[WN] Tsukushita Garina Uchi no Yome ni tsuite Dere temo ii ka? - ตอนที่ 36
วันนี้ตั้งแต่เช้าผมเจอปัญหามากมายมาตลอด
อย่างแรกเลย ผมโดนพวกเพื่อนผู้ชายหลายคนจ้องตาเขม็งใส่เวลาเดินผ่าน ไม่เพียงแต่ช่วงพักกลางวันหรือช่วงย้ายคาบเรียน แต่แม้กระทั่งช่วงเวลาเรียนก็ยังสัมผัสได้เลย
ในตอนที่ผมโกหกเรื่องการเป็นเพื่อนสมัยเด็กกับริโกะเรื่องนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก แต่มันก็ยังเทียบไม่ได้กับตอนนี้เลย
*เห้ยดูสิ..หมอนั่นน่ะ*
*เอ๊ะ..จริงด้วยๆ*
นอกจากการจ้องมอง ก็ยังมีเสียงซุบซิบนินทาต่างๆ
อึม..ผมรู้ว่าพวกเขาพูดอะไร
มันไม่เหมาะสมกันอย่างไม่น่าเชื่อใช่มั้ยล่ะ..?
ผมเข้าใจดีเลยแหละ เพราะผมก็รู้สึกแบบเดียวกัน
ถึงกระนั้น ก็ต้องพยายามทำให้ริโกะชอบผม ก็เลยจำเป็นต้องรับบทเป็นคนหูหนวกไปก่อน
แค่นี้สบายมาก!!
อา..ผมไม่สามารถรับมือกับการเป็นจุดสนใจแบบนี้เลย
แต่ผมเชื่อ ว่าจะสามารถผ่านมันไปได้ด้วยดี
ปัญหาที่ยากที่สุดต่อมาคือต้องเคลียร์เรื่องกับซาวะ
“เนี่ยยย!! ทำไมนายไม่ยอมบอกชั้น มันแย่ที่สุด ทำไมชั้นต้องได้ยินว่านายมีแฟนพร้อมกับกันอื่นทั้งๆที่ชั้นควรจะเป็นคนที่ต้องรู้ก่อนแท้ๆ และแถมผู้หญิงคนนั้นยังเป็นเจ้าหญิงริโกะ!!! อ้าาา!! อิจฉา อิจฉา อิจฉาโว้ย”
ทันทีที่บทสวดช่วงแรกหมดลงซาวะรีบกระโดดเข้าไปนั่งเก้าอี้ของผมและเริ่มเกาหัวอย่างบ้าคลั่ง ประกอบกับสายตาของเพื่อนร่วมชั้นที่ทิ่มแทงมาผมจึงตัดสินใตลากซาวะเดินออกไปจากห้องเรียนแล้วไปคุยที่ห้องน้ำแทน
“นี่ซาวะ ใจเย็นๆก่อนนะ ขอโทษจริงๆที่ไม่ได้บอกเรื่องนี้กับนาย อีกคนเป็นถึงขั้นคุณฮานาเอะเลยนะดังนั้นมันก็เลย….”
“อึม…ชั้นเคยบอกนายไปแล้วใช่มั้ย ว่าเจ้าหญิงริโกะน่ะชอบนาย แต่นายกลับบอกว่ามีผู้หญิงอื่นที่ชอบอยู่แล้วทั้งๆที่ตอนนั้นนายแอบมีความสัมพันธ์กับคุณฮานาเอะอยู่”
ผมจะแก้ตัวออกไปยังไงดี…
คำโกหกที่เคยพูดไปในอดีตตอนนี้มันกลับแสดงผลออกมาแล้ว
ผมเงียบอยู่สักพักหมดหนทางการแก้ตัว จู่ๆซาวะกอดออกและหัวเราะออกมา
“ชั้นเข้าใจแล้ว นายไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีก เพราะชั้นรู้ว่านายคิดยังไง!!”
“เอ๊ะ..?”
“แม้ว่านายจะชอบผู้หญิงคนอื่นอยู่ สุดท้ายก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธผู้หญิงที่น่ารักอย่างเจ้าหญิงริโกะได้เมื่อเธอมาสารภาพรัก ใช่มั้ย!!!!”
“…..เอ่อ…ใช่ๆ”
“ชั้นไม่ว่าอะไรเกี่ยวกับพฤติกรรมของนายหรอกน่า”
ไม่รู้ว่ามันเกิดปาฏิหาริย์อะไรขึ้น แต่ผมก็ดีใจที่ซาวะสามารถโน้มน้าวตัวเองได้
แน่นอนว่าสิ่งที่น่าปวดหัวไม่ได้จบเพียงแค่นั้น ช่วงเวลาพักกลางวันซาวะจะเดินเข้ามาถามเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับริโกะ
เขาถามประมาณว่าริโกะสารภาพรักกับผมจริงๆรึเปล่า คบกันมานานแค่ไหนแล้ว
และเนื่องจากผมไม่ได้ตกลงกับเธอในเรื่องนี้ก่อนจึงบอกเพียงแค่ว่า”ยังไม่ต้องการที่จะพูด”
“…ทำไมจะไม่ได้ล่ะ บอกชั้นมาคนเดียวก็ได้”
“ชั้นพูดไม่ได้…ยุ่งยากซะจริง”
“เหตุผลล่ะ..?”
ซาวะซึ่งนั่งอยู่ตรงข้ามเอนตัวเข้ามาหาด้วยความอยากรู้อยากเห็นโดยไม่สนใจอาหารกลางวันเลยแม้แต่น้อย
โรงอาหารก็ยังคงคึกคักเหมือนเดิม
ผมไม่ต้องการให้คนอื่นได้ยินเรื่องที่เราพูดกันนี้
“มินาโตะ….นายมีเหตุผลอะไร..?”
“เอ่อ…คือ มันเป็นเหตุผลที่…แบบว่าคุณฮานาเอะมีส่วนคิดด้วย”
“อะไรกันเนี่ย..! เรื่องแค่นี้ยังต้องถามเจ้าหญิงริโกะเลยเหรอ ถามเธอเรื่องที่จะบอกให้เพื่อนสนิทรู้เองนะแค่ชั้น กับนาย เราสองคน…”
“ขอปฏิเสธ…”
“ไม่นะมินาโตะ!!นี่นายไม่เคยมีแฟนมาก่อนจริงๆใช่มั้ย..”
“แล้วมันจะทำไมเล่า!!!”
“นายคิดว่านายจะเลือกเส้นทางที่ถูกต้องได้ตลอดรึเปล่า..ความรักมันก็เหมือนเกมจีบสาว หากนาย เลือกผิดเพียงข้อเดียว แฟนของนายที่เคยบอกว่าชอบก็จะพูดว่า”มินาโตะ คุณน่าขยะแขยง เราเลิกกันเถอะ”
“….”
“ชั้นจะถามนายอีกครั้ง นายแน่ใจใช่มั้ยว่าจะเลือกเส้นทางที่ถูกต้องด้วยตัวเอง”
ทั้งหมดที่ผมทำได้คือส่ายหัวกลับไป รู้สึกว่าเลือดมันกำลังทะลุออกมาจากเส้นเลือด
มันไม่มีทาง…ไม่มีทางมั่นใจได้เลย,
“แล้ว..ทำไมนายไม่ปรึกษาชั้นล่ะ ชั้นน่ะ เป็นถึงผู้เชี่ยวชาญด้านความรักเลยนะ!!”
“แต่ท่าที่รู้ นายไม่เคยมีแฟนเลยนะซาวะ..”
“ก็ใช่น่ะสิ แต่ชั้นศึกษาด้านวิศวกรรมความสัมพันธ์มาพอควรเลยนะ”
เอ่อ….
ไม่รู้จะพึ่งเขาได้รึเปล่า
ความจริงก็คือการที่มีคนคุยด้วยนิดหน่อย ก็ยังดีกว่าไม่มีใครคุยด้วยเลย
“รอจนกว่าชั้นจะถามเรื่องนี้กับริโกะก่อนโอเคมั้ย แล้วจะมาบอกอีกที..”
“เห้อ…ไม่เป็นไรงั้นขอเปลี่ยนเรื่องดีกว่า”
“เอ่อ…มันออกเรื่องคุยตั้งแต่แรกแล้วไม่ใช่เหรอ”
ดูเหมือนนายจะสนุกกับเรื่องพวกนี้มากเลยนะ…
“ดังนั้น!! คำถามต่อไปของชั้นคือ ทำไมนายไม่ทานอาหารกลางวันกับเจ้าหญิงริโกะตอนพักเที่ยงหล่ะ!!”
“เอ่อ…ทำไมมันไม่ปกติเหรอ”
“นายดูพวกเขาสิ”
ผมมองไปตามที่ซาวะชี้ และสังเกตุเห็นโต๊ะที่ชายหญิงสองคนกำลังรับประทานอาหารกลางวันกันอยู่
“นั่น..คือวิธีที่พวกเขาใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุขถึงแม้จะเป็นแค่ช่วงพักกลางวัน
นักเรียนม.ปลายมีช่วงเวลาของกันและกันต่างจากผู้ใหญ่มันมีข้อจำกัดอยู่ว่าถ้าพวกเขาอยู่นานเกินไปก็จะเป็นการผิดกฏโรงเรียน”
“เข้าใจแล้วคร้าบ..”
“นายไม่ค่อยมีเวลาเลย แม้แต่งานพาร์ทไทม์ ถ้าอย่างนั้นในวันปกตินายก็จะมีเวลาให้เจ้าหญิงริโกะเพียงแค่ตอนกลางวันและตอนกลับบ้านเท่านั้น”
ผมไม่สามารถพูดออกไปได้ว่า”ผมอยู่กับเธอแล้ว”จึงทำได้เพียงยิ้มแหยะๆ
“เฮ้..ปกตินายมีเดทแบบไหนกับเจ้าหญิงริโกะ ชั้นจะไม่บอกใครทั้งนั้น ได้โปรดบอกชั้นที…”
“ก็วันที่….”
ครั้งแรกที่เราสองคนออกไปข้างนอกด้วยกันคือตอนที่เราไปช้อปปิ้งในย่านการค้า และเป็นเพียงครั้งเดียว
ไม่นะ…
ผมควรบอกเขาเกี่ยวกับเรื่องประสปการณ์การเดทในตอนนั้นมั้ย
ไม่..วิธีนี้ไม่ได้ผล ผมไม่เคยออกเดทมาก่อนในชีวิต
ถ้าเป็นแบบนี้อีกไม่นานความจริงก็จะค่อยๆถูกเปิดเผยอย่างแน่นอน
จากนั้นซาวะก็จะถามว่าทำไมต้องโกหกเขาและถ้าไม่ระวัง ผมอาจถูกพบว่าโกหกเรื่องปกปิดความสัมพันธ์ที่แท้จริงของเราด้วย
อึม…ถ้าผมโกหกโดยอิงจากความจริง มันก็อาจได้ผลดีกว่า
“ชั้น…ไม่เคยเดทมาก่อน”
“ห๊ะ..จริงจัง?”
“ใช่ จริงจัง…”
“ทำไม..แล้วรูปถ่ายที่อยู่ในหนังสือพิมพ์นั่นล่ะ..?”
“นั่นเป็นครั้งแรกที่เราออกไปด้วยกัน และนายจะเรียกการช้อปปิ้งในย่านการค้าว่าเดทได้เหรอ…?”
“แล้วทำไมนายไม่ออกเดทล่ะ เพราะกลัวชั้นและคนอื่นๆรู้แบบนี้เหรอ”
ซาวะโดนข้อแก้ตัวดีๆมาให้โดยไม่ได้ตั้งใจและผมก็รีบคว้ามันในทันที
“เอ่อ..ใช่ๆแบบนั้นแหละ”
“เข้าใจแล้ว…ต่อจากนี้นายคงจะออกเดทแบบไม่ต้องกังวลแล้วสินะ”
“เอ๊ะ..?”
“เพราะนายไม่จำเป็นต้องปิดบังอีกต่อไป สุดสัปดาห์นี้ไปเดทกันสิ ชั้นจำได้ว่านายมีเวลาว่าง นายเคยบอกเรื่องนี้แล้ว”
“ไม่…เดียว—”
“นายรู้มั้ยว่าผู้หญิงไม่ชอบผู้ชายที่ไม่สามารถออกเดทได้”
“เอ๊ะ…อย่างงั้นเหรอ?”
“มันชัดเจน ว่าอะไรคือความหมายของการออกเดท?
ถ้าผู้ชายไม่ให้ความบันเทิงหรือความรู้สึกตื่นเต้นใดๆต่อผู้หญิง ในไม่ช้าเธอก็จะค่อยๆสูญเสียความรักไปหรือพูดง่ายๆคือเบื่อนั่นแหละ”
สูญเสียความรักเหรอ…
แต่นั่นจะเป็นเพียงกรณีที่ริโกะเป็นแฟนจริงๆของผมเท่านั้น
ไม่…ถึงชายและหญิงจะไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบนั้นกันพวกเขาจะสามารถให้สิ่งที่ซาวะเรียกว่า”ความบันเทิงและความตื่นเต้น”ได้รึเปล่านะ….
“ถ้าผู้ชายคนอื่นรู้ว่านายไม่ได้ยุ่งเกี่ยงกับเจ้าหญิงริโกะที่โรงเรียนแล้วก็ไม่ได้ออกเดท มันก็มีความเสี่ยงสูงที่พวกนั้นจะมาตามติดเธอ อย่างไรก็ตามตอนนี้เธอมีแฟนแล้ว เขาเป็นผู้ชายธรรมดาๆชื่อ นิยามะ มินาโตะ ถ้านายไม่ระวังเรื่องนี้นะโอกาสที่เจ้าหญิงริโกะจะถูกมองเหมือนตอนแรกก็อาจกลับมา”
“นั่นมันแย่สุดๆเลยนะนั่น…”
“นายรู้ ว่ามีแม้กระทั่งผู้ชายที่ไม่แคร์ว่าจะมีแฟนหรือไม่มี อย่างน้อยนะ นายก็ไม่ควรปล่อยให้เขาคิดว่าความสัมพันธ์ของนายไม่มีช่องว่าง”
“นี่ต้องการจะให้ชั้นทำอะไรกันแน่?”
“แค่กินข้าวกลางวันด้วยกัน เดินกลับโรงเรียนพร้อมกัน จงแสดงให้พวกเขาเห็นว่าทั้งสองคน เป็นคู่รักที่ยอมเยี่ยมและไม่มีใครมาขวางได้!!”
“อ้อ…เขาใจแล้ว”
ถึงมันจะลำบากหน่อยๆ
แต่ผมจะไม่จะไม่ยอมให้ริโกะถูกแย่งไปอย่างแน่นอน ดังนั้น คิดว่าเป็นส่วนหนึ่งของการพยายามให้ริโกะชอบก็แล้วกัน
“ตกลง เข้าใจแล้ว วันนี้ชั้นจะชวนเธอกลับบ้านด้วย”
“ใช่!!!แบบนั้นแหละ!! และหากมีโมเม้นต์หวานๆอะไรสามารถรายงานให้ชั้นทราบได้”
ซาวะปัดบ่าของเขาด้วยท่าทางแสดงถึงความเป็นผู้เชี่ยวชาญ ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนโฟกัสไปที่การเพลิดเพลินกับความสัมพันธ์ของผมในรูปแบบความบันเทิงแทน
มันเป็นปกติ…เขาชอบพูดเรื่องความรัก
ซาวะ ปลื้ม ริโกะมาโดยตลอด พูดตามตรงผมกังวลว่าเขาจะโกรธเมื่อได้ยินว่าเราคบกัน แต่เเทนที่จะโกรธเขากลับแสดงความยินดีให้
มันทำให้ผมรู้สึกขอบคุณเขามาก ยังไงก็ตามเขาเป็นคนเดียวที่ผมสามารถพูดคุยอะไรแบบนี้ได้ ดังนั้นผมจึงไม่สามารถเพิกเฉยต่อเขาได้
ถึงกระนั้นมันก็ไม่ถึงขั้นต้องรายงานรายละเอียดต่างๆให้ใช่ไหม?…
แต่ถึงแม้ผมกับริโกะจะกลับบ้านด้วยกัน มันก็ไม่มีทางเกิดเหตุการณ์หวานเปรี้ยวแบบที่ทำให้ซาวะมีความสุขได้หรอก
ผมพยายามจะมองโลกในแง่ดี แต่วันนี้กลับกลายเป็นว่ามันทำให้ผมหดหู่….
===
หลังเลิกเรียนผมตัดสินใจรวบรวมความกล้าเดินไปห้องของริโกะมุ่งหน้าไปที่นั่งของเธอ ตัดผ่านกลุ่มเพื่อนๆหลายคนโดยไม่สนใจ [AzaleaNize :เอ่อ…คือประมาณว่าห้องทั้งสองคนอยู่ตรงข้ามกันและมีโถงทางเดินคั่นกลางน่ะ!!!!]
ริโกะกำลังเตรียมเก็บของกลับบ้านอย่างสบายๆ เงยหน้าขึ้นมองเมื่อสัมผัสถึงคนที่ยืนอยู่ด้านหน้าโต๊ะของเธอ
“เอ…เอ่อ..คุณริโกะ..ถ้าคุณไม่รังเกียจล่ะก็…คุณอยากกลับบ้าน..กับผมมั้ยครับ.—?”
เมื่อผมเอ่ยปากพูดออกไปด้วยเสียงตะกุกตะกักแสดงให้เห็นว่าเราเป็นคู่รักกัน
แต่มันก็คงยังน่าอายที่จะเป็นศูนย์กลางของความสนใจ
ผมอาย…ผมรีบหันหน้ากลับไปทันที ขณะที่ผมกำลังนึกเสียใจกับตัวเองอยู่นั้น
รู้สึกเหมือนมีคนดึงชายเสื้อเครื่องแบบไว้อยู่
เมื่อหันหลังกลับพบว่าเห็นมือของริโกะกำลังดึงไว้และมองมาที่ผมด้วยดวงตาที่เขินอาย
“ไม่ใช่ความฝัน…คุณมินาโตะชวนฉันกลับบ้านจริงๆใช่มั้ย…”
“……”
ทำไมเธอต้องน่ารักแบบนี้ด้วยนะ…
ใบหน้าของผมละลายไปด้วยความสุข ในตอนที่ผมกำลังอ้าปากค้างเพราะความน่ารักของริโกะ ก็ได้ยินเสียงถอนหายใจจากกลุ่มผู้ชายข้างๆ
เมื่อผมมองไปรอบๆด้วยความประหลาดใจ พบว่าพวกเขากำลังมองริโกะด้วยสีหน้าท้อแท้
ถึงเธอจะมีแฟน(ตัวปลอม)แล้วก็ตาม
แม้ว่าเธอจะไม่ใช่แฟนของผมจริงๆ แต่ริโกะก็เป็นภรรยาของผม(แค่ในทะเบียนสมรส)
พอครุ่นคิดอยู่สักพักก็เดินออกมาทันที
ผมถูกเห่เสียงเชียร์จากคนรอบอย่างรวดเร็ว แต่แล้วใครจะสนหล่ะ..?
“คุณริโกะ รีบไปกันเถอะครับ”
พร้อมรีบมุ่งหน้าเดินไปทางเข้าห้องเรียน
“อ๊ะ…คุณมินาโตะคะเดี๋ยวก่อน”
ริโกะตามผมมาอย่างรวดเร็วและเข้ามาเกาะแขนผมไว้แน่นราวกับว่าเธอไม่อยากให้ผมทิ้งเธอไว้ข้างหลัง
“…..”
“ในเมื่อเราเป็นคู่รักกันแล้ว เรื่องแค่นี้คงไม่แปลกใช่มั้ยคะ..”
เธอพูดออกมาอย่างซุกซนพร้อมกับแลบลิ้นออกมาเล็กน้อย พร้อมเสียงของคนทั้งห้องสั่นคลอนอีกครั้ง ผมจึงพาเธอรีบเดินออกมาเพื่อหนีเสียงนั้น
===
ริโกะเดินไปเปลี่ยนรองเท้าที่ประตู แต่ไม่นานเธอก็เดินกลับมาอยู่ข้างๆผม
ต่างจากห้องเรียน ตอนนี้ไม่มีใครอยู่รอบๆ ไม่จำเป็นต้องคล้องแขนอีกต่อไป
“คุณมินาโตะ…เท่มากๆเลย”
“เอ๊ะ…กำลังพูดถึงอะไรอยู่เหรอครับ”
“พูดตามตรงนะคะ ฉันตื่นเต้นมากเลยตอนที่คุณชวนฉันออกมา ฮิฮิ…”
“อึ้ม…คุณริโกะขอบคุณนะครับ”
“เอ-เอ๊ะ..?”
“เห็นมั้ยครับ ตอนคุณเข้ามากอดแขนผมไว้มันเหมือนเป็นการอวดความสัมพันธ์ของเราเลย”
“อวดความสัมพันธ์…?”
ริโกะเอียงศีรษะของเธออย่างสงสัย จากนั้นผมจึงอธิบายสิ่งที่คุยกับซาวะให้ฟัง
“อ้อ..เข้าใจแล้วค่ะ นั่นคงเป็นเหตุผลที่คุณมินาโตะชวนฉันกลับบ้านใช่มัย…”
“ก็…ประมาณนั้นล่ะครับ แต่หลังจากนี้ไม่ค่อยมีคนแล้วคงไม่ต้องลำบากคล้องแขนอีกแล้วนะครับ”
“ไม่เอา…ไม่ได้ค่ะ”
ผมบอกเธอไปว่าเราไม่จำเป็นต้องทำแบบนี้ต่อแล้ว
ด้วยเหตุผลบางอย่าง ริโกะเอาค่อยๆปล่อยมือออกจากแขนแล้วจับมือขอผมไว้โดยให้นิ้วของเราพันกัน
“ว-โว้ววว!!?..”
นี่สินะ..ที่เรียกว่าการจับมือแบบคู่รัก
“วันนี้กลับบ้านแบบคูรักกันเถอะ โอเคมั้ยคะ”
“แต่ว่า..มันคงไม่มีใครมองหรอกครับ”
เมื่อผมตอบว่าไม่เป็นไร ริโกะเอาริมฝีปากมาแนบใกล้ๆหูของผมแล้วกระซิบเบาๆว่า
“ไม่มีทางที่จะรู้ว่าใครกำลังดูอยู่ เพราะงั้นต้องทำแบบนี้ตลอดจนกว่าจะถึงบ้านค่ะ…”
“ออ…เข้าใจแล้วครับ…”
ผู้คนจะเห็นหรือไม่เห็นนั้นไม่สำคัญอีกต่อไป
เพียงแค่จับมือเธอและเดินกลับบ้านอย่างเป็นธรรมชาติที่สุดก็พอแล้ว
ผมเก็บความคิดนั้นไว้กับตัวเองและจับมือเธอไว้แน่นโดยไม่ปล่อยและเดินออกมาพร้อมกันจากอาคารเรียน
แล้วพวกเราทั้งสองคนก็เดินจับมือกันแบบนี้จนถึงอาพาร์ตเมนต์….
จบ!!!! นั่งพิมพ์อยู่3ชั่วโมงครึ่งอาาาปวดนิ้ววว