ตอนที่ 4
ตอนที่ 4 พลังเวท
“ใครน่ะ !? ออกมานะ !”
ถูกเจอตัวแล้ว !? ชายคนนั้นหันหน้ามาทางนี้ หยิบดาบใหญ่ข้างตัวขึ้น จากนั้นก็พุ่งมาโดยไร้สุ้มเสียง
เพราะย้อนแสงก็เลยเห็นหน้าของชายคนนั้นไม่ชัดเท่าไหร่ แต่จากดวงตาแหลมคมคู่นั้นแล้วบอกได้เลยว่าไม่ใช่คนธรรมดาแน่
“สัตว์อสูรเหรอ… ในเมื่อไม่ยอมออกมาหา งั้นฉันจะไปลากตัวมาเอง”
ชายคนนั้นกล่าวเสียงต่ำแล้วชักดาบใหญ่ ‘บางอย่าง’ ที่แผ่ออกมาจากร่างคน ๆ นั้นทำให้ร่างของฉันหนาวเยือก มือเท้าค่อย ๆ สั่นขึ้นทีละนิด
หรือว่านี่จะเป็นจิตสังหารกันนะ แย่จริง น่าจะถอยตัวออกมาตั้งแต่ตอนโดนถามแล้วแท้ ๆ ถึงจะมีความรู้ แต่พอได้สัมผัสกับกลิ่นอายอันแข็งแกร่งเป็นครั้งแรกแล้ว หัวใจก็พลันหยุดเต้นไปจังหวะหนึ่ง
“……”
ใช้กำปั้นทุบขาที่กำลังสั่น จากนั้นก็พลิกหันตัวกลับแล้ววิ่งออกทันที
ยังมีโอกาสหนีพ้นอยู่ อีกฝ่ายมาจากทางที่มีกองไฟ ดังนั้นสายตาจึงน่าจะยังไม่ชินกับความมืด ต่างจากฉันที่กำลังซ่อนตัวอยู่ในความมืด
ไขว้แขวนป้องกันลูกตาไม่ให้ไปโดนกับพุ่มไม้ ก้มตัวลงต่ำพร้อมวิ่งเข้าป่าในตอนค่ำมืด
“ -! ”
ด้านหลังมีเสียงกิ่งไม้แตกหักจากการเตะพุ่มไม้ ชายคนนั้นกำลังไล่ตามมา เสียงฝีเท้าที่เงียบเชียบช่างขัดกับกลิ่นอายอันแสนทรงพลัง
ผ่อนลมหายใจเพื่อสงบอารมณ์และความตระหนก เหมือนกับตอนที่ปลิดชีพแม่เฒ่า
ตีกระตุ้นขาที่กำลังกรีดร้องแล้วหักเหเส้นทางเป็นมุมฉาก เสียงจากพุ่มไม้ที่ดังขึ้นเล็กน้อยบ่งบอกถึงความสับสนของชายคนนั้น
จังหวะนั้นก็ถือโอกาสเปลี่ยนเส้นทางอีกรอบ อำพรางเสียงฝีเท้าวิ่งเข้าไปในป่าพร้อม ๆ ไปกับซ่อนตัวที่ใต้ร่มไม้
ถ้าทำถึงขนาดนี้แล้วยังไล่ตามมาอีก แสดงว่าคิดจะฆ่าฉันจริง ๆ
กลิ่นอายที่ชวนให้ใจสะท้านของชายคนนั้นเริ่มทิ้งห่างออกไป ฉันระงับเสียงของตัวเองก่อนจะออกวิ่ง ตอนที่ลดความเร็วลงแล้วอำพรางลมหายใจนั้น พลันได้ยินเสียงแหวกอากาศ จากนั้นก็ตามมาด้วยเสียงขวานปักลำต้นไม้ต้นที่ฉันกำลังซ่อนตัวอยู่
“ !? ”
ไม่ได้อยู่ห่างออกไป ชายคนนั้นปิดบังกลิ่นอายของตัวเองเพื่อเข้าใกล้ตำแหน่งที่ฉันอยู่
หลังจากที่ชายคนนี้รู้ตัวว่าพลาดฆ่าฉันไม่สำเร็จก็วิ่งเข้าป่ามาอย่างดุร้าย เร็วมาก ! มิหนำซ้ำร่างกายที่ยังเป็นเด็กของฉันไม่มีเรี่ยวแรงหลงเหลือแล้ว
หลังสรุปว่าตัวเองหนีไปไหนไม่ได้แล้ว ก็เล็งจังหวะที่ชายคนนั้นกำลังเงื้อดาบใหญ่ขึ้นสูง พุ่งเข้าไปใกล้ แล้วเล็งตรงขาที่ดูเหมือนท่อนซุงของชายคนนั้น
“แค่ก !”
แต่ชายคนนั้นก็ใช้ปลายด้ามของดาบใหญ่กระแทกใส่ได้ก่อน
เกิดเสียงของแข็งแตกหัก แล้วก็เสียงตกใจของผู้ชายคนนั้น อากาศจากปอดถูกคายเนื่องเพราะแรงกระแทกที่ได้รับ พร้อมกับที่กระเด็นกลิ้งเข้าไปในป่า ศีรษะเริ่มรู้สึกมัว ๆ ได้ยินเสียงเท้าของชายคนนั้นที่รีบเข้ามาใกล้ และสติของฉันก็ค่อย ๆ จมดิ่งลงสู่ความมืดมิด
***
“แหม โทษทีนะเจ้าหนู เห็นวิ่งไว ๆ ก็เลยนึกว่าเป็นโคโบลต์จนเผลอไล่ตามไปซะได้”
“…………”
ตอนนี้ฉันกำลังนั่งข้าง ๆ กองไฟกับผู้ชายคนนั้น
โคโบลต์คือสัตว์อสูรระดับต่ำชนิดหนึ่ง มีรูปลักษณ์เหมือนกับสุนัขที่ยืนสองขา ไม่นึกมาก่อนเลยว่าจะถูกเข้าใจผิดว่าเป็นตัวอะไรแบบนั้น
เหมือนว่าชายคนนี้จะเป็นนักผจญภัย และคิดว่าถ้ามีสัตว์อสูรอยู่ที่ทางหลักในเขตแล้วนักเดินทางจะเป็นอันตรายได้ก็เลยไล่ตามมา จากนั้นดูเหมือนเพราะฉันเอาแต่วิ่งไปทั่วก็เลยรู้สึกอยากเอาชนะจึงโจมตีเข้าใส่
“เอานี่ไปกินซะสิ ถึงจะไม่ใช่ของแทนคำขอโทษก็เถอะ”
ชายคนนั้นยื่นเนื้องูมาให้ เป็นเนื้องูที่ลอกหนังตัดเป็นชิ้นแล้วนำไปย่างไฟไว้ตั้งแต่เมื่อครู่
ฉันไม่เคยกินงูมาก่อน แต่เหมือนจะเคยฟังใครซักคนเล่าไว้ว่า พวกเด็กปีสูงที่อยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นทนกับอาหารแย่ๆ ไม่ได้ ก็เลยไปจับงูในป่ามากิน
แถว ๆ นี้มีงูเขียวอยู่เยอะ ซึ่งงูเขียวพวกนี้มีเพียงแค่พิษอัมพาตอ่อน ๆ ไม่ถึงตาย และจะไม่โจมตีสัตว์ที่ตัวใหญ่กว่าหนูนา เว้นเสียแต่จะเป็นการป้องกันตัว
ตัวฉันในตอนนี้ไม่เกลียดกลัวงูเหมือนกับพวกเด็กผู้หญิงกำพร้าพวกนั้นแล้ว ฉันหยิบไม้ที่เสียบเนื้อมาราวกับถูกเชิญชวนจากกลิ่นของเนื้อย่าง จากนั้นก็เอาเข้าปาก รสชาติจืดชืดและความชุ่มฉ่ำแผ่กระจายไปทั่วปาก
บอกตามตรงว่าค่อนข้างจืดชืดไร้ซึ่งความอร่อย แต่ว่าด้วยความหิว อีกทั้งยังไม่ได้กินอาหารดี ๆ มานาน จึงสวามปามเข้าไปอย่างมูมมาม หลังรับน้ำจากชายคนนั้นมาดื่มแล้วก็รู้สึกผ่อนคลายลงในที่สุด
“เอาล่ะ เจ้าหนู เป็นเด็กเป็นเล็กมาทำอะไรที่แบบนี้รึ พ่อแม่อยู่ไหนล่ะ”
“…………”
เพราะฉันตัดผมแล้วเอาหัวคลุกขี้เถ้าไว้ ผู้ชายคนนี้ก็เลยเข้าใจผิดไปว่าฉันเป็นเด็กผู้ชาย
ผู้ชายคนนี้ แม้จะหน้าดุ แต่ลึก ๆ แล้วก็เป็นคนที่ดี…ไม่สิ น่าจะเรียกว่าใจอ่อนมากกว่า พอเห็นฉันเงียบให้กับถ้อยคำแสดงความเป็นห่วงปกติแล้ว ไม่รู้เพราะคิดว่าฉันเป็นเด็กจรจัดไร้พ่อแม่หรืออย่างไรถึงได้ทอดถอนใจเบา ๆ แล้วเปลี่ยนเรื่องพูด
“…ยังเจ็บอยู่เหรอ”
ฉันส่ายหัวเล็กน้อยเป็นการตอบคำถาม
ชายคนนี้มี [ศาสตร์เวทแสง] อยู่ที่เลเวลหนึ่ง และรักษาให้ฉันด้วยการใช้ศาสตร์เวทฟื้นฟู [ฮีล]
ที่บริเวณระหว่างหน้าอกกับไหล่ซ้ายยังเหลือรอยช้ำจาง ๆ อยู่ ลองสัมผัสแล้วยังไม่หายเจ็บ แต่ก็ไม่ถึงกับทนไม่ได้เลยเสียทีเดียว
ศาสตร์เวทแสงเลเวล 1 จะมี ฟื้นฟู [ฮีล] กับ เยียวยา [เคียวร์] โดยการ [ฮีล] จะเป็นการฟื้นฟูพลังกายและปิดบาดบาดแผล ไม่ถึงกับทำให้ความเจ็บปวดหายไปได้โดยสมบูรณ์
ส่วนการเยียวยาด้วย [เคียวร์] จะเป็นการรักษาบาดแผลให้หายกลับไปเป็นเหมือนเดิม แต่มีประสิทธิภาพต่ำ กว่าจะรักษาจนเสร็จนั้นค่อนข้างใช้เวลาพอสมควร แถมยังทำให้พลังกายลดลงอีกด้วย
การฟื้นฟูด้วย [ฮีล] นั้น ต่อให้จะอยู่แค่ในระดับเริ่มต้นก็สามารถจัดการกับแผลระดับมีดบาดได้โดยไม่หลงเหลือแผลเป็นเอาไว้ ทั้งฟื้นฟูได้รวดเร็วและมีประสิทธิภาพมาก ดังนั้นหากพูดถึงเวทรักษาโดยทั่วไปแล้วก็จะเป็นการฟื้นฟูด้วย [ฮีล] นั่นเอง
สำหรับการเยียวยาด้วย [เคียวร์] แล้ว ส่วนใหญ่จะใช้ในกรณีประมาณ เด็กชนชั้นสูงที่ทนความเจ็บปวดไม่ได้ หรือไม่ก็หญิงสาวก่อนออกเรือนที่ไม่อยากเหลือรอยแผลเป็นไว้ ดูเหมือนจะมีกระแสความคิดอยู่ว่า ต่อให้เป็นคนที่ความเข้ากันได้กับ [ศาสตร์เวทแสง] ก็ไม่จำเป็นต้องฝืนเรียนรู้ เพราะว่าโครงสร้างของศาสตร์เวทชนิดนี้ยุ่งยากมาก
ถ้าใช้ [เคียวร์] ก็คงทำให้รอยฟกช้ำของฉันหายไปได้ในทันที แต่เหมือนชายคนนี้จะใช้ไม่เป็น
มีเรื่องที่อยากจะถามอยู่มาก แต่ตอนนี้ฉันยังไม่เปิดใจให้ชายคนนี้ จึงได้แต่นั่งก้มหน้าไม่พูดไม่จา ตอนที่ก้มลงก็ไปเห็นมีดที่ปะทะกับด้ามดาบใหญ่จนหักเมื่อตอนนั้น
“อ๋า… โทษที ดันพลั้งทำมีดนายพังไปซะแล้ว แต่มีดเล่มนั้นไม่เหมาะเอาไว้ใช้สู้หรอกนะ เป็นมีดสั้นที่คุณหนูชนชั้นสูงพกติดตัวเพื่อเอาไว้ใช้ปลิดชีพตัวเองน่ะ ก็คมอยู่หรอกแต่ใบมีดนั้นบาง ถึงขนาดที่ถ้าแทงกระต่ายแล้วไปโดนกระดูกก็บิ่นได้เลยแหละ”
ชายคนนี้พูดลิ้นระรัวราวกับกำลังแก้ตัวเรื่องที่ตนทำมีดพังไป
แต่ก็ไม่ได้คิดจะกล่าวโทษหรืออะไรหรอก ถึงจะลำบากหน่อยถ้าไม่มีมีดก็เถอะนะ เรื่องนี้ฉันเองก็ก็มีส่วนผิดที่พยายามหนีอย่างไร้ประโยชน์ นอกจากนี้ถ้าไม่ได้มีดนี่ช่วยไว้ฉันก็คงกระดูกหัก และมีโอกาสที่จะฟื้นฟูด้วย [ฮีล] ไม่หายด้วย
คิดดังนั้นแล้วก็ส่ายหัวน้อย ๆ เป็นเชิงบอกว่าไม่ได้คิดจะโทษอะไร แต่ชายคนนั้นก็ดูเหมือนจะยังติดใจอยู่ จึงหยิบมีดพร้อมปลอกจากที่เอวมาให้
“ใช้นี่แทนซะสิ ถึงจะไม่ใช่ของที่ดีเลิศมาก แต่ฉันเอาไว้ใช้ชำแหละซากสัตว์อสูรน่ะ น่าจะทนพอสมควรเลย”
“………..”
ดึงมีดที่ถูกยัดเยียดให้รับมาออกจากฝัก ถึงจะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็เป็นมีดเหล็กกล้าที่ถูกลับคมมาอย่างดี เป็นมีดคมเดียวที่มีใบมีดยาวราว 20 เซนติเมตร ถึงจะไม่บางเท่ากับมีดอันเก่าเลยทำให้แทงให้เข้าไปลึกยาก แต่ก็คงจะไม่หักบิ่นเมื่อแทงโดนกระดูก
มีดเหล็กกล้าที่ใช้เหล็กซึ่งผ่านการถลุงมาหล่อแล้วลับคมนั้นราคาคงสูงน่าดู ถึงจะเพราะรู้สึกติดค้างอยู่ก็เถอะ แต่ถึงกับยื่นของแบบนี้ให้เด็กจรจัดง่าย ๆ นี่ รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนโง่ไปเลยที่ดันระแวงคนจิตใจดีอย่างนี้
“…ขอบคุณนะคุณลุง”
“ฉันเพิ่งจะยี่สิบเองนา”
ยังหนุ่มกว่าที่คิดแฮะ คิดว่าจะอายุประมาณสามสิบซะอีก พอลองมองดูอีกทีแล้ว มีเพียงใบหน้าที่ดูดุดัน ส่วนผิวกลับดูอ่อนเยาว์ เพราะไม่โกนหนวดหนา ๆ นั่นก็เลยไม่รู้เลยนะเนี่ย หน้าตาก็ไม่ได้น่าเกลียดอะไร ฉันรู้สึกว่าใบหน้าที่ดูขัดกับอายุนั้นดูมีเสน่ห์จนเผลอยกยิ้มโดยไม่รู้ตัว
“นั่นแหละ ยิ้มได้ซักทีนะ เด็ก ๆ น่ะเหมาะกับรอยยิ้มที่สุดแล้ว”
สะบัดมือหยาบกร้านข้างนั้นที่มาลูบหัวฉันป้อย ๆ ออกไป จากนั้นก็กลับมาทำหน้านิ่งเหมือนเดิมแล้วจ้องเขม็งไปที่ผู้ชายคนนั้น
“นี่ สอนวิธีใช้พลังเวทให้หน่อยสิ”
“จะ จู่ ๆ ก็อะไรน่ะ….”
“พอใช้เวทดำรงชีพไม่ได้แล้วไม่ค่อยสะดวกเท่าไหร่น่ะ”
“ฉันเองก็ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอก… แต่เดิมทีแล้วฉันน่ะไม่ได้ใช้ได้เพราะให้ใครสอนหรอกนะ”
จากที่คุณลุงบอกมานั้น เหมือนว่าตอนที่ใช้เวทดำรงชีพนั้นจะสัมผัสได้ถึง ‘กระแส’ ซึ่งผิดแผกไปจากปกติในร่างกาย และทำให้เข้าใจว่านั่นก็คือพลังเวท
สรุปก็คือ วิธีการเรียนรู้ของฉันมันสลับลำดับ แล้วก็ต่อให้ใช้เวทดำรงชีพเป็นก็ใช่ว่าจะรับรู้พลังเวทได้ ว่ากันว่าหากเรียนรู้เวทดำรงชีพตอนที่อายุยังน้อยละก็ลำดับขั้นตอนดังกล่าวนั้นเป็นจะเป็นวิธีตามปกติ แต่ในทางตรงกันข้าม ก็จะไม่สามารถรับรู้ถึงสัมผัสแปลก ๆ ที่เป็นการไหลเวียนพลังเวทได้
“…………”
สำหรับกรณีของฉันซึ่งใช้ ความรู้ ที่ได้รับแบบครึ่ง ๆ กลางมาฝึกสัมผัสพลังเวทนั้น ผลลัพธ์ก็คือ น่าจะใกล้คุ้นชินกับการไหลของพลังเวทแล้วละมั้ง
ขืนเป็นแบบนี้คงเป็นการยากหากจะเรียนรู้ศาสตร์เวทแบบเต็มที่ อย่างที่เคยคิดไว้เลย ถ้าสัมผัสจากพลังเวทอันทรงพลังของคนอื่นก็น่าจะจับจุดได้ไวขึ้น
“นี่ ใช้เวทแกร่ง ๆ ได้รึเปล่า”
“นั่นน่ะน้า ศาสตร์เวทของฉันก็ไม่ได้ดีเด่อะไรมาก เอาเป็น [เสริมกำลังกาย] ไหม เวทนี้ใช้พลังเวทพอสมควรเลยทีเดียว”
“ใช้ตอนนี้เลยได้ไหม”
“ก็ได้อยู่หรอก แต่ว่า…. เอาเถอะ เดี๋ยวใช้ให้ดูก็ได้ แต่ถอยไปหน่อยล่ะ เพราะว่ามันอันตราย”
อันตรายเหรอ ถ้าจำไม่ผิด เสริมกำลังกายน่าจะเป็นสกิลที่ทำให้พลังเวทไหลเวียนทั่วร่างแล้วเพื่อเพิ่มศักยภาพของร่างกาย แล้วทำไมถึงเป็นอันตรายได้กันนะ ระหว่างนั้นก็ถอยออกมาสองสามเก้าทั้งที่ไม่เข้าใจ ตอนนั้นเองก็รู้สึกได้ว่าทั่วร่างของคุณลุงเอ่อล้นไปด้วยพลังก่อนจะระเบิดออกมา พัดเปลวเพลิงบนกองไฟจนสั่นไหวอย่างรุนแรง
“…สุดยอด”
นี่น่ะเหรอ [เสริมกำลังกาย] แค่มองอย่างเดียวก็รู้สึกถึงจิตคุกคามได้ ฉันเดินเข้าสัมผัสแขนของชายคนนั้นแบบไม่คิดอะไรราวกับถูกดึงดูด แล้วคุณลุงก็เบิกตาขึ้นด้วยความตกใจ
“เฮ้ย !?”
จังหวะนั้นเอง มือที่ฉันใช้สัมผัสก็รู้สึกเปรี๊ยะก่อนจะกระเด็นออก ร่างกายล้มกลิ้งไปข้างหลัง
“เจ้าหนู !”
คุณลุงรีบรุดเข้ามาด้วยความตระหนก ไม่มีบาดแผลอะไรแต่ที่มือยังรู้สึกเจ็บ ๆ ชา ๆ อยู่ คุณลุงกล่าวเทศนาฉันที่กำลังมึนงงอยู่
“บอกให้อยู่ห่าง ๆ ไม่ใช่รึไง ! ถ้าใช้พลังเวทเป็นก็ยังพอว่า แต่นี่ยังเป็นเด็กเล็กที่ไม่คุ้นเคยกับพลังเวท ก็ต้องโดนแรงสะท้อนเข้าน่ะสิ”
“อืม… ตกใจหมดเลย”
ถึงจะตกใจแถมยังเจ็บอีกนิดหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับขยับตัวไม่ได้เลย ฉันลุกขึ้นยืนพลางนิ่วหน้า ขยับนิ้วเพื่อทำให้หายชา เห็นคุณลุงมองมาด้วยสีหน้าเอือมระอา
นั่น… ไม่สิ นี่ ก็คือพลังเวทอย่างนั้นเหรอ แม้จะเพียงเล็กน้อย แต่ก็สัมผัสถึงพลังเวทในกระแสเลือดได้ อย่างที่คิดไว้เลย สมมุติฐานที่ว่าในเลือดจะมีพลังเวทอยู่นั้นเป็นเรื่องจริง
จากความรู้ของผู้หญิงคนนั้น เมื่อตระหนักถึงเส้นเลือดแดงและเส้นเลือดฝอยที่กระจายอยู่ทั่วร่างแล้ว พลังเวทที่กระจายตัวอยู่เบาบางก็จะมาควบแน่นในกระแสเลือดจนค่อย ๆ รู้สึกได้ชัดเจนขึ้น
เมื่อพลังเวทเข้าไปรวมที่หัวใจพร้อมกับเลือดจากทั่วร่างแล้ว พลังเวทก็จะค่อย ๆ ทรงพลังขึ้นตามจังหวะการเต้นของหัวใจ แล้วพอโคจรพลังเวทไปทั่วร่างแล้วก็รู้สึกว่าร่างกายร้อนขึ้นมานิดหน่อย
“เจ้าหนู ! นั่นมันการเสริมพลังกายเหรอน่ะ !? ไม่สิ ยังดูไม่ค่อยเป็นรูปเป็นร่างนัก……”
ดูเหมือนว่าการโคจรพลังเวทไปตามกระแสเลือดนั้น จะทำให้ฉันตกอยู่ในสภาพเลียนแบบการใช้
[เสริมกำลังกาย]
หากเป็นเช่นนี้แล้ว ก็คงจะเรียนรู้เวทดำรงชีพได้ หรือแม้แต่ศาสตร์เวทธาตุเองก็น่าจะเรียนรู้ได้เหมือนกัน
“นี่ พอได้แล้ว การใช้ [เสริมพลังกาย] นั้นแม้จะน้อยนิดแต่ก็กินพลังเวท จะทรุดเอาได้นา”
“อืม……”
แม้ผู้หญิงคนนั้นจะมี [สกิลดาบสั้น] แต่ก็แทบจะไม่ได้ใช้ [เสริมพลังกาย] เลย เป็นเหตุทำให้ฉันมีความรู้ในด้านนี้อยู่น้อยนิด ดังนั้นจึงผงกหัวให้คุณลุงอย่างว่าง่าย
แต่คุณลุงที่เห็นได้ท่าทางของฉันกลับทอดถอนออกมาอย่างเอือมระอา
“คุณลุง ?”
“ไม่ใช่ลุงเฟ้ย เรียกฉันว่าเฟลด์ …เอาเถอะ ถึงจะกลับช้าไปซักหนึ่งวันก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”
คุณลุง หรือก็คือเฟลด์ลุกขึ้นยืน มองลงมาที่ฉัน จากนั้นก็ฉีกยิ้มโหด ๆ ให้
“พรุ่งนี้ทั้งวัน ฉันคนนี้จะฝึกพื้นฐานให้แบบจัดหนักจัดเต็มเลย เตรียมใจไว้ให้ดีล่ะเจ้าหนู”
ว่าไงนะ ?
MANGA DISCUSSION