World domination system - ตอนที่ 57 การล่ายุงกับเอเลนาฟ
WDS Chapter 57 การล่ายุงกับเอเลนาฟ
[เนื่องจากความซับซ้อนสูง เทคนิคการเอนชานท์-1 จึงต้องใช้เวลาในการพัฒนา 8 วัน ระบบยังคงพร้อมสำหรับการทำงานอื่นๆในช่วงเวลานี้ โฮสต์ต้องการดำเนินการหรือไม่?] ระบบถามออกมา หลังจากที่แดนีลสั่งให้พัฒนาเทคนิคการเอนชานท์
นี่ไม่มีอะไรใหม่ แต่วิธีการที่ระบบจัดลำดับความซับซ้อน มันยังคงลึกลับสำหรับแดนีล แม้ว่าเขาจะใช้เวลาตลอด 1 ปี ในการพัฒนาเทคนิคต่างๆก็ตาม เทคนิคบางอย่างเช่น บอลเพลิงหรือแท่งน้ำแข็ง ใช้เวลาในการพัฒนาน้อยมา แต่คาถาอื่นๆอย่างการเทเลพอร์ตระยะสั้น จะต้องใช้ระยะเวลาในการพัฒนาถึง 5 วัน แม้ว่าเขาจะถาม แต่ระบบก็ตอบเพียงว่า ความซับซ้อนเชื่อมต่อกับระดับทรัพยากรที่จำเป็นสำหรับการพัฒนาเทคนิค
อย่างน้อยที่สุด ตั้งแต่อัพเกรด PAM-1 เป็น PAM-2 ระบบก็ไม่เคยปิดตัวลงเพื่อการพัฒนาเทคนิคใดอีก ใช้ประโยชน์จากสิ่งนี้ เขาได้พัฒนาคาถาเกือบทั้งหมดที่เขารู้ แม้ว่าระดับของเขาจะยังคงไม่สูงพอที่จะใช้มันได้ก็ตาม
ในขณะที่พูดคุยกับระบบ แดนีลก็ได้มองไปรอบๆและค้นหาริปลีย์ เพื่อที่จะกล่าวคำอำลา มันดูเหมือนว่า ริปลีย์ได้เดินลงบันไดไปในก่อนหน้านี้ และเขาอยู่ที่ชั้นล่าง
ที่มุมหนึ่งของห้อง ริปลีย์นั่งอยู่บนเก้าอี้ขณะดื่มไวน์ในขวดไปอึกใหญ่
ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความเจ็บปวด แดนีลสงสัยว่า นี่เป็นบุคคลเดียวกับที่ทำการเอนชานท์เครื่องประดับเวทมนต์อย่างต่อเนื่องก่อนหน้านี้จริงหรือ
เห็นเขาลงมา รีปลีย์ก็ดื่มไวน์ไปอีกอึกใหญ่และกล่าวว่า “ดาน่า… หากพวกเราอยู่ด้วยกัน… ตอนนี้ พวกเราก็คงจะมีลูกชายเหมือนกับเขา… ข้าขอสาบแช่งเจ้า เจ้าเซลแล็กซ์ หากเจ้าไม่ได้ทะลวงเป็นเอนชานเตอร์ขั้น 2 ก่อนข้าหล่ะก็…”
น้ำตาและน้ำมูลไหลลงมาตามใบหน้าของริปลีย์ เห็นภาพที่น่าสงสารนั้น แดนีลก็ตัดสินใจฟังเขา
แผนการเดิมของเขาก็คิด ติดตามลางสังหรณ์เกี่ยวกับยุงต่อไป หากเขาคาดเดาถูก มันจะมีโอกาสอันยอดเยี่ยม ที่จะสร้างรายได้ที่มั่นคงให้กับเขาและฝ่ายของเขา
กระนั้น มันก็ดึกเกินไปแล้ว แท้ว่าท้องของเขาจะร้องเพราะไม่ได้กินอะไรตั้งแต่เช้า แต่แดนีลก็เลือกที่จะอยู่ต่อและปล่อยชายคนนั้นปลดปล่อยความโศกเศร้าของเขา ไม่ว่าอย่างไร แดนีลก็ต้องขอบคุณริปลีย์ที่ทำให้เขาได้รับโอกาสในการพัฒนาเทคนิคการเอนชานท์อันล้ำค่า หากเทคนิคนี้พัฒนาเสร็จสิ้นและสิ่งต่างๆคล้ายกับเทคนิคอื่นๆ มันจะเป็นโอกาสอันยิ่งใหญ่ ที่กระทั่งสามารถจะแก้ปัญหาการขาดแคลนเครื่องประดับเวทมนต์สำหรับฝ่ายของเขาได้
ท้ายที่สุดแล้ว เครื่องประดับเวทมนต์ก็เป็นดั่งกระดูกสันหลังของทุกฝ่าย คนที่ไร้อาวุธ ยากนักที่จะสามารถต่อต้านคนที่มีเครื่องประดับเวทมนต์ต่อสู้หรือป้องกันได้ สิ่งนี้มันแสดงให้เห็นชัดเจนเป็นอย่างมากในการต่อสู้ระหว่างทีมโจชัวและทีมวาราเนล แม้ว่าพวกเขาจะสามารถเอาชนะมาได้ในครั้งนี้ แต่กลยุทธ์เดิมของพวกเขาจะล้มเหลวในครั้งถัดไป เพราะทีมฝ่ายตรงข้ามจะสามารถหาวิธีมารับมือกับมันได้อย่างง่ายดาย
หลังจากตัดสินใจว่าจะไปหาเอเลนาฟในวันถัดไปแล้ว แดนีลก็ถามขึ้นว่า “ใครคือดาน่า?”
เขาสงสัยเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคำแนะนำของโจนาห์มาโดยตลอด ตอนนี้ หลังจากที่เขากล่าวคำแรกออกมา แดนีลก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเพราะเหตุใด
ราวกับเสียงของแดนีลได้ปลุกบางสิ่งในตัวริปลีย์ เขาโยนขวดไวน์ไปด้านข้าง และเริ่มเล่าเรื่องราวของเขา
เหตุการณ์และรายละเอียดต่างๆ เขาบอกทุกอย่างอย่างกระจ่างชัด
แดนีลพบว่า หลังจากที่อยู่ตามลำพังในบ้านของตนมานาน มันได้ทำให้ริปลีย์ได้พัฒนาลักษณะนิสัยของเขาขึ้นมา โดยใครก็ตามที่เขาถามเขาแม้แต่คำเดียว ก็จะได้รับการปฏิบัติราวกับเป็นถังระบายข้อมูล ไม่ว่าข้อมูลนั้นจะมีประโยชน์หรือไม่ก็ตาม ผู้ฟังก็ไม่สามารถจะหลบเลี่ยงข้อมูลโดยละเอียดที่ราวกับน้ำหลากได้
4 ชั่วโมงต่อมา ในที่สุด แดนีลก็เดินโซเซออกมาจากบ้าน และเดินกลับไปยังสถานศึกษาอย่างเหนื่อยล้า
ในความเป็นจริง เขามึนงงกับข้อมูลหลายต่อหลายอย่างที่ได้รับมา เขาจึงไม่รู้เรื่องอะไรมากนัก ดังนั้น เขาจึงได้ถามกับระบบ
[ริปลีย์, เซลแลกซ์ และดาน่า เป็นเพื่อนร่วมชั้นกัน ทั้งริปลีย์และเซลแลกซ์ต่างก็ชื่นชอบในตัวดาน่า แต่เธอบอกว่า เธอจะอยู่กับใครก็ตามที่ทะลวงเป็นเอนชานเตอร์ขั้น 2 ได้ก่อน ทั้งสองมีระดับความเข้าใจขั้นสีแดง และไปถึงระดับจอมเวทย์ที่จำเป็นในเวลาเดียวกัน กระนั้น หลังจากที่เดินทางไปยังประเทศเพื่อนบ้านและเรียนรู้การเอนชานท์ในสถานศึกษาเฉพาะแล้ว เซลแลกซ์ก็ทะลวงผ่านไดก่อน ตั้งแต่นั้นมา ริปลีย์ก็ปิดกั้นตัวเองอยู่แต่ภายในบ้านของตัวเองและพยายามที่จะทะลวงผ่าน เขาคิดเอาเองว่า ดาน่าอยู่กับเซลแลกซ์ และคิดว่าเธอจะกลับมาหาเขาหากเขาทะลวงผ่าน]
นั่นเป็นเรื่องราวที่น่าเศร้า การก้าวหน้าเข้าสู่เอนชานเตอร์โดยที่มีอะไรเกี่ยวข้องกับใครบางคน? แม้ว่าทักษะทางสังคมของเขาจะพัฒนาขึ้น แต่เรื่องของหัวใจของยังใหม่สำหรับแดนีล ทุกสิ่งที่เขารู้เกี่ยวกับความรัก มาจากภาพยนต์ที่เขาเคยดูไม่กี่เรื่องจากโลกเดิม ดังนั้น ความรู้เกี่ยวกับความโรแมนติกของเขาจึงจบลงเพียงแค่ ‘ชายและหญิงตกหลุมรักกัน, แต่งงานและใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข’
เช้าวันรุ่งขึ้น แดนีลเดินไปที่สำนักฝึกอบรม หมัดแห่งความยุติธรรม
ไปหาเอเลนาฟ ก่อนที่จะบอกแผนการที่น่าเหลือเชื่อให้เขาฟัง
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ในป่าใกล้กับประตูเมืองชั้นนอก
ทั้งสองถือไม้ยาวที่มีตาข่ายติดไว้ที่ปลายด้านบน
ข้างๆพวกเขาเป็นขวดปิดผลึก ซึ่งมียุงไม่กี่ตัวบินอยู่ด้านใน
สองคนนี้คือ แดนีลและเอเลนาฟ เหตุผลที่เขาไปหาเอเลนาฟ ก็เพราะเขาต้องการใครซักคนที่รู้จักทั้งเมืองชั้นในและเมืองชั้นนอก เพื่อว่าจ้างช่างไม้ให้ทำไม้ตาข่ายสำหรับจับยุง
แมลงเหล่านับว่าไร้ประโยชน์ จึงไม่มีใครขายพวกมันเป็นสัตว์เลี้ยงแปลกๆเลย
ดังนั้น แดนีลจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องใช้ไม้ตาข่ายเพื่อจับเจ้าสิ่งนี้ เวทมนต์ไม่มีประโยชน์ เพราะพวกมันบินเร็วเกินไป และแดนีลก็ยังคงไม่มีพลังมากพอที่จะสร้างโดมที่สามารถดักจับยุงได้
ในการสอบถามเอเลนาฟ แดนีลพบว่า ยุงเหล่านี้มีนิสัยที่น่าสนใจเป็นอย่างมาก โดยปกติแล้ว พวกมันจะกินสิ่งต่างๆที่มีรสหวาน อย่างเช่น น้ำผึ้งหรือผลไม้ในป่า อย่างไรก็ตาม พวกมันมีความสามารถพิเศษในการค้นหาการมีอยู่ของอีเธอร์ในระยะหลายไมล์ เมื่อพวกมันตระหนักได้ถึงอีเธอร์แล้ว พวกมันจะไม่หยุดจนกว่าจะกัดกินบล็อกอีเธอร์จนเหี้ยน
แม้ว่าใครจะใส่บล็อกไว้ในตู้นิรภัย ยุงเหล่านี้ก็จะหาทางเข้าไปจนได้และไม่ทิ้งอะไรเหลือไว้ มีเพียงโดมที่สร้างจากเวทมนต์เท่านั้น ที่สามารถจะป้องกันพวกมันได้
หลังจากที่ยุงกัดกินบล็อกอีเธอร์จนหมดแล้ว ไม่มีวิธีใดที่จะสกัดอีเธอร์ออกมาจากตัวพวกมันได้เลย หลายคนพยายามลองแล้ว แต่ก็ล้มเหลว เพราะมันราวกับว่า พลังงานเวทมนต์ภายในอีเธอร์ได้แปรสภาพและกลับคืนสู่โลกแล้ว เหมือนดั่งอีเธอที่มนุษย์ดูดซับ ยุงก็สามารถปรับเปลี่ยนพลังงานที่พวกเขากัดกินเข้าไปได้ ดังนั้น ไม่ว่าจะรวบรวมและบดขยี้ยุงลงไปมากเพียงใด ก็ไม่มีทางเลยที่จะได้รับพลังงานหรืออีเธอร์จากพวกมัน