ตอนที่ 2
ตอนที่ 2 หลบหนี
ดูเหมือนโลกใบนี้จะคล้ายคลึงกับโลกที่อยู่ใน โอโตเมะเกม ที่มีชื่อว่า สะดุดรักปีกสีเงิน หรือเรียกสั้น ๆ ว่า รักสีเงิน
ไม่ค่อยเข้าใจนักหรอกว่าโอโตเมะเกมคืออะไร เหมือนว่าในโลกของเกมที่คล้ายเรื่องเล่าที่มีภาพประกอบนั้น ตัวเอกจะคอยช่วยเหลือและรับการสนับสนุนจากผู้ชายและคอยจับผู้ชายหลายต่อหลายคน
ไม่เคยนึกเลยว่าจะมีคนไร้ยางอายเช่นนั้นอยู่จริง ๆ แต่จาก ข้อมูล ที่ได้จากผู้หญิงคนนั้นแล้ว เหมือนว่าฉันจะเป็นนางเอกคนนั้นเองแหละ
นางเอกในเกมมีชื่อเดียวกับฉันคือ อาลิเซีย เหมือนในเกมจะมีนามสกุลด้วย น่าจะได้มาเพราะถูกรับไปเลี้ยงในตระกูลชนชั้นสูง
จาก ความรู้ แล้ว ดูเหมือนว่าคุณแม่จะมาจากตระกูลชนชั้นสูง แล้วไปตกหลุมรักกับคุณพ่อที่เป็นอัศวินฝึกหัด จากนั้นก็หนีตามกันมา
ในตัวฉันจึงมีสายเลือดของชนชั้นสูงไหลเวียน อีกทั้งยังมีญาติสายเลือดเดียวกันอยู่ ดังนั้น หากต้องการก็สามารถไปใช้ชีวิตที่สุขสบายกว่าปัจจุบันได้เสมอ หากเป็นฉันคนก่อนซึ่งไม่รู้ประสีประสาอะไรเลยละก็ ชนชั้นสูงก็คือตัวเหมือนเมฆบนฟ้า แม้จะกลัวอยู่บ้าง แต่ก็เฝ้าฝันถึงการได้ใช้ชีวิตแบบเจ้าหญิง
แต่ว่าตัวฉันในตอนนี้ที่ได้รับ ความรู้ มานั้น กลับมองว่าการใช้ชีวิตของชนชั้นสูงนั้นช่างน่ากลัวมากกว่าน่าใฝ่ฝัน และคิดว่าเป็นตัวตนที่ดูยุ่งยากน่ารำคาญ
ยิ่งไปกว่านั้น ฉันไม่คิดจะใช้ชีวิตโดยถูกชักนำโดย ‘โชคชะตา’ ของ โอโตเมะเกม ที่ผู้หญิงคนนั้นคลั่งไคล้หรอกนะ
แม้ผู้หญิงคนนั้นจะปักใจเชื่อว่าโลกใบนี้คือโลกในเกมก็ตาม แต่สำหรับฉันที่ได้รับความรู้มานั้น โลกพรรค์นั้นน่ะไม่มีทางเป็นจริงอยู่แล้ว
ฉันก็คือฉัน ไม่ใช่ตัวละครในเกม เป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ดำรงอยู่บนโลกแห่งนี้
ฉันจะฝืนโชคชะตา เอาชีวิตรอดด้วยตัวคนเดียวให้ดู ด้วย ความรู้ ที่มีอยู่นี้
ถ้านี่เป็นเรื่องจริงละก็ เพื่อไม่ให้ไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องเกม ควรต้องตรวจสอบข้อมูลในระดับหนึ่งก่อน ส่วนความรู้ที่เกี่ยวข้องกับชาติก่อนของผู้หญิงคนนั้นก็ช่างเลือนรางเหลือเกิน ถ้าไม่ฝังหินเวทที่มีความรู้และตัวตนของผู้หญิงคนนั้นลงไปในหัวใจก็จะไม่มีทางรู้ข้อมูลส่วนนั้นเลยหรืออย่างไรนะ
หรืออาจเป็นเพราะว่าฉันต่อต้านผู้หญิงคนนั้นจนเผลอปฏิเสธไม่รับส่วนหนึ่งของแก่นแท้ของผู้หญิงคนนั้นไว้ เลยทำให้ไม่ได้รับความรู้ส่วนนั้นมา
แต่ฉันก็ทุบหินเวทก้อนนั้นแล้วโยนลงคูน้ำไปแล้ว แต่ถึงจะไม่ได้ทำลายหินก้อนนั้นทิ้งไป ฉันก็ไม่มีความคิดจะสัมผัสมันเป็นครั้งที่สองอยู่ดี
ถึงอย่างนั้น พอนำความรู้ในเกมอันเลือนรางมาเชื่อมโยงกับความรู้ในเรื่องราวอื่น ๆ ดูแล้ว ก็พอจะเห็นเนื้อเรื่องโดยรวมได้
นางเอกผู้ที่ทั้งอ่อนโยนและสดใส ทั้งยังผ่านเรื่องลำบากมามากนั้น ความจริงเป็นเด็กที่เกิดจากการตกหลุมรักและหนีตามกันของบุตรีแห่งตระกูลชนชั้นสูงตระกูลหนึ่งกับอัศวินฝึกหัด และเพราะพ่อแม่ตายระหว่างการปะทุของสัตว์อสูร จึงทำให้เธอต้องไปใช้ชีวิตอยู่ที่โบสก์ในฐานะเด็กกำพร้า
และหลังจากผ่านเรื่องราวต่างๆ นานา เธอก็ถูกชนชั้นสูงพบตัว ได้ไปโรงเรียนที่มีแต่ทายาทชนชั้นสูงไปเรียนกัน จากนั้นก็ได้ไปผูกมิตรกับเจ้าชายและผู้ติดตาม จากนั้นก็ถูก นางร้าย อะไรสักอย่างที่เป็นคู่หมั้นของเจ้าชายรังแกเข้า แล้วก็ได้รับพรคุ้มครองจากดันเจี้ยน แล้วก็ไปผจญภัยปราบจอมมารอะไรสักอย่าง แล้วก็ไปทำอะไรนู่นนี่นั่นจนได้แฮปปี้เอนด์ เป็นเรื่องราวอันแสนจะเหลวไหล
ไร้สาระสิ้นดี มนุษย์เราต่อให้ไม่ได้เป็นชนชั้นสูง ต่อให้ไม่ได้แต่งงานกับพระราชา ก็ยังมีชีวิตอยู่ได้
จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาบอกว่าฉันเกิดมาเพื่อเรื่องราวไร้สาระแบบนี้หรอก
*
ก่อนอื่น ฉันว่าจะมุ่งหน้าไปยังเมืองข้างเคียงที่อยู่ในความรู้ของผู้หญิงคนนั้น
จากความรู้ของผู้หญิงคนนั้น เหมือนว่าที่นี่คือประเทศเครเดล ซึ่งตั้งอยู่บนทวีปธาร์ส และโลกใบนี้จะมีชื่อว่า ชิเอล บริเวณที่ฉันอยู่ตอนนี้คืออาณาเขตของบารอนซึ่งอยู่ทางใต้สุดของเครเดล ส่วนเรื่องยิบย่อยอย่างชื่อสถานที่นั้นหล่อนไม่ได้จำเอาไว้เลย
ที่คิดย้ายไปยังเมืองข้างเคียงนั้นเป็นเพราะว่าเมืองที่เคยอาศัยอยู่นั้นให้ความรู้สึกเหมือนกับเป็นหมู่บ้านขนาดใหญ่มากกว่า หากเป็นเมืองข้างเคียงซึ่งมีผู้ปกครองเป็นบารอนแล้วละก็ คิดว่าที่ซ่อนสำหรับฉันที่เคยคร่าชีวิตคนคงมีอยู่มาก
ความจริงแล้วก็อยากจะออกไปจากเขตของบารอนก่อนจะถูกชนชั้นสูงพบตัวอยู่หรอก แต่เด็กอย่างฉันคงเดินทางไปไหนไกลไม่ได้ การจะเข้าเมืองที่ล้อมไปด้วยกำแพงเองก็ต้องจ่ายเหรียญเงินหนึ่งเหรียญเป็นค่าภาษีต่อการเข้าหนึ่งครั้ง …ที่จริงเมืองเล็ก ๆ ที่ฉันเคยอยู่นั้นเหมาะสมที่สุดแล้ว
การข้ามจากเขตบารอนไปยังเขตอื่นเองก็ต้องจ่ายภาษีเช่นกัน ตามปกติแล้วสามัญชนมักจะไม่เดินทางไปไหน
แต่มีวิธีหลีกเลี่ยงการจ่ายค่าผ่านทางอยู่
หากจ่ายภาษีที่เหมาะสมกับรายได้ต่อปีของตนให้กับเจ้าผู้ครองที่ดินเพื่อรับสิทธิ์การเป็นพลเมืองมาได้แล้วก็จะสามารถย้ายไปอยู่ที่ไหนก็ได้ภายในอาณาเขต หรือจะซื้อสิทธิ์การค้าขายจากสมาคมการค้าก็ได้ ถ้าเป็นพ่อค้าก็จะได้รับการลดภาษีเมื่อไปยังเขตอื่นด้วย
แล้วก็สมาคมนักผจญภัย เมื่อลงทะเบียนแล้วเพิ่มแรงก์ให้สูงขึ้นก็จะสามารถไปที่ไหนก็ได้อย่างอิสระภายในประเทศ
แน่นอนว่าจู่ ๆ จะให้กลายเป็นแรงก์สูง ๆ เลยก็คงเป็นไปไม่ได้ แต่เหมือนว่าแค่ [แรงก์ 1] ซึ่งอยู่ในระดับแรก ๆ ก็สามารถเข้าออกเมืองที่ลงทะเบียนไว้ได้อย่างตามใจชอบแล้ว
สมาคมนักผจญภัย คือองค์กรที่มีรากฐานจากสมาคมทหารรับจ้างซึ่งเดิมทีได้รับการสนับสนุนจากสมาคมการค้า ส่วน นักผจญภัย ก็คือคนหนึ่งคนหรือคนกลุ่มเล็ก ๆ ที่คอยกำจัดสัตว์อสูรไปพร้อมกับสำรวจหาซากโบราณสถานหรือไม่ก็สถานที่ ๆ ยังไม่มีใครพบมาก่อน เป็นกลุ่มทหารรับจ้างที่เชี่ยวชาญด้านการสำรวจค้นหา
ทว่าตอนนี้ดูเหมือนจะกลายเป็นแค่คนที่บุกรุกโบราณสถานไปเรื่อย คอยจัดหาหินเวทที่ได้จากสัตว์อสูรตามความต้องการของเมืองเหมือนคนหาแร่ กลายเป็นคนที่ทำไปหมดทุกอย่างเสียแล้ว แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีกลุ่มนักผจญภัยหัวกะทิแรงก์สูงที่กำจัดสัตว์อสูรสุดแกร่งได้ ซึ่งคนกลุ่มนี้นี่แหละที่ได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตาม การจะลงทะเบียนกับสมาคมนักผจญภัยนั้น สำหรับขั้นต่ำสุด [แรงก์ 1] เหมือนว่าจำเป็นจะต้องมีสกิลต่อสู้อย่างน้อยเลเวล 1 ขึ้นไป
….. ‘สกิล’ อย่างนั้นเหรอ
ฉันเอียงคอด้วยความฉงนให้กับคำ ๆ นี้ที่ลอยเข้ามาในหัวแบบไม่ได้คิด คงเพราะก่อนหน้านี้ฉันเป็นเด็กกำพร้าที่ไม่มีความรู้หรือความฉลาดถึงได้ไม่รู้จักสิ่งที่เรียกว่าสกิล แต่ว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาพิจารณาเรื่องพวกนี้ ขอเก็บเอาไว้ไปคิดทีหลังก็แล้วกัน
เป้าหมายแรกคือ เลือกเพิ่มสกิลต่อสู้อะไรก็ได้ให้ขึ้นเลเวล 1 แล้วไปเป็นนักผจญภัย อย่างไรก็ตาม ถึงแม้ว่าการอยู่เมืองนี้จะอันตราย แต่การมุ่งไปยังเมืองข้างเคียงในสภาพแบบนี้ก็เป็นปัญหาไม่แพ้กัน
อย่างแรกเลยก็คือ ตอนนี้ตัวฉันเป็นแค่เด็กน้อยธรรมดาคนหนึ่ง ต่อให้เข้าเมืองไปได้ แต่ก็เป็นแค่เด็กเจ็ดขวบเท่านั้น ในท้ายที่สุดก็จะถูกผู้ใหญ่ชั่วหลอกเอาไปขายไม่ก็ถูกหลอกไปฆ่า
ดังนั้นก่อนจะเข้าไปในเมือง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องมีพลังมากพอที่จะหนีจากคนที่มีพลังระดับนักเลงอันธพาลให้ได้เสียก่อน ถ้าเป็นไปได้ก็อยากได้สกิลต่อสู้ด้วยเลย แต่การเรียนรู้สกิลด้วยการใช้ ความรู้ เพียงอย่างเดียวก็คงไม่ใช่เรื่องง่ายดายนัก
ก่อนอื่นก็อยากตรวจสอบสิ่งที่ฉันในตอนนี้ทำได้กับไม่ได้เสียก่อน จึงหาที่ซ่อนซักที่ในทางหลักที่เชื่อมระหว่างเมืองบ้านนอกกับเมืองข้างเคียง
ทางทิศเหนือตรงข้ามกับเมืองข้างเคียง เหมือนว่าหากเข้าไปในระยะหนึ่งก็จะมีสัตว์อสูรโผล่ออกมา ถ้ายังอยู่บริเวณนี้อย่างน้อยก็ยังไม่มีสัตว์อสูรออกมาให้เห็น ถึงมีโผล่ออกมาก็เป็นแค่ระดับหมาป่าเท่านั้น แถมยังมีทหารคอยตรวจตราอยู่ด้วย ดังนั้นหากไม่เข้าไปยังส่วนลึกของป่าก็แทบจะไม่มีทางได้พบเลย และความจริงที่กังวลก็ไม่ใช่หมาป่าซึ่งมีโอกาสพบเจอน้อย แต่เป็นทหารที่คอยลาดตระเวนอยู่ต่างหาก
เหมือนว่าถ้ารีบนั่งรถม้าในออกไปตอนเช้าก็จะไปถึงเมืองข้างเคียงได้ในช่วงเย็น ๆ ถ้าอย่างนั้น หากเดินเท้าไปก็น่าจะใช้เวลาเกือบสองวันได้ และถ้าเป็นขาของเด็กน้อยคู่นี้ละก็ เวลาที่ใช้ก็น่าจะต้องเพิ่มขึ้นไปอีกเป็นเท่าตัว
ถ้าไกลขนาดนั้นระหว่างทางก็คงจะมีสถานที่แบบค่ายพักแรมอยู่ และที่แบบนั้นก็น่าจะมีแหล่งน้ำอยู่ใกล้เคียง จึงให้ที่นั่นเป็นจุดหมายแรก
ได้ยินเสียงระฆังจากหอนาฬิกาของเมืองดังเหง่งหง่างขึ้นมาจนถึงสองครั้ง สติที่หดหายไปกึ่งหนึ่งก็ฟื้นตัวขึ้น
เสียงระฆังจะดังทุกสี่ชั่วโมง ครั้งแรกดังขึ้นเมื่อตอนเที่ยงคืน ดังนั้นครั้งที่สองซึ่งดังขึ้นเมื่อครู่จึงหมายถึงเวลาตีสี่
ชาวไร่ชาวสวนจะตื่นนอนเมื่อระฆังครั้งนี้ดังขึ้น ส่วนชาวเมืองจะเริ่มทำงานตอนที่ระฆังดังบอกเวลาแปดโมงเช้า เด็กกำพร้าทั้งหลายที่โบสก์จะตื่นขึ้นตอนตีสี่เพื่อเริ่มทำงาน ส่วนแม่เฒ่าจะตื่นขึ้นตอนแปดโมงเช้า ดังนั้นกว่าจะมีคนรู้ถึงการตายของแม่เฒ่าก็คงใช้เวลาไปอีกพักหนึ่ง
หลังตรวจดูว่าฟ้าสว่างเรียบร้อยแล้วก็ออกมาจากป่าที่เคยซ่อนตัวอยู่ จากนั้นก็ออกเดินเลียบไปกับทางหลักเพื่อมุ่งสู่เมืองข้างเคียง
ไม่รู้ว่าค่ายพักแรมอยู่ห่างออกไปมากแค่ไหน และคิดเอาไว้ว่าด้วยขาของเด็กคู่นี้ก็คงจะไปถึงช่วงกลางดึก แต่ว่าเหมือนฉันจะประเมินพลังกายของเด็กสูงไปหน่อย
เดินมาได้สี่ชั่วโมง ฉันคิดว่าตัวเองพยายามมากแล้ว แต่พอฟ้าสว่างพร้อมกับได้ยินเสียงระฆังดังครั้งที่สามมาแต่ไกลฉันก็มาถึงขีดจำกัดจนต้องนั่งลงไปกับพื้น
ก็นะ พอลองสงบใจคิดดูแล้ว ไม่มีอาหารดี ๆ แถมยังหลับไปได้นิดเดียว เด็กน้อยอย่างฉันคงจะเดินติดกันหลายชั่วโมงได้อยู่หรอก
พอรู้สึกปวดหัวจี๊ดแถมยังตาลายไปหมดก็คิดได้ว่าท่าจะไม่ดี หลังทุบขาที่สั่นเพราะหมดแรง ฉันก็ซ่อนตัวลึกเข้าไปในป่าซึ่งห่างไปจากทางหลักอยู่หลายเมตร
ฉันปลดสัมภาระลง จากนั้นก็เอนหลังนั่งพิงต้นไม้ต้นใหญ่
“ฟู่ว….”
ผ่อนลมหายใจออกอย่างแผ่วเบา จากนั้นก็หยิบถุงหนังบรรจุน้ำออกมา กระดกน้ำที่มีกลิ่นสาบหนังลงคอเพื่อเติมเต็มความกระหายน้ำ อาจเป็นเพราะในน้ำมีเหล้าผลไม้ผสมอยู่ไว้เพื่อป้องกันการเน่าเสีย ฉันจึงสำลักออกมาอย่างแรง
“-แค่ก แค่ก”
ฉันปรับลมหายใจ อมน้ำไว้ในปากคล้ายทำเพื่อลิ้มรส อาจเป็นเพราะเหล้าผลไม้ ร่างกายของฉันจึงร้อนรุ่ม ส่วนสติก็พลันชัดแจ้งขึ้นมา
ในขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ถึงความหิวอย่างรุนแรง ในหมู่อาหารของแม่เฒ่าที่พกไว้ ฉันหยิบขนมปังขาวออกมาเพราะหากผ่านไปนาน ๆ จะขึ้นราได้จึงควรนำมากินก่อน คิดได้ดังนั้นก็กัดเข้าไปคำหนึ่ง รู้สึกได้ถึงรสชาติที่ชวนให้หวนคำนึงไปตอนที่ใช้ชีวิตกับครอบครัวเมื่อก่อน
“…………”
ขนมปังขาวนุ่ม ๆ นั้นเป็นของฟุ่มเฟือย แม้แต่ตอนที่อยู่กับครอบครัวก็ได้กินแค่เวลาเฉลิมฉลองเท่านั้น ตัวฉันที่เคยไร้เดียงสานั้นมักจะคอยตั้งตารอกินเจ้าสิ่งนี้อยู่ตลอด
ก็เคยคิดอยู่หรอกว่ามันแปลก ตอนที่คุณพ่อซึ่งเป็นทหารมักจะขอโทษคุณแม่ในเรื่องที่ไม่ได้ให้กินขนมปังขาวแล้วคุณแม่ก็จะส่ายหัวยิ้ม ๆ แต่ถ้าคุณแม่เป็นชนชั้นสูงตามที่ความรู้ของผู้หญิงคนนั้นบอกเอาไว้ละก็ ก็เข้าใจท่าทีของคุณพ่อได้
ฉันฉีกขนมปังเพื่อกลบเกลื่อนความรู้สึกเหงาน้อย ๆ ที่ผุดขึ้นมา ดื่มน้ำจากถุงเพื่อดับกระหายจนท้องตึง จึงรู้สึกปลอดโปร่งในที่สุด
“…โอ๊ย”
พอใจสงบลงก็นิ่วหน้าด้วยความเจ็บจากที่เท้า เด็กจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าทุกคนนั้นเท้าเปล่า ดังนั้น ด้วยที่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สวมรองเท้าแตะจึงยังไม่ชิน ผิวหนังถูกเสียดสีจนมีเลือดซึมออกมา
เจ็บ…แต่ไม่กลัวหรอก หลังตรวจสอบแล้วว่าไม่ใช่แผลใหญ่โตอะไร ก็ค้นกองสัมภาระหาผ้าเช็ดมือที่ดูสะอาดซึ่งซักเอาไว้แล้ว จากนั้นก็ใช้มีดตัดทำเป็นผ้าพันแผล
ยังมีแผลที่มือที่ได้มาตอนสู้กับผู้หญิงคนนั้นด้วย เมื่อคืนรักษาแบบง่าย ๆ ไว้แล้วก็จริง แต่ก็ล้างแผลด้วยน้ำที่มีเหล้าผลไม้ไปแล้ว ถือโอกาสพันแผลด้วยผ้าที่ทำขึ้นมาไปเลยก็แล้วกัน
…ทั้ง ๆ ที่น่าจะทำได้เพราะมี ความรู้ อยู่ แต่เพราะนิ้วของเด็กนั้นช่างเงอะงะอย่างคาดไม่ถึง จึงใช้เวลาไปพอสมควรกว่าจะเสร็จสิ้น
“…น้ำเหลือน้อยแล้ว”
เพราะนำของมาด้วยมากตอนที่หนีออกมาเลยทำให้เอาน้ำมาได้ไม่เยอะ การรักษาก็จำเป็นต้องใช้น้ำจึงทำให้ลดลงไปพอสมควร
เป็นเพราะนึกเรื่องน้ำดื่มที่เหลืออยู่หรือเปล่านะ ความรู้ จากผู้หญิงคนนั้นถึงได้ผุดขึ้นมาในหัว
เด็กตัวเล็ก ๆ นั้นจำเป็นต้องดื่มน้ำให้มากเหรอ อย่างนี้นี่เอง ถ้าไม่ดื่มน้ำให้มากเข้าไว้ก็จะตกอยู่ในสภาพแบบเมื่อครู่ ลองนึกดูว่าควรทำอย่างไรถึงจะดี ดูเหมือนว่าในพวกผลไม้จะมีน้ำตาลกับ วิตามิน อยู่ กินแล้วจะเป็นผลดี
แม้แต่หล่อนก็ไม่ค่อยจะเข้าใจว่าเจ้า วิตามิน นี่คืออะไร ทั้งที่เป็นเรื่องสำคัญแท้ ๆ เชียว ว่าแต่ไอ้เจ้าผลไม้นี่ จะอยู่ที่ไหนในป่ากันนะ
พอคิดเช่นนั้น ความรู้ ก็ผุดขึ้นมาในหัวอีก พอลองค้นหาดูรอบ ๆ แล้วก็พบพุ่มไม้ที่สูงระหน้าอก และมีผลสีดำอยู่
นั่นคือเบอร์รี่ชนิดหนึ่ง สามารถพบได้ตามตอนใต้ของทวีปซึ่งเป็นที่ตั้งของประเทศนี้
“……เปรี้ยว”
เด็ดมาลูกหนึ่ง ใช้เล็บฉีกเปลือกออกแล้วลองเลียดู มีรสหวานอยู่จาง ๆ เปรี้ยวมาก และมีความฝาดนิดหน่อย เหมือนว่าปกติจะไม่กินแบบสด ๆ แต่เอาไปทำเป็นแยมไม่ก็ตากแห้งแล้วค่อยกินกัน
แต่ก็ไม่ถึงกับกินแบบสด ๆ ไม่ได้เลย หลังตรวจสอบแล้วว่าไม่มีงู ก็ใช้ใบไม้ใบใหญ่ที่เหมือนจะเรียกว่าหญ้าโทโซลมาทำเป็นจานรองเบอร์รี่ดำที่เก็บมา
คงเป็นเพราะหนังท้องตึง ความง่วงจึงเริ่มถาโถมเข้ามา แต่ว่ายังมีเรื่องจำเป็นที่ต้องทำอยู่ ก็คือการจัดระเบียบสัมภาระนั่นเอง
ของที่เอามาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าก็จะมีผ้าและชุดอยู่ประมาณหนึ่ง อาหาร แล้วก็เงินเหรียญอีกหนึ่งจำนวน
ชุดทูนิกที่สวมอยู่ตอนนี้คือชุดที่เด็กทั่วไปสวมกันเป็นปกติโดยไม่มีการแบ่งแยกหญิงชาย แม้ชุดนี้จะใหญ่ไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้เป็นปัญหาอะไร
เหตุผลที่ในห้องของแม่เฒ่าถึงมีชุดเด็กอยู่น่ะเหรอ เพราะตอนนี้ฉันมี ความรู้ แล้วถึงได้รู้ว่า ชุดพวกนี้แม้จะเก่าแต่ก็ใช้ผ้าที่ดี แม่เฒ่าคงจะเอาชุดพวกนี้ให้เด็กกำพร้าใส่ตอนที่ ขาย ออกไป
ขนมปังขาวเหลืออยู่หนึ่งก้อน นอกจากนี้ก็มีเนื้อตากแห้งและชีสแห้งหนึ่งก้อน แบ่งเป็นส่วนละนิดละหน่อยก็น่าจะพอกินไปได้อีกสามวัน
ในส่วนของเงิน เมื่อรวมเข้ากับของผู้หญิงคนนั้นแล้วก็จะมี เหรียญเงิน 15 เหรียญ เหรียญเงินเล็ก 8 เหรียญ แล้วก็เหรียญทองแดงอีก 13 เหรียญ อาหารจากร้านค้าและแผงลอยใช้เหรียญทองแดงเพียงไม่กี่เหรียญเท่านั้น ส่วนเหรียญเงินหนึ่งเหรียญสามารถพักที่โรงเตี๊ยมได้ถึงสามวัน เงินที่มีอยู่มีมากพอสมควรเลย
ต่อมาก็ตรวจสอบถุงสัมภาระเจ้าปัญหาของผู้หญิงคนนั้นว่ามีอะไรบ้าง
ฉันโยนชุดชั้นในที่ดูสกปรกทิ้งไปที่บริเวณใกล้ ๆ เพราะมันน่าขยะแขยงเกินทน ค้นลึกลงไปในถุงก็พบเข้ากับห่อพืชหญ้าแห้งกับขวดยาดินเผาที่ดูเหมือนจะเป็นโพชั่นสองขวด นอกจากนี้ยังมีสมุดเล่มเล็ก ๆ ที่เหมือนจะเอาไว้จดบันทึก
“……แปลก”
พอได้เห็นสมุดเล่มนี้ ตัวฉันซึ่งถือครอง ความรู้ ก็พลันเกิดความรู้สึกดังกล่าวขึ้นมา
หนังสือเป็นของมีค่า แต่ก็ไม่ใช่ของประหลาดอะไร จาก ความรู้ แล้ว ในทวีปสมัยก่อนจะใช้กระดาษหนังซึ่งทำมาจากหนังสัตว์ จากนั้นก็เปลี่ยนมาใช้กระดาษที่ทำจากพืชตั้งแต่ 120 ปีก่อน ซึ่งปัจจุบันก็ใช้กันอย่างแพร่หลาย
พืชที่ใช้เป็นวัสดุก็คือหญ้าโทโซลที่ใช้เป็นจานไปเมื่อครู่นี่เอง หญ้าชนิดนี้มีใบใหญ่และอ่อนนุ่ม จึงมักถูกนำมาใช้หลังปลดทุกข์ตั้งแต่สมัยก่อนแล้ว
ในความเป็นจริงแล้วฉันก็เคยใช้เช่นกัน แต่นอกจากการใช้แบบนี้ก็อาจกล่าวได้ว่าไม่มีวิธีใช้แบบอื่นอีก เพราะว่าใบของหญ้าต้นนี้อ่อนนุ่มแต่ก็มีเส้นใยที่ยาว ซึ่งมีแต่แพะภูเขาเท่านั้นที่จะกินหญ้าชนิดนี้
ว่ากันว่ามีชนชั้นสูงจากสมัยก่อนไม่อยากใช้ใบไม้ทำความสะอาด จึงสั่งให้นักแปรธาตุทำวิจัย นำไปบดให้ละเอียดแล้วต้ม จนกลายเป็นต้นกำเนิดกระดาษที่ทำจากพืช
เจ้าหญ้าโทโซลต้นนี้เมื่อนำไปทำให้ร้อนแล้วทั้งสีและกลิ่นจะจางหายไป กลายเป็นกระดาษที่มีสีเหลืองอยู่จาง ๆ หลังจากผ่านมาหลายสิบปีจนปัจจุบันก็พัฒนาจนมีคุณภาพสูงขึ้นกว่าเดิม จากสมัยก่อนที่หนังสือมีราคาอย่างน้อยสิบเหรียญทอง มาตอนนี้ราคาถูกลงเหลือเพียงหนึ่งในสิบเท่านั้น
ก็นะ เรื่องพวกนั้นจะยังไงก็ช่าง เหตุผลที่ฉันบอกว่า แปลก เพราะว่าหนังสือเล่มนี้ทำมาจากหนังสัตว์
มีการเขียนแก้และลบออกนับครั้งไม่ถ้วนจนค่อยๆ ดูคล่องขึ้นมา เนื้อหามีเขียนบอกเรื่องพืชสมุนไพรและพืชมีพิษ แร่ เห็ดที่นำมาทำเป็นยาได้ เป็นต้น ข้อมูลถูกเขียนไว้อย่างถี่ถ้วนจนอัดแน่นเต็มหน้ากระดาษ มีภาพประกอบซึ่งวาดไว้อย่างละเอียดด้วย
ตอนแรกก็คิดอยู่หรอกว่าผู้หญิงคนนั้นมีด้านแบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย แต่ดูเหมือนนี่จะเป็นของที่ขโมยมาจากอาจารย์ที่สอนศาสตร์เวทให้หล่อน
…ผู้หญิงคนนี้ กู่ไม่กลับแล้ว
แต่เรื่องนี้คงต้องขอบคุณหล่อน แม้การมี ความรู้ จะทำให้มองตัวอักษรแล้วเข้าใจความหมายได้ แต่กับการเขียนอ่านประโยคนั้นจำเป็นจะต้อง เรียนรู้ และสมุดเล่มนี้ก็คือตำราชั้นดีเลย
ยังมีขวดโพชั่นอีกสองขวดที่เหมือนจะขโมยมาเช่นกัน ยาฟื้นฟูระดับค่อนข้างสูงพวกนี้ น่าจะเก็บไว้รักษาแผลหลังจากที่หล่อนฝังหินเวทลงบนหัวใจของฉันแล้ว
แล้วก็ห่อพืชหญ้าแห้ง เหมือนจะเป็นห่อพืชสมุนไพร แต่ก็ไม่ใช่ของดีเลิศอะไรมาก เป็นแค่พืชสมุนไพรที่หาจากไหนก็เจอ เป็นสมุนไพรสามัญที่ใช้กันทั่วไปตามครัวเรือน
ฉันหยิบสมุนไพรต้นหนึ่งมาเคี้ยวในปาก แม้กลิ่นเหม็นเขียวจะเสียดแทงจมูกแต่ก็อดทนเคี้ยวต่อไป จากนั้นก็นำไปใส่ตรงแผล แล้วพันผ้าพันแผลทับอีกครั้ง
รู้ตัวอีกทีดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนมาอยู่เหนือหัวแล้ว ฉันรู้สึกได้ว่าตนใกล้จะรักษาสติไว้ไม่ไหวอยู่เต็มทน จึงรวบสัมภาระกลับไปแบกไว้บนหลัง คว้ามีดมาตัดผมที่ยาวออกในฉับเดียว ผมที่ถูกสั่งให้ไว้ยาวเพื่อขายให้แม่เฒ่า
ฉันเคี้ยวเบอร์รี่ที่เด็ดมาราวกับหิวโหย ปกปิดร่างใต้ร่มไม้ประหนึ่งสัตว์ร้ายที่กำลังเยียวยาบาดแผล เฝ้าระวังรอบด้านพร้อมหลับตาลงอย่างเงียบเชียบ
“…………”
ก่อนหน้านี้ไม่นานฉันเคยหวาดกลัวความมืด ความเจ็บปวด ความหิวโหย ความเดียวดาย และเหตุผลที่ฉันกลัวสิ่งเหล่านี้ก็เพราะไม่รู้วิธีเอาตัวรอด
ฉันเปิดเปลือกตาขึ้นเล็กน้อย ตวัดมีดปักลงบนหัวงูที่เข้ามาใกล้แทบเท้า งูที่หัวถูกเสียบทะลุดิ้นอยู่พักหนึ่ง ฉันจ้องมองไปยังงูตัวนั้นที่เริ่มแน่นิ่งลงด้วยอารมณ์ที่ไม่แปรเปลี่ยน
ที่หวาดกลัวเป็นเพราะว่าไม่รู้อะไร ฉันไม่กลัว เพราะเมื่อมี ความรู้ ฉันก็เข้าใจแล้วว่าต้องทำอย่างไรตัวเองถึงจะไม่ตาย และไม่หลงเหลือเหตุผลที่ต้องหวาดกลัวอีกต่อไป
เพราะได้รับความรู้จำนวนหลายสิบปีจากผู้หญิงคนนั้น ฉันถึงได้คิดเช่นนี้งั้นหรือ
ไม่เกี่ยวเลย ฉันก็คือฉัน ฉันคืออาลิเซีย ไม่ใช่ใครอื่นใด
ฉันครุ่นคิดเรื่องนี้พลางเข้าสู่ห้วงหลับตื้นพร้อมไปกับระแวดระวังภัยจากรอบข้าง หวังฟื้นฟูร่างกายอันแสนเหนื่อยล้า
MANGA DISCUSSION