ตอนที่ 1
ตอนที่ 1 นางเอกของโอโตเมะเกม
“เจอตัวแล้วววว”
“!?”
ที่ ๆ เจอกับผู้หญิงคนนั้น คือตรอกหลังของเมืองบ้านนอกเล็กๆ ที่ฉันกำลังอาศัยอยู่
ชุดที่ผู้หญิงคนนั้นสวม ชุดสีชมพูซึ่งดูเหมือนเป็นชุดของเด็กสาวจากเมืองใหญ่นั้น ดูโทรมอย่างน่าประหลาด ผมที่สกปรกและกระเซอะกระเซิงทำให้เธอดูเหมือนกับคนสูงวัยทั้งที่ความจริงอาจไม่ใช่แบบนั้น
แก้มที่ซูบซีดและดวงตาที่แดงก่ำทำให้ดูน่ากลัวเมือนปีศาจร้าย เมื่อฉันหดตัวลงด้วยความหวาดกลัว ผู้หญิงคนนั้นก็โยนถุงใส่สัมภาระที่แบกอยู่ทิ้ง จากนั้นก็พุ่งจู่โจมเข้ามา
“มะ ไม่นะ !”
“ยัยเด็กนี่ ทำตัวให้ว่าง่าย ๆ หน่อยซี่! …หึหึ นี่สินะ”
“ไม่ เอาคืนมานะ!”
“หนวกหูน่า !”
ผู้หญิงคนนั้นกระชากถุงเครื่องรางที่ห้อยไว้บนคอไป ถุงซึ่งเคยถูกบอกไว้ว่าห้ามเปิดออกไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เธอคนนั้นหยิบบางอย่างออกมาจากถุง จากนั้นก็หัวเราะเสียงแหลม
“ฮะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า ! อย่างที่คิดไว้ ! ไม่ผิดแน่ ! ที่แห่งนี้ก็คือโลก XXXX ! อะฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!”
ท่ามกลางเสียงหัวเราะอันบ้าคลั่งนั้น ฉันหวาดกลัวจนแม้แต่จะขยับตัวก็ยังทำไม่ได้
ฉันอาศัยอยู่กับคุณพ่อและคุณแม่ด้วยกันสามคนจนถึงอายุสี่ขวบ ช่วงนั้นฉันมีความสุขมาก ตอนเช้าตื่นขึ้นเพราะได้กลิ่นซุปที่คุณแม่ทำ ตอนที่ไปปลุกคุณพ่อที่นอนไม่ยอมตื่นก็จะถูกกอด ไม่ก็โดนเอาหนวดที่ไม่ได้โกนถูแก้ม
พอฉันบ่น คุณพ่อก็จะหัวเราะพร้อมเอาใจฉันด้วยการจับฉันอุ้มสูงๆ และนั่นทำให้ฉันอารมณ์ดีจนหัวเราะออกมาในทันที พอคุณแม่ที่อยู่ห้องครัวได้ยินเสียงก็จะดุพวกเราแต่เสียงแต่ไม่ทำหน้าน่ากลัว
แต่ว่า วันวานแห่งความสุขเช่นนั้นไม่มีทางกลับมาอีกแล้ว…
วันนั้นเมื่อสามปีก่อน เมืองที่พวกเราอาศัยอยู่ถูกสัตว์อสูรบุก เป็นการปะทุของสัตว์อสูรครั้งใหญ่ที่ไม่กี่สิบปีจะมีสักหน คุณพ่อที่เป็นทหารบอกว่าจะปกป้องฉันกับคุณแม่ได้ต่อสู้กับสัตว์อสูรอย่างกล้าหาญจนตัวตาย แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีสัตว์อสูรเล็ดรอดเข้ามาในเมือง และคุณแม่ก็ปกป้องฉันจากสัตว์อสูรจนเอาชีวิตไม่รอด
ไม่รู้หรอกว่าการต่อสู้กับสัตว์อสูรครั้งนั้นมีผลออกมาเป็นอย่างไร ตัวฉันที่ร่ำไห้อยู่กลางซากศพของทหารและสัตว์อสูรนั้นได้ทหารที่รอดชีวิตช่วยเอาไว้ และถูกพามาอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งตั้งอยู่ในเมืองที่ห่างไกล
แผ่นหลังอันกว้างใหญ่ของคุณพ่อ ใบหน้ายิ้มแย้มอันอ่อนโยนของคุณแม่… ตัวฉันที่สูญเสียทุกสิ่งไป หลงเหลือเพียงแค่ ถุงเครื่องราง ที่ได้รับมาจากคุณแม่เท่านั้น ตัวฉันที่ไม่รู้อะไรเลยต้องมาเผชิญกับความโหดร้ายของโลกใบนี้โดยไม่มีแม้แต่เวลามาเศร้ากับการจากไปของพ่อแม่
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นโบสก์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง มีเด็กกำพร้าที่เข้ามาใหม่อยู่ราวสิบคนได้ พวกเราทุกคนต่างแออัดอยู่ในห้องเล็ก ๆ ที่มีสภาพเหมือนโรงนา แม้แต่ผ้าห่มผืนบางที่มีสภาพไม่ต่างจากผ้าขี้ริ้วที่ได้มา หรือซุปอันจืดชืดที่ใส่มาแค่เศษผักกับเกลือ ก็ยังถูกพวกเด็กกำพร้าที่อยู่มาก่อนนานแล้วแย่งไป
แม่เฒ่าที่ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้านั้นไม่ได้ทำอะไรเลยนอกจากให้แค่ขนมปังดำแข็ง ๆ กับซุปโรยเกลือวันละสองครั้ง แล้วเอางานในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่เหลือทั้งหมดให้เหล่าเด็กกำพร้าทำ ไม่ว่าตักน้ำ ซักผ้า ทำความสะอาด ดูแลสวน รวบรวมฟืน แม้แต่ภาระงานอื่น ๆ ที่ไม่เกี่ยวกับสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งแม่เฒ่าเป็นคนดูแลอยู่ก็ถูกผลักมาให้ เราต้องทำงานเหล่านี้ตั้งแต่ดึกจนถึงรุ่งสาง แม้ฟ้าจะสว่างก็ยังไม่หมดไม่สิ้น
พวกเด็กกำพร้าที่อยู่มานานที่รู้ถึงทางสบายต่างก็ผลักภาระให้กับเหล่าเด็กเล็กที่ไม่รู้เรื่องราว มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งที่ถูกแย่งอาหารจนหิวโซจนต้องไปแอบกินหัวมันในคลังเก็บอาหาร แล้วถูกแม่เฒ่าทำโทษด้วยไม้นวดแป้งจนกระอักเลือด เช้าวันต่อมาก็ถูกพบเป็นร่างเย็นเยียบอยู่บนเตียง
ไม่ได้คิดแค่ครั้งสองครั้งว่าตัวเองอาจโดนฆ่าตายได้ แต่ว่าพวกผู้ใหญ่ในเมืองนั้นพึ่งพาไม่ได้ ไม่มีใครอยากจะยุ่งกับเด็กกำพร้าที่สกปรกและผอมโซนักหรอก ยิ่งไม่ต้องพูดถึงคนที่จะรับเด็กกำพร้าที่เป็นเช่นนี้ไป ยิ่งไปกว่านั้นในบางครั้ง แม่เฒ่าก็จะเอาเด็กที่หน้าตาดีให้กับผู้ใหญ่ในชุดที่งดงามเป็นพิเศษที่มาเยือน แล้วก็รับเงินจำนวนมากมา
ฉันไม่อยากอยู่ในที่แบบนี้ แต่ก็ยังอดทนอยู่เพราะคำพูดที่คุณพ่อคุณแม่บอกไว้
‘ไม่มีใครเลวร้ายไปจนก้นบึ้งของหัวใจหรอก จงเป็นคนที่ยิ้มแล้วให้อภัยผู้อื่นนะลูก’
ที่แม่เฒ่าใช้ความรุนแรงคงเป็นเพราะอารมณ์ไม่ดีเท่านั้น เด็กกำพร้าโตที่แย่งของจากเด็กเล็กเองก็เพราะสภาพแวดล้อมที่ไม่ดี ฉันจึงจะเป็นคนที่ยิ้มและคอยให้อภัยเอง …ด้วยความคิดนี้เองที่ทำให้ฉันก็ทนมาได้สามปีด้วยการยิ้มแย้มอยู่ตลอดพร้อม ๆ ไปกับการทำทุกหนทางเพื่อไม่ให้ใครแย่งถุงเครื่องรางไปได้
แต่ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ฉันทำไปมันผิดพลาดหรืออย่างไร แม่เฒ่าบอกว่าพรุ่งนี้จะมีแขกคนสำคัญ และให้ฉันไปล้างตัวให้สะอาดที่บ่อน้ำแล้วทำตัวให้ดูน่ามอง ฉันตกอยู่ในความสิ้นหวัง ฉันไม่ชอบสายตาที่ผู้ใหญ่พวกนั้นมองมายังพวกเราเลย ฉันรู้สึกสะอิดสะเอียนจนทนไม่ไหว ไม่อยากอยู่ที่นั่นอีกต่อไป และหนีจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในวันนั้น
ที่หนีมาได้ก็ดีอยู่ แต่ตัวฉันไม่ได้พกอะไรติดตัวมาด้วยเลย จึงทำได้แต่นั่งกอดเข่าด้วยความหิวและสิ้นหวังในตรอก และตอนนั้นเองที่จู่ ๆ ผู้หญิงคนนั้นมาปรากฏตัวตรงหน้า
“หึหึหึ ไม่ต้องตกใจไป อาลิเซีย”
“!?”
การที่จู่ ๆ ก็ถูกผู้หญิงคนนั้นเรียกชื่อนั้นทำให้ฉันตกใจจนร่างกายสั่นสะท้าน ทำไมถึงรู้ชื่อของฉันล่ะ
“ฉันมองดูเธอมาตลอดตั้งแต่เมื่อวานเลยนะ นอกจากชื่อ อายุ สีของผมและดวงตาแล้วก็ไม่รู้อะไรอีกเลย ลำบากแทบแย่กว่าจะหาเจอ…”
ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองลงมาที่ฉันด้วยรอยยิ้มบิดเบี้ยว ใช้นิ้วลูบเส้นผมและรอบดวงตาของตัวฉันที่กำลังหวาดกลัว
“สกปรกชะมัด แต่ว่าไม่เป็นไร ยังไงเดี๋ยวทำให้สะอาดขึ้นก็พอ แต่ผอมขนาดนี้ ตอนที่ ท่านตา มารับก็คงตกใจน่าดู คงต้องกินให้มากหน่อยแล้วสิ”
“ท่าน…ตา ?”
พอฉันพึมพำคำ ๆ นั้น ผู้หญิงคนนั้นก็จ้องมองมาด้วยดวงตาแดงก่ำ
“ใช่แล้ว ท่านตาของเธอ… ไม่สิ ของ ฉัน ต่างหาก นี่ ฟังอยู่หรือเปล่า ตอนที่ฉันได้ความทรงจำจากโลกเก่ากลับคืนมาแล้วตระหนักได้ว่าโลกใบนี้คือ XXXX น่ะนะ ฉันดีใจจนเนื้อเต้นเชียวแหละ แล้วก็รู้สึก..สิ้นหวังไปในเวลาเดียวกัน เหตุผลน่ะเหรอ ก็เพราะตามเซ็ตติ้งของเนื้อเรื่องเดิมนั้น นางเอกจะเข้าเรียนที่สถานศึกษาแห่งหนึ่งในอีกไม่กี่สิบปีข้างหน้า แล้วกว่าจะถึงตอนนั้นฉันก็คงกลายเป็นป้าแก่ ๆ ไปแล้ว ไม่ว่าจะทำยังไงก็คงเข้าไปร่วมเนื้อเรื่องไม่ได้ เพราะงั้นอย่างน้อยก็ไปเป็นอาจารย์ก็ยังดี ฉันเลยไปเป็นนักผจญภัย เรียนรู้ศาสตร์เวท ศึกษาเล่าเรียนอย่างหนัก แต่ก็ไม่ไหวแหละ เพราะจะต้องเป็นชนชั้นสูงเท่านั้นถึงจะเป็นนักเรียนหรืออาจารย์ได้ ดังนั้นแล้ว…”
“อี๊”
ผู้หญิงคนนั้นกำคอของฉัน จากนั้นก็หยิบมีดและ หิน สีดำสนิทออกมาจากอกของตัวเอง
“ฉันเลยคิดว่า จะกลายเป็น เธอ แทนยังไงล่ะ”
รอยยิ้มของผู้หญิงคนนั้นดูบิดเบี้ยวพิกล
“นี่ รู้จัก หินเวท มั้ย พอสิ่งมีชีวิตดูดซับอณูเวทไปจนถึงระดับหนึ่ง ก็จะให้กำเนิดหินที่เรียกว่า หินเวท ในหัวใจ โดยจะใช้เลือดในร่างกายเป็นตัวกลาง หินเวทไม่เพียงแค่ให้กำเนิดพลังเวทในร่างกายและกักเก็บพลังเวทความบริสุทธ์สูงเท่านั้น แต่ยังบรรจุคุณลักษณะไว้เล็กน้อย และรวมไปถึงเนื้อแท้ของสิ่งมีชีวิตนั้นด้วย หึหึ ตอนที่เจอวิธีนี้จากตำราเก่าแก่ฉันตื่นเต้นแทบแย่แน่ะ เพราะถ้าใช้วิธีนี้แล้ว ก็จะคัดลอก ความทรงจำ และ ตัวตน ลงบนหินเวท แล้วย้ายร่างไปที่คนอื่นได้ยังไงล่ะ !”
หินเวท ? พลังเวท ? ผู้หญิงคนนั้นพูดแต่คำยาก ๆ ไม่หยุดหย่อนคล้ายคนเสียสติ
“แม้จอมเวทที่วิจัยเรื่องนี้จะหยุดลงที่ขั้นทดลองกับกบ แต่ถ้าเป็นฉัน จะต้องทำให้สมบูรณ์ได้แน่ ! เพราะถ้าเอาหินเวทของคนอื่นมาใช้มันก็ไม่ได้ผลน่ะสิ ฉันน่ะสกัดเลือดของตัวเองออกมานับครั้งไม่ถ้วนแล้วใส่พลังเวทของตัวเองลงไป จากนั้นก็รวบรวมส่วนที่แข็งตัวด้วยความอดทน ใช้เวลาถึงห้าปีกว่าจะสำเร็จเลยนะ มันทั้งทุกข์…และทรมาณ… แต่ว่านะ”
ผู้หญิงคนนั้นที่พูดไม่หยุดมาตั้งแต่เมื่อครู่หัวเราะหยัน โอ้อวดหินสีดำสนิทก้อนนั้น
“หากฝังหินเวทก้อนนี้ลงบนหัวใจของเธอละก็ ฉันก็จะได้ละทิ้งร่างกายนี้ แล้วกลายเป็นตัวเอก หรือก็คือ เธอ ได้ !”
“อี๊”
เป็นบ้าไปแล้ว ผู้หญิงคนนี้เสียสติไปแล้ว ถึงทำสำเร็จจริง ๆ ก็เป็นแค่การถ่ายทอดความทรงจำกับตัวตนลงบนคนอื่นไม่ใช่หรือไง ผู้หญิงคนนั้นไม่เข้าใจในเรื่องที่แม้แต่เด็กน้อยอย่างฉันก็ยังนึกขึ้นได้เนี่ยนะ หล่อนเงื้อมีดขึ้น
“ทำตัวดี ๆ นะ เดี๋ยวก็จบแล้ว”
“…มะ ไม่นะ !”
ด้วยความกลัวทำให้ฉันสะบัดมืออย่างไม่คิด ฝ่ามือของฉันไปโดนมีดจนเกิดบาดแผลเล็กน้อย ตอนนั้นเองที่มือชุ่มเลือดของฉันไปสัมผัสเข้ากับหินเวทตรงนิ้วของผู้หญิงคนนั้น ก็มีเรื่องประหลาดไหลเข้ามาในหัว
“อ๊า”
หินเวทถูกฉันใช้มือปัดทิ้ง ผู้หญิงคนนั้นเบนความสนใจไปยังหินที่กำลังกลิ้งอยู่
ทั้งเย็นทั้งร้อน สัมผัสอันแปลกประหลาดไหลผ่านเข้ามาทางบาดแผลบนมือ ฉันต่อต้านกับความรู้สึกอันน่าสะอิดสะเอียนคล้ายกับของผู้หญิงคนนั้นไม่ให้กัดกร่อนเข้ามาในตัว แต่ก็ยังมีบางส่วนที่เหลือรอดตกค้างอยู่ และแล้ว รอยยิ้มของฉันที่พยายามรักษาเอาไว้มาตลอดสามปี ก็พังทลายลง
ฉันหรี่ตาลง นึกในใจว่าต้องฉวยโอกาสโต้ตอบก่อนจะตระหนักได้ถึงความคิดอันเยือกเย็นของตน ขณะที่ถูกผู้หญิงคนนั้นทับอยู่ก็ใช้สายตามองสำรวจรอบข้าง จากนั้นจึงหยิบหินขนาดเหมาะมือที่เจอขึ้นมา ออกแรงทุบเข้าไปที่ขมับของหล่อน
ปึก !!
“กรี๊ดดดดดดด !?”
ผู้หญิงคนนั้นล้มเกลือกเอามือกุมศีรษะ มีดในมือตกกลิ้งไปกับพื้น จังหวะนั้นเองฉันก็หยิบมีดเล่มนั้นขึ้นมาตั้งท่าด้วยมือขวา แนบฝ่ามือซ้ายที่ปลายด้ามมีด ทุ่มเรี่ยวแรงทั้งหมดกระโจนไปยังหน้าอกของผู้หญิงคนนั้น
“ค่อก แฮ่ก… ทะ ทำไมถึง…”
มีดที่เสียบเข้าไปในแนวนอนลอดผ่านช่องว่างของกระดูกซี่โครง ทะลวงเข้าที่หัวใจของผู้หญิงคนนั้น หล่อนแสดงท่าทางราวกับเห็นสิ่งน่าเหลือเชื่อ ในดวงตาสะท้อนรูปหน้าอันแสนเย็นชาไร้ความรู้สึกของ ตัวฉัน
ผู้หญิงคนนั้นเอื้อมมือมาทั้ง ๆ ที่กำลังถูกแทงเข้าที่หัวใจ ฉันออกแรงเพิ่มเพื่อคว้านมีดตรงหัวใจ เลือดไหลทะลักออกมาเต็มไปหมด แววแสงแห่งชีวิตในดวงตาหล่อนค่อย ๆ หรี่ลงและมอดดับไปในที่สุด
“………………”
มือฉันสั่นเทาเล็กน้อย ฉันขยับนิ้วมือที่กำลังสั่นอยู่เช่นเดียวกันเพื่อแกะนิ้วมืออีกข้างซึ่งกำแข็งทื่ออยู่บนมีดเปื้อนเลือดออกมา
ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ที่ไหลบ่าเข้ามาในหัวก็คือเศษเสี้ยว ความรู้ ของหล่อนนั่นเอง
ไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่าผู้หญิงคนนั้นนึกอะไรอยู่ถึงได้คิดจะทำเรื่องแบบนี้ แต่จากความรู้ที่ว่าก็พอจะเข้าใจแล้ว ว่าที่หล่อนหลั่งเลือดเนื้อพยายามมามากกว่าสิบปีก็เพื่อสิ่งที่เรียกว่า โอโตเมะเกม นี่
โลกแห่งดาบและเวทมนตร์ ซิเอล
และในโลกที่ว่าก็มีทวีปธาร์ส โดยมีเครเดลเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุด
ภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ ภูมิปัญญาแห่งศาสตร์เวท ศิลปะการต่อสู้ สามัญสำนึกของโลกนี้ และเรื่องเฉพาะด้านอีกมากที่ฉันไม่เข้าใจ แต่ถึงอย่างนั้นก็ได้ ความรู้ ขั้นต่ำที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตในโลกใบนี้มาแล้ว
ฉันนำถุงเครื่องรางและแหวนในนั้นกลับคืนมาจากร่างไร้ลมหายใจที่เย็นชืดของผู้หญิงคนนั้น จากนั้นก็ทุบหินเวทอันน่ารังเกียจของผู้หญิงคนนั้นที่หล่นไปอีกด้านซ้ำ ๆ ให้แตกละเอียดโดยพยายามไม่ไปสัมผัสโดน แล้วจึงนำส่วนที่ทุบไม่ละเอียดไปทิ้งในคูน้ำ
ต่อมาก็ค้นกระเป๋าในชุดของผู้หญิงคนนั้น นำปลอกมีดและประเป๋าเงินมา แล้วแบกถุงสัมภาระที่ผู้หญิงคนนั้นโยนไปก่อนหน้านี้ขึ้นมา
ไม่มีธุระที่นี่แล้ว แต่ยังเหลืออีกหนึ่งอย่างที่ต้องทำ
ฉันแบกสัมภาระไว้ เดินแบบไร้เสียงฝีเท้าซึ่งเป็นวิธีเดินแบบที่ฉันไม่เคยใช้มาก่อน พอกลับมาถึงสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าซึ่งหนีออกมาก่อนหน้านี้แล้วก็ไม่ได้เข้าไปแต่แอบลอบสังเกตสถานที่โดยไม่ให้ใครเห็น ในนั้นเห็นแม่เฒ่ากำลังตะโกนด่าทอเพราะรู้ตัวแล้วว่าฉันหายไป
ฉันเข้าแอบเข้าไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าอย่างเงียบเชียบ อำพรางตัวด้วยเงามืดในสวน สะกดกลั้นลมหายใจไว้เหมือนสัตว์ร้าย
“…………”
เพราะเรี่ยวแรงไม่มีทำให้จู่ ๆ ความง่วงก็ถาโถมเข้ามา เพื่อสะกดกลั้นความง่วงจึงต้องเคี้ยวขนมปังดำแข็ง ๆ ที่ได้จากสัมภาระของผู้หญิงคนนั้น ฉันรอทั้งสภาพง่วงซึมจนสติหลุดลอย รอจนกว่าจะไม่ได้ยินเสียงอะไรจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า หลังจากผ่านไปราวหนึ่งชั่วโมงได้ เมื่อไฟในห้องที่อยู่แยกออกไปของแม่เฒ่าดับแสงลง ฉันก็เริ่มออกเคลื่อนไหวในเงามืด
เมื่อดวงตาชินกับความมืด อาศัยเพียงแสงสลัวจากดวงดาวก็ระบุตำแหน่งของแม่เฒ่าได้
สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเป็นเพียงโบสก์เก่า ๆ แห่งหนึ่ง จึงไม่มีห้องใดเลยที่ติดตัวล็อกไว้ ฉันผลักเปิดบานประตูอย่างเงียบเชียบ ภายในห้องคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นเหล้า ฉันรออย่างอดทนจนแม่เฒ่าที่นอนกรนอยู่พลิกตัว จังหวะที่หันหลังมาให้นั้นฉันก็ใช้ผ้าเช็ดมือที่อยู่ใกล้ ๆ มารอง ก่อนจะเค้นเรี่ยวแรงทั้งหมดเสียบมีดลงไปตรงตำแหน่งก้านสมองจนมิดด้าม
“…………”
ร่างของแม่เฒ่ามีเสียงครางเล็ดลอดออกมาเล็กน้อยก่อนจะสั่นกระตุก
ฉันกดผ้าเช็ดมือไว้เพื่อไม่ให้เลือดพุ่งกระฉูด ค่อย ๆ ดึงมีดออกมาเพื่อเช็ดเลือดข้นเหนอะออกจากใบมีด จากนั้นค่อยพ่นลมหายใจที่กลั้นเอาไว้ เก็บมีดกลับเข้าปลอกแล้วนำไปไว้ตรงผ้าคาดเอวราวกับจะผ่อนคลายเส้นประสาทตรงปลายนิ้ว
เพียงเท่านี้เรื่องน่าเศร้าก็หมดไป จาก ความรู้ ของผู้หญิงคนนั้นแล้ว ผู้ดูแลสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ฉันอยู่แห่งนี้จะเปลี่ยนเป็นบาทหลวงชราผู้ใจดี บางทีการทำเช่นนี้อาจทำให้บาทหลวงชรามาทำหน้าที่แทนแม่เฒ่าเร็วขึ้นกว่าเดิม น่าจะลดการทารุณและการค้าเด็กกำพร้าลงได้
แต่ว่า…
“…ไร้สาระ…”
ไม่ว่าจะสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเก่า ๆ แห่งนี้ก็ดี พวกเด็กกำพร้าที่เจ้าเล่ห์ก็ดี ไหนจะแม่เฒ่าผู้โลภมาก ชาวเมืองที่เพิกเฉยต่อการทารุณ แล้วยังมีความคิดของผู้หญิงคนนั้น หรือเจ้า โอโตเมะเกม อะไรนี่อีก ทั้งหมดนี้มันช่างไร้สาระสิ้นดี
จะบอกว่าที่ฉันเกิดมาก็เพราะเรื่องไร้สาระพรรค์นี้งั้นเหรอ
จะบอกว่าที่คุณพ่อกับคุณแม่ต้องตายก็เพราะเรื่องไร้สาระพวกนี้อย่างนั้นน่ะเหรอ !!
ฉันเข้าไปค้นห้องเก็บของที่อยู่ข้างห้องของแม่เฒ่า สวมรองเท้าแต่ที่ดูน่าจะใส่ได้ให้กับเท้าที่เปล่าเปลือย เปลี่ยนจากชุดโทรม ๆ เปื้อนเลือดที่เหมือนเศษผ้าเป็นชุดที่ใส่ได้พอเหมาะพอดี
ต่อมาก็แผ่ผ้าปูนอน นำผ้าสะอาดและเงินเหรียญที่แม่เฒ่าซ่อนไว้ เสบียงอาหารและถุงบรรจุน้ำของแม่เฒ่า รวมไปถึงของสำคัญอย่างอื่นใส่ลงไป จากนั้นก็หลบหนีออกจากเมืองบ้า ๆ นี่ไปท่ามกลางค่ำคืน
ฉันไม่ขอยอมรับ โอโตเมะเกม นี่หรอกนะ
“ฉันจะเอาชีวิตรอดด้วยตัวคนเดียวให้ดู”
MANGA DISCUSSION