ช่วงนี้ก็เป็นช่วงย่างเข้าฤดูร้อนแล้วเพราะงั้นถึงจะเป็นตอนกลางคืนมันก็ยังรู้สึกร้อนอยู่
แต่ว่าตอนนี้ผมน่ะกลับไม่รู้สึกอย่างนั้นเลยครับเหตุผลก็คือท่านเทพธิดาที่อยู่ตรงหน้าของผมนั้นกำลังปล่อยไอเย็นแปลกๆออกมาเอาซะผมรู้สึกเสียวสันหลังไปหมด
“สุดท้ายก็เป็นอย่างที่คิดสินะคะ”
“อย่างที่คิด?”
“พอดูจากท่าทางของคุณแล้วฉันก็พอจะเดาความคิดของคุณได้ค่ะ ในตอนที่คุณทำงานคุณคงกำลังคิดว่าพอเลิกงานก็จะรีบกลับบ้านสินะคะ แล้วพอฉันเอามันมารวมกับเหตุผลที่ว่าคุณกำลังพยายามหลบหน้าฉัน ฉันเลยคิดว่าคุณคงจะกลับบ้านเร็วกว่าปกติแน่ๆค่ะ”
“ช่างเป็นการเดาที่เฉียบขาดเสียจริง แต่ว่านะที่เธอพูดมามันผิดหมดเลยล่ะ…”
“เหรอคะ?”
แน่นอนว่าผมโกหก สิ่งที่เธอพูดมาทั้งหมดนั้นมันแม่นซะยิ่งกว่าแม่นอีก
“แต่ก่อนอื่นฉันขอเข้าไปในห้องของคุณได้มั้ยคะถ้าขืนยังยืนอยู่ที่นี่นานฉันเกรงว่าวัตถุดิบที่ซื้อมามันจะเสียเอาได้ค่ะ”
“อื้ม..”
ผมตอบกลับวาคามิยะสั้นๆและให้วาคามิยะเข้าไปในห้องของผมจากนั้นเธอก็เดินไปที่ตู้เย็นแล้วเอาวัตถุดิบที่ซื้อมาใส่เข้าไปข้างใน
“…ไว้ฉันจะจ่ายคืนให้ทีหลังนะ ฉันรู้สึกไม่ดีน่ะที่คอยรบกวนเธอตลอด”
“ค่ะ แต่ว่าตอนนี้ช่วยนั่งลงก่อนเถอะค่ะ”
วาคามิยะพูดออกมาในขณะที่นั่งลงส่วนผมพอได้ยินแบบนั้นก็ทำตามที่เธอบอก
จากนั้นวาคามิยะก็นำชาขึ้นมาจิบพร้อมกับหลับตาลงก่อนที่จะพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นยะเยือก
“คุณรู้มั้ยคะว่าทำไมฉันถึงโกรธ”
“อื้ม มั้งนะ…”
“คือว่า..ฉันมีหลายสิ่งที่อยากจะพูดเลยค่ะแต่ก่อนหน้านั้นฉันขอฟังเหตุผลของโทคิวากิซังก่อนว่าทำไมคุณถึงทำตัวแบบนั้น”
“มะ ไม่มีอะไรจะพูดทั้งนั้นครับ..”
“พูดออกมาเลยค่ะไม่ต้องกลัวว่ามันจะทำร้ายความรู้สึกของฉันหรอกเพราะงั้นช่วยพูดออกมาเถอะค่ะ”
พอวาคามิยะได้ยินคำตอบของผม เธอก็แสดงท่าทางผิดหวังออกมา
“แล้วฉันก็จะไม่ปล่อยให้คุณหนีจนกว่าคุณจะพูดออกมาค่ะ”
ดูทรงแล้วคงไม่มีทางเลือกสินะ
จากนั้นผมก็สูดหายใจเข้าแล้วตัดสินใจพูดออกไป
“จากนี้ไป…พวกเราอย่ามาเจอกันเลย”
“ขอถามเหตุผลได้มั้ยคะ”
“ถ้าขืนเธอยังเข้ามาคุยกับฉันแบบนี้ คนเขาจะคิดว่าพวกเรากำลังคบกันอยู่นะ”
“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอคะ?”
วาคามิยะเอียงศีรษะด้วยความสงสัยดูเหมือนว่าเธอจะไม่เข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้เลยสินะ
“ใช่ มันแย่ เพราะพวกเด็ก ม.ปลาย ส่วนใหญ่ก็มักจะชอบเรื่องรักๆใคร่ๆกันพอเห็นใครอยู่ใกล้กันนิดๆหน่อยๆก็จับจิ้นซะหมด มันจะลำบากเอาน่ะถ้าต้องคอยมาตอบคำถามคนพวกนั้น”
“ลำบาก…เหรอคะ?”
“แล้วจนถึงตอนนี้เธอเองก็คอยช่วยเหลือฉันมาโดยตลอด….ฉันเลยคิดว่าจะรบกวนเธอไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
นี่แค่พวกเราคุยกันเล็กๆน้อยๆนะข่าวลือยังขนาดนี้ถ้าขืนพวกเราไม่หยุดข่าวลือคงได้เกินเลยจนพวกเราไม่สามารถแก้ไขอะไรได้แน่
เพราะงั้นผมต้องทำอะไรสักอย่างก่อนที่มันจะบานปลายไปมากกว่านี้
“ฉันเคยพูดไปแล้วไม่ใช่เหรอคะ ว่าฉันไม่คิดมากเรื่องข่าวลือน่ะ”
“ถ้าแค่ข่าวลือก็ว่าไปอย่างแต่ถ้ามีคนคอยมาถามเธออยู่ตลอดตัวเธอเองก็คงจะรู้สึกรำคาญใช่มั้ยละ”
“ก็จริง..ถ้าเจองั้นฉันได้ปวดหัวตายแน่ค่ะ”
“ใช่มั้ยละ ถ้าให้เปรียบเทียบเลยก็คือ สมมุติว่าเธอมีเพื่อนเป็นไอ้เอแล้วไอ้เอเนี่ยดันถูกคน 100 คนหาว่าเป็น เด็กเหี้ย แต่เธอไม่เชื่อเพราะ บักเอ สำหรับเธอมันเป็นคนดีเธอเลยต้องคอยมาอธิบายให้คน 100 คนฟังมันคงจะวุ่นวายยุ่งยากมากเลยใช่ปะละ”
“พอจะเข้าใจแล้วค่ะ ที่คุณพูดมามันก็สมเหตุสมผลจริงๆ”
“ใช่มั้ยล้า ข่าวลือมันโคตรจะน่ากลัวเลยเพราะงั้นเราก็ควรจะหยุดก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปมากกว่านี้เถอะ…”
พูดตามตรงเลยนะตั้งแต่ที่ได้เจอวาคามิยะผมก็เอาแต่พึ่งเธอตลอด
เพราะผมเคยคิดว่าตัวเองชินแล้วกับการอยู่ตัวคนเดียวถึงขั้นที่ว่าตัวเองชอบการอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ…พูดสั้นๆเลยก็คือผมเป็นพวกขาดความอบอุ่นแค่นั้นแหละ
แต่การที่ผมได้มาพบเธอมันทำให้ผมรู้สึกเหมือนได้รับการเติมเต็ม
นั่นแหละจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมควรหยุด…
ก่อนที่ตัวผมจะเปลี่ยนไป
ก่อนที่ความรู้สึกของผมจะเติบใหญ่ไปมากกว่านี้
ก่อนที่ผมจะเผลอเข้าใจผิด
และก่อนที่ผมจะเผลอจมอยู่ในความสุขจนกู่ไม่กลับ
ผมต้องจบทุกอย่างเพื่อที่จะไม่ให้มานั่งเสียใจทีหลัง
“รู้สึกผิดหวังเลยค่ะที่ได้ยินแบบนั้น”
วาคามิยะพูดออกมาด้วยน้ำเสียที่เศร้าสร้อยจากนั้นเธอก็ลุกขึ้นยืนแล้วเดินมาหาผม
“ฉันไม่รู้หรอกนะคะว่าในสายตาของโทคิวากิซังมองฉันเป็นคนยังไง แต่ว่าการที่คุณหลบหน้าฉันเพียงเพราะคิดว่าฉันเป็นพวกที่สมบูรณ์แบบหรืออยู่คนละโลกกับคุณ…”
“ห๊ะ?”
ผมอุทานออกไปด้วยความสับสน
ส่วนทางวาคามิยะก็กำหมัดแน่น
“ฉันเกลียดไอ้แบบนั้นที่สุดเลยค่ะ!!”
วาคามิยะคนนั้นคนที่เอาแต่พูดด้วยน้ำเสียงเรียยเฉยมาโดยตลอดกลับกำลังตะโกนออกมาด้วยความโกรธ
ผมที่เห็นแบบนั้นก็สะดุ้งเล็กน้อยด้วยความประหลาดใจ
“ฉันไม่ได้สมบูรณ์แบบหรอกค่ะ ฉันก็แค่ผู้หญิงธรรมดาๆคนนึงที่มีสิ่งที่ชอบและไม่ชอบ เป็นพวกเห็นแก่ตัว ขี้น้อยใจ อีกทั้งยังชอบยัดเยียดสิ่งที่ตัวเองตัดสินใจให้คนอื่นด้วยค่ะ”
“….!!!”
วาคามิยะดึงแก้มทั้งสองข้างของผมจึงทำให้ผมไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้
“และฉันจะเป็นเพื่อนกับใครหรือยังไงนั่นมันก็เรื่องของฉันค่ะ ถึงแม้คนรอบข้างจะมองยังไงหรือชื่อเสียงของฉันจะแย่ลงก็ตามฉันก็ไม่สนค่ะ ฉันก็แค่อยากเจอคุณ อยากพูดคุยด้วย อยากจะอยู่เคียงข้างคุณนี่คือความรู้สีกจากก้นบึ้งหัวใจของฉันค่ะ”
“….”
“โทคิวากิซัง ฉันจะไม่ยอมลามือไปจากคุณแน่ค่ะ ขอเสริมอะไรหน่อยนะคะ กรุณาอย่าทิ้งฉันแล้วก็อย่าเมินฉันด้วยนะคะ ฉันไม่ชอบอะไรแบบนั้นเลย”
“แด่฿#ด้า#@ (แต่ว่า..)”
“แล้วถ้าคุณยังดึงดันละก็”
“เอ๊ะะ!! ว-วาคามิยะซัง!!!”
“ฉันจะทำแบบนี้ทั้งข้างนอก ในโรงเรียน และในตอนที่คุณทำงานพาร์ทไทม์เลยค่ะ”
เธอไม่ได้กอดผมหรือว่าจูบผมหรอกนะ
เธอก็แค่จับแขนเสื้อแล้วแหงนหน้ามองผมด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังจะร้องไห้ก็เท่านั้น
บอกตามตรงเลยนะ
พลังทำลายโคตรจะรุนแรงเลยเพราะปกติแล้ววาคามิยะเป็นคนเฉยๆไม่ค่อยแสดงท่าทีอะไรออกมา
แต่ตอนนี้เธอกลับทำอะไรแบบนี้ให้ผมเห็น ไม่สิถ้าบอกว่า [แปะสถานะยั่วยวน] ใส่ผมคงจะเข้ากว่า
แล้วถ้าเธอทำอะไรแบบนี้ในที่สาธารณะก็เหมือนกับการประหารกันเลยนี่หว่า!!!
วาคามิยะจ้องมาที่ผมราวกับกำลังสื่อว่า ฉันรอคำตอบอยู่นะคะ
“เฮ้ออ ให้ตายเถอะ!! โอเคฉันเข้าใจแล้ว ฉันผิดเองแหละ เพราะงั้นหยุดเถอะนะ….ขืนเธอทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นฉันได้ตายพอดี”
ผมยักไหล่ยอมแพ้และใบหน้าของผมในตอนนี้ก็รู้สึกร้อนผ่าวราวกับว่ากำลังถูกแผดเผา
จากนั้นผมก็มองไปที่วาคามิยะซึ่งเธอก็กำลังยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจพร้อมกับแก้มที่แดงแจ๋ของเธอ
——
เอ๊ะ? นี่มันคำสารภาพรักชัดๆ
MANGA DISCUSSION