[WN] เรื่องราวของการซื้อตัวเพื่อนร่วมชั้นสัปดาห์ละครั้ง - ตอนที่ 4 วันนี้มิยางิก็ให้เงิน 5,000 เยนกับฉัน (1)
- Home
- [WN] เรื่องราวของการซื้อตัวเพื่อนร่วมชั้นสัปดาห์ละครั้ง
- ตอนที่ 4 วันนี้มิยางิก็ให้เงิน 5,000 เยนกับฉัน (1)
ฉันหยิบนิตยสารที่มีตัวอักษรระยิบระยับ จากชั้นวางหนังสือที่บนปกประดับด้วยรูปไอดอลและนางแบบ
นี่ใช่เล่มที่อูมินะพูดถึงหรือเปล่านะ
เพราะได้ฟังมาแค่ครึ่งเรื่อง ฉันเลยไม่ค่อยมั่นใจด้วยสิ
ไม่สิ ไม่ใช่งั้นหรอก
ฉันมองนิตยสารในมือ
นอกจากเรื่องการแต่งตัว ยังมีหัวข้ออื่นที่ไม่น่าสนใจ เช่น เสื้อผ้าแบบที่หนุ่ม ๆ นิยม หรือวิธีการพัฒนาตัวเองและอะไรอีกประมาณนี้
ซึ่งไม่ว่าจะดูยังไงก็ไม่ใช่แนวฉัน
ฉันอยากใส่เสื้อผ้าที่ตัวเองชอบมากกว่าเสื้อผ้ายอดฮิต เรื่องการพัฒนาตัวเองฉันก็ยังไม่สนใจตอนนี้ แล้วถ้าฉันอยากอ่านนิตยสาร ฉันก็อยากจะอ่านนิตยสารแฟชั่นสบาย ๆ มากกว่าด้วย
แต่การอ่านนิตยสารประเภทนี้มันเป็นส่วนหนึ่งของการเข้าสังคมเพื่อน ดังนั้นฉันจึงต้องเจียดเงินเก็บทุกเดือนเพื่อมาใช้กับเรื่องนี้
ถ้าเกิดอยากใช้ชีวิตในโรงเรียนให้ได้ก็ต้องรู้จักฉลาดบ้าง เพื่อให้เพื่อนร่วมชั้นปัจจุบันของฉัน อิบารากิ อูมินะ อารมณ์ดี ไม่สิ ฉันอาจจะพูดเกินจริงไปนิด ดูท่าคงต้องเล่าให้ละเอียดสินะ
อูมินะเป็นเพื่อนของฉันที่เป็นสาวเปรี้ยวและไร้สมองนิด ๆ ซึ่งในโรงเรียนจัดอยู่ในชั้นวรรณะสูง เธอเป็นคนอารมณ์ร้ายและขี้โมโห ดังนั้นฉันหากไปต่อต้านเธอเข้าก็จะเกิดปัญหา แต่ถ้าวางตัวดีและไม่ทำให้เธออารมณ์เสีย ฉันก็จะอยู่ในสถานะที่สามารถใช้ชีวิตในโรงเรียนได้อย่างสงบสุขไม่มีปัญหา
ดังนั้นการซื้อนิตยสารตามที่เธออ่าน มันจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นสำหรับผู้ใหญ่
มีบางคนบอกว่าฉันเป็นผู้หญิงที่ไหลตามชาวบ้านเก่ง แต่ฉันก็ไม่ได้ว่าอะไรพวกเขาหรอก เพราะมันเหมือนเป็นการแซวกันขำ ๆ มากกว่า ดังนั้นฉันก็เลยปล่อยผ่าน
หลังจากวนอยู่ในร้านสักพักฉันก็เดินเข้าไปในร้าน
จากนั้นก็วางนิยายที่อยู่ชั้นบนนิตยสารแล้วเดินไปที่เครื่องคิดเงิน ฉันไม่ได้เข้าแถวรอคิว แต่รอให้ถึงคิวตัวเองแล้วหยิบหนังสือขึ้นมา
หนึ่งพันเยนกับเศษหลักร้อยนิด ๆ
ฉันมองตัวเลขที่อยู่บนเครื่องคิดเงิน แล้วก็มองหากระเป๋าใส่เงินที่อยู่ในกระเป๋าตัวเอง
“เอ๊ะ”
กระเป๋าเงิน กระเป๋าเงินเราล่ะ
กระเป๋าเงินที่ควรอยู่ตรงนั้นไม่อยู่
ฉันจำได้ว่าตอนเช้าที่ใส่โทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ามันยังอยู่เลยนะ
แล้วกระเป๋าเงินเรามันหายไปไหนล่ะ
ต่อให้จะค้นกระเป๋าดูเท่าไหร่ฉันก็หาไม่เจอ
ลืมไว้ที่โรงเรียนหรือเปล่านะ
ไม่สิ คงจะลืมไว้ที่บ้านมากกว่ามั้ง
จำไม่ได้ว่าใส่ไปในกระเป๋าด้วยสิ
ฉันเหล่มองพี่สาวแคชเชียร์ จากนั้นเธอก็ทำสีหน้าสงสัยออกมา
แย่ละ ต้องรีบแล้ว
“อ๊ะ คือว่า”
ถึงจะดูน่าเกลียดไปหน่อย แต่ฉันก็ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องคืนหนังสือกลับ
“หนังสือเล่มนี้…”
“ฉันจ่ายเองค่ะ”
“เอ๊ะ”
ก่อนที่ฉันจะพูดว่าขอคืน ก็มีมือมือหนึ่งยื่นออกมาจากด้านหลังและวางแบงค์ 5,000 เยนไว้บนถาด
“คุณเซนได เอ้านี่ ใช้นี่สิ”
เมื่อหันหลัง ฉันก็พบผู้หญิงในชุดเครื่องแบบเดียวกับฉันยืนอยู่
หนำซ้ำยังไม่ใช่คนแปลกหน้าที่ไหนอีก
ถึงฉันจะไม่เคยคุยกับเธอมาก่อน แต่ฉันก็เห็นหน้าเธออยู่ทุกวัน
“มิยางิ…เหรอ”
น่าจะไม่ผิดนะ
ในฐานะที่เป็นผู้หญิงที่ไหลตามชาวบ้านเก่งแล้ว ฉันต้องจำชื่อเพื่อนในห้องทุกคนให้ได้เป็นอย่างน้อย ฉันไม่รู้แม้กระทั่งชื่อจริงของเธอด้วยซ้ำ
“จ่ายด้วยเงินนี่สิ”
เธอไม่ได้ท้วงว่าพูดชื่อผิด และบอกจุดประสงค์ของการวางเงิน 5,000 เยนไว้บนถาด
“ได้เหรอ ไม่ดีมั้ง”
“ไม่เป็นไรหรอก”
ไม่สิ เป็นดิ
ฉันไม่อยากยืมเงินจากคนที่ไม่ได้สนิทกันหรอกนะ แต่เดิมฉันก็เกลียดการให้ยืมหรือว่าไปยืมเงินใครอยู่แล้ว หนำซ้ำยังเป็นการยืมเพื่อซื้อนิตยสารเข้าสังคมอีกยิ่งไม่ชอบเข้าไปใหญ่
“ไม่ล่ะ เอาคืนไปเถอะ”
ฉันหยิบเงิน 5,000 เยนออกจากถาดแล้วมอบคืนให้มิยางิ จากนั้นเงิน 5,000 เยนก็ถูกวางลงบนถาดอีกครั้งหนึ่ง
“คือว่าจะจ่ายหรือเปล่าคะ”
พนักงานมองมาที่ฉันด้วยใบหน้ามีปัญหาอย่างเห็นได้ชัด
“ค่ะ ขอความกรุณาด้วยค่ะ”
คนตอบไม่ใช่ฉัน แต่เป็นมิยางิ
แต่ฉันไม่ต้องการยืมในสิ่งที่ไม่อยากยืม
ฉันพยายามหยิบเงิน 5,000 เยนขึ้นมาอีกรอบ แต่ว่าพนักงานกลับหยิบเงิน 5,000 เยนนั้นใส่เข้าไปในเครื่องคิดเงินเสียแล้ว
สุดท้ายสิ่งที่ฉันได้รับก็มีนิตยสาร นิยาย กับแบงค์พันเยน 3 ใบและเหรียญอีกนิดหน่อย
“ขอบคุณนะมิยางิ ดูเหมือนว่าฉันจะลืมกระเป๋าเงินน่ะ ค่อยยังชั่วหน่อย”
ฉันพูดขอบคุณ ในขณะที่เธอเดินออกไปจากเครื่องคิดเงิน
ความต้องการของฉันที่ไม่อยากให้ให้ยืมหรือยืมเงินคนอื่นถูกเพิกเฉยก็จริง แต่เนื่องจากยืมไปแล้ว ฉันจึงยอมก้มหัวลงอย่างไม่เต็มใจ
ทว่าเธอกลับไม่ได้พูดอะไรเลย แต่เธอก็ไม่ได้พูดแก้ชื่อตัวเอง ดังนั้นเธอน่าจะชื่อมิยางิจริง ๆ
“นี่เงินทอนนะ ส่วนเงินที่ใช้ไปพรุ่งนี้ฉันจะคืนให้ที่โรงเรียนนะ”
ฉันพยายามยื่นเงินที่ได้จากพนักงานคืนให้มิยางิ ทว่าเธอกลับไม่ยอมรับมันกลับ
“เงินทอนไม่ต้องคืนหรอก ฉันยกให้”
พูดเสร็จ เธอก็หันหลังเดินจากไป
“เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ แบบนี้ฉันมีปัญหานะ”
“ฉันไม่อยากได้หรอก คุณเซนไดเอาไปใช้เถอะ”
“เอาไปได้ที่ไหนกันเล่า เดี๋ยวฉันคืนให้”
“งั้นก็โยนทิ้งไปเหอะ”
“โยนทิ้ง!? แต่นี่มันเงินนะ”
ฉันจับไหล่ของมิยางิขณะที่เธอรีบเดินกลับ
ฉันไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับมิยางิเพราะไม่เคยคุยกับเธอที่โรงเรียนมาก่อน แต่เห็นได้ชัดว่าในหัวของเธอมีน็อตบางตัวหลุดอยู่ เพราะความคิดที่จะเอาเงินไปทิ้งเป็นเรื่องไม่ปกติ เอาตั้งแต่แรกก็ไม่มีสาว ม.ปลาย ที่ไหนเขาบอกว่าไม่ต้องการเงินทอนกันหรอก เว้นแต่จะเป็นพวกตำแหน่งใหญ่โตในบริษัท
นอกจากนี้ฉันยังไม่พอใจด้วย ที่ถูกคิดว่าเป็นคนประเภทที่เมื่อถูกบอกว่าไม่เอาเงินทอนแล้วจะบอกว่าโอเคค่ะ เข้าใจแล้ว
“…อ๊ะ ถ้างั้นฉันขอยืมเงินทอนด้วย แล้วคืนให้พร้อมกันทั้งหมดวันพรุ่งนี้นะ”
ที่จริงฉันอยากจะโวยอยู่หรอกนะ แต่ฉันก็พยายามอดกลั้นเอาไว้
ถ้ามีคนที่โรงเรียนบอกว่าเห็นคุณเซนไดตะโกนใส่คนอื่นมันจะไม่ดีต่อภาพลักษณ์ของฉัน
“ไม่เป็นไร ไม่ต้องเอามาคืนหรอก”
มิยางิสะบัดมือฉัน แล้วเริ่มเดิน
จากนั้นก็เดินผ่านประตูเลื่อนออกไปข้างนอก
ฉันรีบเดินตามหลังแล้วเรียกดักเรียกเธอไว้
“ฉันจะคืน ฉันจะคืนเงินทอนให้เธอที่โรงเรียน 5,000 เยน”
“ถ้างั้นก็ทำงานเพื่อเงิน 5,000 เยนสิ”
การพูดคุยเกี่ยวกับการคืนเงิน ถูกเปลี่ยนไปในทิศทางที่คาดไม่ถึงจนฉันเผลอชะงัก
“เอ๊ะ? ทำงาน?”
“ก่อนอื่นก็มาที่บ้านของฉันสิ”
มิยางิที่กำลังเดินอย่างเร่งรีบหยุด แล้วมองมาที่ฉํน
“เดี๋ย— เอ๊ะ รอก่อนสิ ๆ พรุ่งนี้ ฉันจะเงินคืนให้เธอวันพรุ่งนี้”
“ถ้าไม่มาก็ช่าง ฉันยกให้”
มิยางิหันหลังกลับ
อะไรกันยะ
นั่นมันอะไรกันน่ะยัยคนนี้
ฉันก่นด่ามิยางิในใจ
ฉันไม่มีความตั้งใจที่จะรับเงิน 5,000 เยน แต่ฉันก็ไม่มีความตั้งใจที่จะทำงานด้วยเช่นกัน
แต่มิยางิบอกว่าถ้าไม่ทำงานเธอจะกลับบ้าน และเหมือนจะไม่รับเงิน 5,000 เยนต่อจากนี้ด้วย แม้ว่าฉันจะยัดเงิน 5,000 เยนใส่โต๊ะของเธอ เธอก็คงจะคืนมันกลับมาอย่างแน่นอน
ช่างยุ่งยากจริง ๆ
ฉันถอนหายใจพร้อมกับทอดสายตาขึ้นไปบนท้องฟ้า ฟ้าถูกปกคลุมด้วยเมฆทึบ ฉันไม่ได้พกร่มมาเพราะหมดฤดูฝนไปแล้ว มิยางิพูดพร้อมกับถอนหายใจอีกครั้ง
“ร่ม ที่บ้านฉันมีให้”
“อ๊า ก็ได้ ๆ บ้านเธออยู่ที่ไหน อยู่ใกล้ ๆ นี้ไหม”
ฉันไม่อยากตกเป็นข่าวลือว่ารับเงิน 5,000 เยนมาจากมิยางิ และฉันก็ไม่อยากให้มีข่าวลือว่าไปตะโกนใส่มิยางิพร้อมกับยัดเงินใส่
เอาเป็นว่าวันนี้มาทำงานให้มิยางิกันเถอะ
ฉันเดินตามมิยางิไปอย่างไม่ค่อยจะเต็มใจ