World domination system - ตอนที่ 105 การประชุมราชสำนัก
WDS Chapter 105 การประชุมราชสำนัก
โดยทั่วไปแล้ว การประชุมราชสำนักจะจัดขึ้นเพื่อกล่าวถึงปัญที่ราชอาณาจักรกำลังเผชิญ และวิธีการแก้ไขปัญหา รวมไปถึงการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการดำเนินสวัสดิการทั่วไปของประชาชน แต่ตอนนี้ เนื่องจากการคงอยู่ของเหล่าฑูต เรื่องนี้จึงถูกละไว้ชั่วคราว อย่างน้อย ก็จนกว่าเหล่าฑูตจะกลับออกไป ไม่ว่าอย่างไร มันก็ไม่เหมาะสม ที่จะให้ฑูตต่างชาติมาฟังการอภิปรายที่เกี่ยวข้องกับเรื่องต่างของราชอาณาจักร
ในฐานะมือขวาของราชา มันเป็นหน้าที่ของจอมเวทย์ราชสำนักใหญ่ ที่จะเป็นผู้ดำเนินการประชุม ดังนั้น ทันทีที่ทุกคนนั่งลง เขาก็กล่าวขึ้นในทันทีว่า
“ราชอาณาจักรแลนธานอร์ยินดีต้อนรับฑูตของพันธมิตรทั้งสี่เข้าสู่ราชสำนัก ตอนนี้ พวกท่านสามารถจะพูดคุยกับราชาได้แล้ว สำหรับลำดับ พวกท่านเลือกตามสะดวกได้เลย”
ในราชอาณาจักรใดๆ ผู้ปกครองจะให้เกียรติฑูตเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสถานที่อย่างห้องบัลลังก์ ดังนั้น มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่จะให้ฑูตเป็นผู้เริ่มเรื่องของพวกเขากล่าวก่อน
ทั้งสี่มองหน้ากันและกัน ก่อนที่โบสจะลุกขึ้นจากเก้าอี้ของเขา ซึ่งมันได้ทำเกิดเสียง ตึ้ม! ดังก้องไปทั่วห้องบัลลังก์
เขาเปิดกระเป๋าและหยิบสิ่งที่เหมือนมีดสำหรับตัวเขาออกมา แต่ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับมนุษย์ มันคงจะถูกเรียกว่าดาบ
เขายกดาบนั้นขึ้นด้วยมือทั้ง 2 ข้างและกล่าวว่า “ตามบัญชาของท่านหญิงอาราเฟล โบสของมอบดาบเอนชานท์ผู้ฝึกหัดระดับนักรบให้กับราชาแดนีล มันเป็น 1 ใน 20 เล่ม ที่ถูกสร้างขึ้นในปีนี้ โบกตีดาบเล่มนี้ขึ้นด้วยตัวเอง และสามารถรับรองกับราชาแดนีลได้ว่า โบสทำมันขึ้นมาได้ยอดเยี่ยมอย่างที่สุด ที่โบสรู้เช่นนั้น เพราะโบสได้ทำการทดสอบมัน และถูกทำร้ายด้วยดาบสายฟ้าซึ่งเป็นคาถาจอมเวทย์ระดับนักรบที่ถูกเอนชานท์ไว้ภายใน”
ขณะที่แดนีลจับจ้องไปที่ดาบมันวาว เขาก็จำสิ่งที่เคยได้ยินเกี่ยวกับราชอาณาจักรยักษ์ที่ดูอ่อนโยนนี้ ราชอาณาจักรแห่งนี้มีชื่อว่า อาราเฟล มันถูกตั้งชื่อตามบุคคลโบราณที่เชื่อกันว่า เป็นผู้นำพาเหล่ายักษ์มาสู่ทวีปนี้ นี่เป็นแหล่งข้อมูลเกี่ยวที่กล่าวถึงต้นกำเนิดของพวกเขา ด้วยความจริงนั้น ผู้ปกครองทุกคนของราชอาณาจักรจะต้องใช้ชื่อของท่านหญิง ซึ่งพวกเขาเคารพบูชาในฐานะมารดาผู้ก่อตั้งของพวกเขา
ราชอาณาจักรของพวกเขา เป็นเพียงราชอาณาจักรเล็กๆที่มีขนาดเพียงครึ่งเดียวของแลนธานอร์ แต่มีอำนาจทางการทหารของพวกเขา กลับเทียบได้กับอีก 5 ประเทศ ในความเป็นจริงแล้ว 6 ประเทศเหล่านี้มีอำนาจเกือบจะเท่าเทียมกัน ทำให้เกิดเป็นสมดุลระหว่างพวกเขา
จาก 10 กองกำลัง มีตัวแทนของ 5 กองกำลัง อยู่ภายในห้องนี้ ไม่รวมแอ็กซ์เลอร์ที่อยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาทั้งห้า อีก 4 กองกำลังอยู่ที่ส่วนนอกของทวีป และพวกเขามีเจตนาที่จะแข่งขันกันในหมู่ของพวกเขาเอง
มันเป็นเพราะหนึ่งในกองกำลังเหล่านั้น ได้ทำการสนับสนุนแอ็กซ์เลอร์ พวกเขาทั้งห้าจึงได้ริเริ่มความคิดการจัดตั้งเป็นพันธมิตร หากพวกเขาไม่ต้องการจะถูกกองกำลังอันทรงพลังนั้นเข้ายึดครอง พวกเขาก็จำเป็นที่จะต้องร่วมมือกัน สิ่งที่ปลอบใจพวกเขาได้ก็คือ อีก 3 กองกำลังอันทรงพลังที่เหลือ ไม่ได้คุกคามพวกเขา เหมือนดั่งกองกำลังที่สนับสนุนแอ็กซ์เลอร์
ดังนั้น ตามที่แดนีลสามารถจะมองเห็นได้ในตอนนี้ แอนแกเรียอยู่ในสภาพสมดุลที่เปราะบางมาก โดยรวมแล้ว จากกองกำลังทั้งสิบ มี 6 กองกำลังขนาดเล็ก ที่มีระดับพลังอำนาจด้อยกว่าอีก 4 กองกำลังอย่างสิ้นเชิง โดย 1 ใน 4 ต้องดารที่จะผนวกกองกำลังขนาดเล็กเข้ามา และให้การสนับสนุนแอ็กซ์เลอร์เพื่อความพยายามนั้น เพื่อป้องกันสิ่งนั้น กองกำลังขนาดเล็กจาก 5 ใน 6 จึงได้รวมตัวกัน มันดูเหมือนว่า กองกำลังขนาดใหญ่จะไม่สามารถจัดหาทรัพยากรได้เพียงพอสำหรับการทำลายอำนาจของพันธมิตรในครั้งเดียว ดังนั้น พวกเขาจึงได้ถูกบังคับให้ต้องหาวิธีต่างๆและค้นหารอยร้าว เพื่อใช้ประโยชน์และเพื่อบรรลุเป้าหมายของพวกเขา
เนื่องจากเป็นพันธมิตรที่ก่อตั้งขึ้นมาจากความจำเป็น กองกำลังทั้งห้าจึงมีความสัมพันธ์ที่แตกต่างกันออกไป
จากการแสดงที่อ่อนน้อมถ่อมตนของโบส และของกำนัลที่มีค่าเช่นนี้ มันชัดเจนว่า ระหว่างราชอาณาจักรแลนธานอร์และราชอาณาจักรอาราเฟล พวกเขามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
มองไปที่เคลเลอร์ เพื่อให้เขาเข้าไปรับของขวัญ แดนีลเฝ้ารอขณะที่จอมเวทย์ราชสำนักใหญ่เดินไปข้างหน้า จับดาบไว้ในมือ แล้วนำมามอบให้แดนีลด้วยท่าคุกเข่า
แดนีลชื่นมาไปจับมัน เขารู้สึกประหลาดใจกับความประณีตของมัน มันเป็นดาบตรง มีตัวกันคมรูปตัววี และใบดาบทั้ง 2 ด้าน ดูเหมือนจะเปร่งประกายราวกับหยก บนใบดาบมีคำที่เขียนว่า ‘ราชาแห่งแลนธานอร์’ ถูกสลักด้วยตัวอักษรที่ดูน่าเกรงขาม มันดูราวกับถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้งานจริงในสนามรบ ไม่ใช่ของตกแต่งที่ถูกเก็บเอาไว้ประดับ
[ตรวจพบเครื่องประดับเวทมนต์ต่อสู้ โฮสต์ต้องการที่จะผูกมัดเครื่องประดับเวทมนต์นี้หรือไม่?]
เสียงของระบบดังขึ้นในหัวของแดนีล เตือนเขาว่า สิ่งนี้เป็นเครื่องประดับเวทมนต์ระดับนักรบ ไม่เหมือนเครื่องประดับระดับมนุษย์ ที่สามารถจะหยิบขึ้นมาใช้ได้ทุกคน เครื่องประดับเวทมนต์ที่ระดับสูงกว่านั้น ต้องผูกมัดเสียก่อน ถึงจะสามารถเปิดใช้งานมันได้
มีเพียงจอมเวทย์หรือนักสู้ระดับนักรบเท่านั้น ที่สามารถจะทำมันได้ ดังนั้น แดนีลจึงสั่งให้ระบบหยุดการผูดมัดมันไว้ชั่วคราว
“ข้าได้ยินเกี่ยวกับทักษะในการผลิตเครื่องประดับเวทมนต์ต่อสู้ของราชอาณาจักรอาราเฟลมานานแล้ว แม้ว่าเอลดินอร์จะเป็นที่รู้จักในนาม ศูนย์กลางเครื่องประดับเวทมนต์แห่งแอนแกเรีย ซึ่งเชี่ยวชาญในการผลิตเครื่องประดับเวทมนต์ทุกประเภท แต่ใครๆก็รู้ว่า เครื่องประดับเวทมนต์ต่อสู้ที่สามารถจะดึงพลังออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพนั้น ผลิตได้ในอาราเฟลเท่านั้น ข้าขอบคุณท่านหญิงอาลาเฟลสำหรับของขวัญที่มีค่านี้ และข้าหวังว่า ความสัมพันธ์ระหว่างราชอาณาจักรทั้งสองจะยังคงเหนียวแน่น เหมือนอย่างที่เคยเป็นมานับสิบๆปี”
เสนาบดีบางคนเป็นกังวลว่า ราชาพลาดในการประชุมราชสำนัก เนื่องจากเขาไม่เคยมีประสบการณ์จากการรับแรงกดดันเช่นนี้ แต่จากสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ทำให้เสนาบดีบางคนถึบกับซุบซิบกันด้วยความประหลาดใจ การแสดงออกที่สมบูรณ์แบบของแดนีลนั้น มันสง่างามอย่างแท้จริง ราวกับว่า เขาได้รับการฝึกฝนด้านนี้มาตั้งแต่ยังเด็ก
ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ การแสดงออกที่ไม่พอใจปรากฎขึ้นบนใบหน้าของเอลดร้า แต่ดวงตาของเธอกลับเปล่งประกาย ราวกับเธอกำลังวางแผนบางอย่างอยู่ แม้แต่หูรูปดาบของเธอก็สั่นไหว ตื่นเต้นกับสิ่งที่กำลังจะมาถึง
โบสปรบมือพร้อมกับแสดงออกอย่างมีความสุขบนใบหน้า เขาตอบว่า “โบสมีความสุขที่ได้ยินคำกล่าวที่สง่างามของราชา ท่านหญิงอาราเฟลได้บอกกับโบสว่า นางต้องการจะยืดความสัมพันธ์ของพวกเรา และการเจรจาใดๆสามารถจะทำได้ในภายหลัง โบสขอบคุณราชาแดนีลที่เป็นพันธมิตรที่ยอดเยี่ยม”
เห็นแดนีลยิ้มและพยักหน้า โบสก็นั่งลงพร้อมกับใบหน้าที่เปี่ยมด้วยความสุข
อย่างไรก็ตาม ทันทีที่เขานั่งลง เสียงอันเย็นชาก็ดังกระจายไปทั่วทั้งห้องบัลลังก์ ทำให้ทุกคนตกตะลึง
“ราชินีได้สั่งให้ข้าแจ้งกับแลนธานอร์ว่า ราคาเครื่องประดับเวทมนต์ทั้งหมดที่นำเข้าจากเอลดินอร์ จะเพิ่มขึ้น 20% จนกว่าผู้สร้างกับดักน้ำผึ้งจะขอโทษต่อราชินีเป็นการส่วนตัว สำหรับการนำผลิตภัณฑ์ที่ถูกประกาศผูกขาดโดยราชอาณาจักรเอลดินอร์แล้ว เข้าสู่ตลาด”
“บังอาจนัก!”
“เหิมเกริม!”
“ฝ่าบาท พวกเขาทำมากเกินไปแล้วในตอนนี้”
แดนีลพยายามอย่างหนักเพื่อควบคุมอารมณ์ที่แสดงออกมาบนใบหน้าของเขา ใขณะนั้นเอง เสนาบดีบางคงก็ได้ลุกขึ้นและตวาดออกมาด้วยความโกรธ เพื่อประท้วงคำกล่าวของเอลดราที่ตอนนี้ยืนอยู่ ในความเป็นจริง แม้แต่เขายังค่อนข้างตกใจกับการประกาศในฉับพลันของเอลดร้า
เอลดร้าแสดงรอยริ้มที่เกียจคร้านบนใบหน้าของเธอ ขณะที่มองไปยังเหล่าเสนาบดีราวกับมองสุนัขเห่า
ไม่ต้องกล่าวถึงว่า นี่เป็นการละเมิดเบื้องสูง แดนีลตระหนักว่า นี่อาจจะเป็นเหตุการณ์ปกติที่เกิดขึ้น หลังจากที่เห็นเคลเลอร์ถอนหายใจกับมัน
“กล่าวประท้วงทีละคน” แดนีลกล่าวอย่างใจเย็น และบอกเป็นนัยให้เคลเลอร์ร่ายคาถาใบ้ ซึ่งมันทำให้เหล่าเสนาบดีสงบลง
ในขณะที่เอลดร้ายังคงยืนและกุมมือไว้ด้านหลัง ชายร่างเตี้ยที่มีลำตัวพองโตก็ยืนขึ้นจากเก้าอี้ของเขา ซึ่งเห็นได้ชัดว่าเขายังคงเต็มไปด้วยความโกรธ
“ฝ่าบาท นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เอลดินอร์กล่าวถึงเงื่อนไขที่ไร้สาระเช่นนี้ ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมา หลังจากคนชั้นสูงผู้หนึ่งพยายามผลิตสิ่งกีดขวางภายในราชอาณาจักร เอลดินอร์ก็ได้อ้างการผูกขาดและปิดการทำงานสิ่งนั้นลง ทั้งๆที่พวกเขาเพียงแค่ต้องการจะพัฒนาเครื่องประดับเวทมนต์ในชีวิตประจำวันที่ประชาชนจำเป็นต้องใช้ ซึ่งแลนธานอร์แทบไม่สามารถจะทำได้เลย”
แดนีลรู้สึกปวดหัวเมื่อได้ยินคำกล่าวของเสนาบดี
บรรยากาศที่ราบรื่นในราชสำนัก การเป็นโกลาหลวุ่นวายเพียงเพราะคำกล่าวของเอลฟ์
ราวกับว่าเธอบรรลุเป้าหมายบางอย่างแล้ว เธอจึงยิ้มขึ้นมาในใจของเธอและลดการประเมินแดนีลลง หลังจากที่เห็นรอยย่นบนหน้าผากของเขา
‘เจ้าจะทำอย่างไรในตอนนี้ ราชาน้องใหม่?’ เธอคิดกับตัวเอง รู้สึกดีใจที่ได้ทำในสิ่งที่เธอตั้งใจ ซึ่งก็คือ ทำให้ราชาตกอยู่ในที่นั่งลำบาก แม้เขาจะไม่เคยมีประสบการณ์ในการตัดสินอย่างมีเหตุผล แต่เขาก็จำเป็นจะต้องคิดถึงความต้องการของราชอาณาจักร