำเร็จกลายเป็นผู้ฝึกยุทธที่ทรงพลังได้ล้วนแต่เป็นชนชั้นสูงในสังคม คนเหล่านี้ไม่ค่อยทำงานให้ผู้อื่น นอกจากกรณีที่พวกเขาพ่ายให้กับผู้ที่ทรงพลังกว่า พวกเขาชอบทำธุรกิจเป็นของตนเองมากกว่า
เมื่อเทียบกับคนธรรมดา ข้อได้เปรียบของพวกเขาเด่นชัดมาก
“ถ้าฉันไม่ได้เป็นผู้ฝึกยุทธ ต่อให้ฉันมีแนวคิดที่ยอดเยี่ยมแค่ไหน ฉันก็ไม่มีทางก้าวข้ามคนอื่นไปได้”
ฟางผิงพึมพำกับตัวเอง มันเป็นความจริงที่เจ็บปวด
นอกจากเรื่องเกี่ยวกับผู้ฝึกยุทธ เรื่องอื่นเหมือนกับโลกก่อนไม่มากก็น้อย
จะพูดอีกนัยนึง ถ้าตอนนี้ฟางผิงอยากตั้งบริษัท ผลิตภัณฑ์และแนวคิดของเขาถือว่าไม่เลว
ประเด็นก็คือตัวฟางผิงไม่มีพลังปกป้องตนเองจากอันตราย ถ้าเขาอยากทำกำไรเล็กๆน้อย มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่ถ้าเขาอยากทำบริษัทใหญ่โต มันจะเป็นอีกเรื่องนึงเลย
ถ้าเขาล้ำเส้น ผลลัพธ์ที่เป็นไปได้มากที่สุดก็คือเขาจะถูกคนอื่นแย่งธุรกิจไป เนื่องจากระบบกฏหมายของจีนยังครอบคลุมและรัฐบาลยังคงรักษาระเบียบเรียบร้อยของประเทศ มันจึงไม่ส่งผลต่อชีวิต แต่มีความเป็นไปได้มากที่ธุรกิจของเขาจะถูกแย่ง
ยกตัวอย่าง วีแชทยังไม่มี
ถ้าฟางผิงสร้างมันขึ้นมา จะมีผลลัพธ์สองอย่างเท่านั้น หนึ่งคือมันจะกลายเป็นของคนอื่น
สองคือมันจะเป็นที่นิยมในเมืองและถือเป็นความบันเทิงเล็กๆน้อยๆ ถ้าเขาขยายออกนอกเมือง ขอโทษ ต่อให้เขาได้เงินมากแค่ไหน เขาก็ไม่ได้สักแดงเดียว ส่วนมันจะตกเป็นของใคร มันจะขึ้นอยู่กับผลของการต่อสู้ระหว่างบริษัท
คนธรรมดาทำได้แต่ทำงานง่ายๆ หาเข้าบริษัทเล็กๆหรือหาโรงงานในเมือง
แม้ว่าบริษัทจะจำกัดแค่ในเมืองเท่านั้น มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะปลอดภัย 100%
ชีวิตที่ล่อแหลมแบบนี้มีข้อจำกัดกว่าคนโลกก่อนเสียอีก
ถ้าเขาไม่อยากกลายเป็นคนไร้ค่า เขาก็ต้องเป็นผู้ฝึกยุทธ
ต่อให้เขาอยากเป็นคนไร้ค่า เขาก็ต้องมั่นใจว่าเขาไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องอาหารและความปลอดภัย
โชคดีที่คนธรรมดายังเป็นคนส่วนใหญ่ของโลกนี้ สังคมไม่ได้ทอดทิ้งพวกเขาหรือทำลายความหวังความก้าวหน้าของพวกเขา
เกาเข่ามอบความหวังกระโดดผ่านประตูมังกรให้คนธรรมดานับไม่ถ้วน
สมัยนี้โรงเรียนชั้นสูงบางแห่งก็ได้ตั้งสาขาวิชายุทธเพื่อฝึกฝนวรยุทธ ดังนั้นคนทั่วไปจึงยังมีหวัง
นอกจากนี้ยังมีโรงเรียนสอนวิชายุทธเต็มเวลาที่เปิดให้เข้าเรียนช่วงสอบเข้ามหาลัย
ดั่งคำพังเพยว่า สังคมศาสตร์ตกต่ำ วิชายุทธเฟื่องฟู
ผู้ฝึกยุทธที่มีระดับฝีมือสูง ทรัพยากรที่ใช้ฝึกฝนพวกเขาก็จะมากกว่าคนธรรมดามหาศาล การฝึกฝนผู้ฝึกยุทธก็หมายถึงการใช้เงินจำนวนมาก
ภายใต้สถานการณ์แบบนี้ เหล่าคนที่เข้าสาขาวิชายุทธและได้รับการฝึกฝนด้วยทรัพยากรของชาติจึงต้องไม่ธรรมดา
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมการเข้าสาขาวิชายุทธถึงยากกว่าการเข้ามหาลัยชั้นนำของโลกก่อน
ในปี 2007 มีผู้สอบเกาเข่าทั้งหมด 9 ล้านคน แต่คนที่เข้าสาขาวิชายุทธได้ทั่วประเทศรวมกันมีจำนวนน้อยกว่าสองหมื่นคนเสียอีก
ในชีวิตก่อน มหาลัยอย่างมหาวิทยาลัยชิงหฺวาและมหาวิทยาลัยปักกิ่งรับนักเรียนแค่ไม่กี่พันคนต่อปีเท่านั้น แต่มันก็ยังมีมหาวิทยาลัยชั้นนำมากมาย รวมกับที่ลงทะเบียนในโปรเจ็ค 985 มหาวิทยาลัย มีการรับสมัครนักเรียนทั้งหมดอย่างน้อยหนึ่งแสนคน
ในโลกนี้ มีมหาวิทยาลัยและโรงเรียนสอนวิชายุทธเต็มเวลากว่าร้อยแห่ง มหาลัยกว่าร้อยแห่งนี้รับเด็กใหม่แค่สองหมื่นคนเท่านั้น หลังแยกย่อยเป็นแต่ละมหาลัย มันเหลือจำนวนเพียงน้อยนิดเท่านั้น
อัตราส่วนการเข้า 1 ต่อ 500 ดูเหมือนจะไม่ได้ต่ำเกินไปนัก แต่นี่แค่เมืองใหญ่เท่านั้น ถ้าเป็นเมืองเล็กๆ อัตราส่วนนี้ต้องคูณไปอีกเป็นสิบเท่า
นี่เป็นอีกเหตุผลที่ทำไมเฉินฝานและคนอื่นๆถึงสิ้นหวัง
นอกจากนี้ต่อให้เขาเข้าคณะวิชายุทธได้ เขาก็ยังมีอุปสรรคอีกมากมาย
เงินหมื่นหยวนที่เฉินฝานพูดไว้ก่อนหน้านี้เป็นแค่เกณฑ์ขั้นต่ำสุด
ต่อให้ไม่มีเกณฑ์อื่น แค่ค่าสมัครอย่างเดียวก็พอให้ฟางผิงปวดหัวแล้ว
แถมเขายังมีเวลาจำกัดอีก การสมัครสอบเข้าคณะวิชายุทธจะเริ่มอาทิตย์หน้า
ถ้าเลยกำหนดเวลา ต่อให้เขามีเงิน เขาก็สมัครไม่ได้แล้ว
“ค่าสมัครหมื่นหยวน…”
ฟางผิงที่มุ่งมั่นหนักแน่นตอนแรก พอเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มท้อ แค่เกณฑ์ขั้นต่ำอย่างเดียว เปลวไฟในใจเขาก็มอดดับกว่าครึ่งแล้ว
และนี่ไม่ได้พูดถึงข้อเกณฑ์ข้อกำหนดอื่นเลยนะ
‘โอ้ย! ปวดหัว!’
ฟางผิงถอนหายใจไม่หยุด มาเกิดใหม่ในสังคมสมัยใหม่ คนที่ลำบากอย่างเขาคงมีไม่มากนัก
…..
หลังฟางผิงทานมื้อเที่ยงแล้วกลับโรงเรียน เขาก็เหลือเงินเพียงสิบห้าหยวนอยู่ในกระเป๋า
คาบบ่ายยังไม่เริ่ม เพื่อนร่วมชั้นบางคนก็กำลังฝึกทำข้อสอบเตรียมเกาเข่า บางคนก็กำลังคุยกัน ส่วนใหญ่เป็นเรื่องการต่อสู้ระหว่างสองปรมาจารย์ที่จางฮ่าวพูดถึงตอนเช้า
เฉินฝานที่กำลังฝึกทำข้อสอบวางปากกาลงอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นฟางผิงกลับมา เขาถาม “นายไปเล่นเกมมาเหรอ?”
ฟางผิงกลอกตามองบนด้วยสีหน้าเฉยเมย “เวลาแบบนี้ฉันจะไปมีอารมณ์เล่นเกมได้ไง? นายคิดว่าฉันโง่เหรอ? ฉันไปหาข้อมูลเกาเข่ามา”
จากนั้นเขาก็ถูมือไปมาแล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ฝานฝานน้อย นายมีเงินเหลือป่าว?”
เฉินฝานขมวดคิ้วย่นครู่นึงแล้วกล่าว “ฉันเหลือสิบหยวน…”
“แค่กๆ อย่าหลอกฉันน่า ถ้านายมีเงิน ให้ฉันยืมสักแปดพันหยวนสักหมื่นหยวนสิ พอฉันรวยฉันจะคืนให้นายเป็นร้อยเท่า!”
“ฮ่าๆ!”
เฉินฝานยิ้มแต่สายตาไม่ยิ้มด้วย เขาดันกรอบแว่นแล้วกลับไปฝึกทำข้อสอบต่อ ฟางผิงขัดสนจนเสียสติไปแล้ว!
ฟางผิงถอนหายใจ ทางตันซะแล้ว
พวกเขาเป็นนักเรียน ไม่ต้องพูดถึงปูมหลังครอบครัวธรรมดาๆของเฉินฝานเลย ต่อให้มีนักเรียนที่มีเงิน แต่ใครจะโง่ให้เขายืมเงินหมื่นหยวนล่ะ?
หรือเขาจะขอเงินจากพ่อแม่?
ครอบครัวเขาไม่ได้รวย เงินหมื่นหยวนไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ ตามมาตรฐานของตัวเขา แทบไม่มีหวังเลยที่เขาจะเข้าคณะวิชายุทธได้ ถ้าเขาขอพ่อแม่ พวกท่านจะเห็นด้วยไหม?
มันเป็นวันเสาร์ ดังนั้นจึงมีแต่นักเรียนมัธยมปลายปีสามเท่านั้นที่อยู่ในโรงเรียน ถึงจะบอกว่าช่วงสมัครคืออาทิตย์หน้า แต่มันมีเวลาน้อยกว่าสองวันเสียอีกก่อนจะถึงวันจันทร์
นี่เป็นขั้นแรกของการสมัครสอบคณะวิชายุทธ ถ้าเขาอยากสอบต่อ เขาก็ต้องใช้เงินมากขึ้น
ในสังคมนี้ ผู้ฝึกยุทธล้วนฝึกฝนด้วยทรัพยากรและความมั่งคั่ง
ไม่งั้นทำไมผู้ฝึกยุทธเหล่านี้ถึงทำธุรกิจและอยากขยายธุรกิจให้ใหญ่ขึ้นล่ะ?
คนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้ทำธุรกิจก็จะไปเข้าร่วมกับหน่วยงานของรัฐ
ผู้ฝึกยุทธในนิยายหรือในทีวีล้วนแต่สบายไม่มีห่วง พวกเขาบรรลุระดับพลังได้ด้วยความคิดเท่านั้น ไม่จำเป็นต้องดื่มต้องกิน ฟางผิงไม่เคยคิดมากมาก่อน
ตอนนี้เขารู้แล้วว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหลทั้งเพ!
ตอนบ่าย ตอนที่เขาท่องเว็บคร่าวๆและเห็นข่าวบนอินเตอร์เน็ต ทรัพยากรที่ต้องใช้ฝึกฝนผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง ขั้นที่อ่อนแอที่สุด ถ้าเปลี่ยนเป็นเงิน มันมีมูลค่าทั้งหมดร่วมล้านหยวน
นี่เป็นแค่ผู้ฝึกยุทธขั้นหนึ่ง ขั้นที่อ่อนแอที่สุดและโดดเด่นน้อยที่สุดในสายตาฟางผิง
แค่ขั้นนี้ก็หมดเงินเป็นล้านแล้ว
ยิ่งผู้ฝึกยุทธขั้นสูงเท่าไหร่ ทรัพยากรที่ต้องใช้ก็ต้องมากเป็นเงาตามตัว มันเป็นเงินจำนวนมหาศาล ถ้าไม่มีการสนับสนุนจากธุรกิจ ไม่มีทางเลยที่พวกเขาจะก้าวหน้าต่อไปได้!
ถ้านักเรียนจากครอบครัวธรรมดาไม่ได้เข้าคณะวิชายุทธ จะมีกี่คนเชียวที่ฝึกเองนอกมหาลัยด้วยเงินเดือนคนธรรมดาแล้วกลายเป็นผู้ฝึกยุทธภายใต้เงื่อนไขหฤโหดแบบนี้?
ทุกคนถูกมหาลัยผู้ฝึกยุทธดึงดูดเหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ส่วนใหญ่เป็นเพราะคณะวิชายุทธจะมอบทรัพยากรที่จำเป็นให้มากกว่าครึ่ง ถือเป็นเงินทุนที่ทางมหาลัยมอบให้
ต่อให้มันไม่เพียงพอ ทางธนาคารก็จะเปิดประตูรอให้คนที่เข้าคณะวิชายุทธได้ ดังนั้นการกู้ยืมเงินจึงไม่ใช่ปัญหาเลย
หรือพวกเขาจะไปเซ็นสัญญากับบริษัทใหญ่ๆก็ได้ นักศึกษาวิชายุทธเป็นที่นิยมมาก บริษัทยินดีลงทุนให้เงินฝึกฝนเมล็ดพันธุ์ก่อน
ทั้งหมดนี้สิ่งเดียวที่เขาจำเป็นต้องทำก็คือการเข้าคณะวิชายุทธ
การอยากเป็นผู้ฝึกยุทธโดยไม่ใช้จ่ายเงินเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย
ฟางผิงทอดถอนใจอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าวันนี้เขาถอนหายใจไปกี่รอบแล้ว ทำไมชีวิตเขาหลังมาเกิดใหม่ถึงยากขนาดนี้นะ?