(WN) สืบล่าหาผู้ใช้ศาสตร์ความตาย - ตอนที่ 17
ด้วยความกลัวว่าตัวเองอาจทำร้ายคนอื่น ลูน่าจึงเดินไปตามเส้นทางที่ไร้ถนน
แม้จะเป็นสถานที่ที่ยากลำบากเพียงใด ก็สามารถกระโดดข้ามต้นไม้และเคลื่อนที่ไปได้โดยง่าย จึงไม่ได้ลำบากขนาดนั้น
แต่หลังจากอดทนกับความกระหายเลือดมาหลายวัน ร่างกายก็เริ่มรู้สึกไม่ไหว
ซึ่งคาดเดาได้ว่าเป็นเพราะการที่ไม่ได้กินเลือด ถึงจะกินน้ำและอาหารแล้ว แต่ความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงก็ไม่หายไป มิหนำซ้ำยังรู้สึกอยากได้เลือดอยู่ตลอดเวลา แม้ว่าจะไม่รุนแรงมากนักก็ตาม
(คงจะทนได้อีกไม่นาน)
ลูน่ารู้สึกว่าน่าจะมีตรงไหนสักส่วนของร่างกายหรือไม่ก็จิตใจที่แปลกไป
จากนั้นลูน่าก็รู้สึกทุกข์ใจอยู่ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพร ในโลกที่ไม่มีแสงไฟของมนุษย์
(หรือจะดื่มเลือดไปซะเลยดีนะ)
ความคิดแบบนั้นผุดขึ้นมาในหัว หากทำเช่นนั้นก็จะรู้สึกดีขึ้นได้อย่างง่ายดาย ถ้าดื่มเลือดแล้วมันจะทำไม? ไม่ได้ตั้งใจจะเพิ่มบริวารอะไรสักหน่อย
ก็แค่จะขอแบ่งเลือดมาเล็กน้อยเฉย ๆ รัถเองก็ยังสบายดี ไม่มีปัญหาอะไรเลย
แต่คงไม่มีใครใจดียื่นแขนมาให้เหมือนรัถ
คนที่ลูน่าโจมตีเพื่อเอาเลือด คงจะแสดงสีหน้าหวาดหวั่นออกมาอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกอย่าง……ถ้าเกิดโจมตีคนขึ้นมา ก็จะรู้สึกว่าหยุดไม่ได้ รู้สึกว่าไม่สามารถกลับไปเป็นมนุษย์ได้อีก
(แต่ฉันก็เป็นสินค้าที่ถูกขาย ไม่ใช่มนุษย์มาตั้งแต่แรกอยู่แล้ว)
ตอนนี้ ถึงจะเป็นผีดูดเลือดก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญหรอก
เอาเข้าจริงก็ไม่ได้อยากเป็นอยู่แล้ว เพราะงั้นมันไม่ใช่ความผิดของตัวเองสักหน่อย คนที่ผิดคืออาจารย์ที่ดูดเลือดไปแล้วทำให้กลายเป็นผีดูดเลือดต่างหาก
ตัวเองกำลังถูกความกระหายเลือดเข้าครอบงำ และค่อย ๆ สูญเสียความเป็นมนุษย์ไปเรื่อย ๆ
อยากพ้นจากความทรมานจะแย่อยู่แล้ว เดิมทีถึงจะเจอกับโลแกน เขาก็อาจจะไม่รู้อะไร ต่อให้ไปถึงบานูกูตด้วยประสบการณ์อันแสนเจ็บปวดเช่นนี้ มันก็อาจจะไม่มีประโยชน์เลยก็ได้
ทำไมตัวเองต้องทนทุกข์ทรมานขนาดนี้ด้วย
ถ้ามีพรรคพวกคนอื่น ๆ อยู่ด้วยก็คงดี จะได้สร้างบริวารขึ้นมามาก ๆ แล้วก่อตั้งเป็นราชอาณาจักรผีดูดเลือดขึ้นมาซะเลย จะได้ไม่ต้องกลุ้มใจอยู่คนเดียวอีกต่อไป
เอาแบบนั้นแหละ เพิ่มพรรคพวกโดยการโจมตีเมืองไม่ก็หมู่บ้าน ด้วยพลังของตัวเองที่มีอยู่ในตอนนี้ คงไม่พลาดท่าเสียทีให้มนุษย์แน่นอน เปลี่ยนมนุษย์ทุกคนให้กลายเป็นผีดูดเลือดไปเสียเลยดีกว่า
มานั่งกอดเข่าอยู่คนเดียวในหุบเขาลึกนี่ ช่างไร้สาระสิ้นดี แปลกดีที่ตัวเองต้องเผชิญกับสิ่งเหล่านี้เพียงลำพัง พ่อแม่ฉันก็ไม่มี ที่กลายเป็นผีดูดเลือดนี่ก็ใช่ว่าจะมีใครเสียใจ
ไม่ใช่ว่าจะมีใครโกรธเสียหน่อย
ลูน่าลุกขึ้นเดิน ไม่ได้วิ่ง แต่เดินไปทางตะวันตกอย่างเชื่องช้าโดยที่ยังทุกข์ทรมานกับความกระหายเลือดอยู่
ด้วยเหตุผลบางอย่างจึงนึกถึงมอลลี่ขึ้นมา คนที่ดุอย่างกับยักษ์และอบรมสั่งสอนพวกลูน่าอย่างเข้มงวด
ถึงอย่างนั้น วันก่อนที่ลูน่าจะถูกขายออกไป มอลลี่ก็พูดว่า
“พยายามเข้าล่ะ ถึงเธอจะเป็นเด็กที่ถูกขายไป แต่ฉันก็เลี้ยงดูเธอมาอย่างดี เธอไม่ใช่เด็กที่น่าสมเพชหรืออะไร พยายามใช้ชีวิตในฐานะมนุษย์ล่ะ”
มอลลี่จับมือทั้งสองข้างของลูน่าไว้แล้วพูดด้วยแววตาที่อ่อนโยนกว่าปกติ
“แต่ว่า ถ้าทุกข์ใจจริง ๆ ก็กลับมาได้เสมอ”
ตอนที่ลูน่าได้ยินเช่นนั้นก็รู้สึกประหลาดใจว่า “ฉันถูกขายไปในราคาสูง ฉันก็ควรจะมีความสุขสิ” “ไม่มีทางที่ฉันจะกลับมาที่แบบนี้หรอก”
แต่ตอนนี้ คำพูดของมอลลี่กลับผุดขึ้นมาในหัวซ้ำแล้วซ้ำเล่า
ถ้าฉันกลายเป็นผีดูดเลือดไป มอลลี่ก็คงจะเสียใจยิ่งกว่า และคงจะโกรธจนชกหัวฉันแน่ ๆ
หมัดมอลลี่เจ็บชะมัด ลูน่านึกขึ้นและเผลอยิ้มออกมาเล็กน้อย
ถึงมอลลี่จะเข้มงวดแต่เธอก็เอ็นดูฉัน ถึงคานจะเงอะงะแต่เขาก็ต้องการฉัน รัถบอกว่าชอบฉัน
บรรดาคนที่อยู่รอบตัวลูน่าใจดีเกินกว่าที่จะเธอจะเลิกเป็นมนุษย์ และเธอยังรู้สึกเหมือนว่าการทำเช่นนั้นจะทำให้ความพยายามทั้งหมดของตัวเองที่ผ่านมาสูญเปล่า
(แบบนั้นก็คงน่าเสียดาย)
เธอไม่ชินกับความกระหายเลือดที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าเลยแม้แต่น้อย ความหิวโหยจนแทบดิ้นทุรนทุรายและความปรารถนาที่จะทำร้ายผู้คนนั้นเป็นสิ่งที่เธอทำอะไรไม่ได้
แต่ลูน่าก็ยังคงยืนหยัดเดินหน้าต่อไปด้วยแรงฮึดสุดท้าย
──
แล้วในที่สุด ลูน่าก็มาถึงบานูกูตจนได้ในที่ล้าทั้งกายและใจ
มันเป็นซากปรักหักพังขนาดมหึมาที่เธอไม่เคยเจอมาก่อน กว้างกว่ามหานครใดที่เคยเห็น และสิ่งก่อสร้างที่ผุพังก็ใหญ่กว่าอาคารใดที่ตนรู้จัก
บริเวณโดยรอบของบานูกูตไม่มีต้นไม้ใบหญ้าขึ้นเลยเป็นบริเวณกว้าง จึงเป็นสถานที่ที่อยู่ยากเกินไปเนื่องจากไม่มีสิ่งมีชีวิต เข้าใจแล้วว่าทำไมเหล่าทาสที่กวาดล้างชาวอาซูราถึงได้ทิ้งมหานครแห่งนี้
ในการตามหาโลแกนนั้น คานบอกว่าจะมีข่ายอาคมไล่คน แต่ลูน่าก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นประเภทแบบไหน
ถึงจะบอกว่าเป็นข่ายอาคม แต่มันก็มีอยู่หลายประเภท ตัวอย่างเช่นคฤหาสน์ของคานที่กันคนด้วยการทำให้รู้สึกกลัวและไม่อยากเข้าใกล้ นอกจากนี้ยังมีข่ายอาคมที่ทำให้เบี่ยงเบนสายของคนโดยการลบตัวตนแม้ว่ามันจะอยู่ตรงนั้น หรือข่ายอาคมที่ทำให้ผู้คนหลงทางจนไม่สามารถไปถึงสถานที่นั้นได้ก็มีเช่นกัน
ยิ่งไปกว่านั้น อีกฝ่ายยังเป็นจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย คงไม่มีทางหาเจอได้ง่าย ๆ
(ยุ่งยากชะมัด)
ลูน่าที่เหนื่อยล้าไม่อยากคิดอะไรแล้ว
เธอจึงคิดที่จะเรียกอันเดดให้มาช่วยตามหาแทน
ถึงจะบอกว่าไม่มีผู้คน แต่เดิมทีก็เคยเป็นมหานครมาก่อน ดังนั้นก็คงจะมีกระดูกฝังอยู่บ้าง ตอนนี้หลังจากที่กลายเป็นราชาอมตะแล้ว ความเข้ากันกับศาสตร์ความตายก็ดีขึ้นมาก และคิดว่าน่าจะสามารถใช้งานกูลกับสเกเลตันได้หลายสิบตัว
(เอาแบบนั้นก็แล้วกัน)
ลูน่ายกมือขึ้นแล้วเริ่มร่ายเวทเพื่อเรียกเหล่าผู้ล่วงลับที่หลับใหลอยู่ใต้พื้นดิน
ทว่า
“ช้าก่อนช้าก่อน! อย่าใช้ศาสตร์ความตายที่นี่!”
จู่ ๆ ก็มีเสียงพูดขึ้น
เมื่อมองไปก็เห็นชายชราร่างเล็กนั่งอยู่บนก้อนหินที่อยู่ไม่ไกลออกไป ซึ่งเมื่อครู่ยังไม่มีใครอยู่ตรงนั้น กำลังถือไม้เท้าอยู่ในมือขวา
เส้นผมสีขาวมีสีทองแซมอยู่เล็กน้อย ผิวขาวเหี่ยวย่น และนัยน์ตาสีแดง
“หืม? วิญญาณของชาวอาซูรา?”
ลูน่าตกใจ เพราะเป็นครั้งแรกที่เห็นชาวอาซูราคนอื่นนอกจากตัวเอง จึงสงสัยว่าเป็นวิญญาณหรือเปล่า
“ไม่ใช่โว้ย เจ้าโง่! อย่าเรียกคนว่าวิญญาณสิ! ข้าเป็นถึงจอมเวทผู้ใหญ่เชียวนะรู้หรือเปล่า!”
ชายชรากลอกตามองบนด้วยความโกรธแล้วเดินกระย่องกระแย่งเข้ามาหาลูน่า
“ฮะ? จอมเวทผู้ยิ่งใหญ่? คุณโลแกน?”
ต่างกันโลแกนที่ลูน่าจินตนาการไว้โดยสิ้นเชิง
เนื่องจากเป็นอาจารย์ของคาน เธอจึงนึกว่าเขาจะเป็นพวกที่ไม่น่าสนใจและไม่คิดอะไรนอกเหนือจากเรื่องเวทมนตร์เสียอีก
ชายชราตรงหน้าขนานนามตัวเองว่าจอมเวทผู้ยิ่งใหญ่ ดูเป็นคนปากดีไม่น้อย
“ใช่ ข้าคือโลแกนคนนั้น เมื่อกี้เจ้าคิดจะใช้ศาสตร์ความตายใช่ไหม! หยุดเลย อย่าปลุกคนตายขึ้นมาเล่น ๆ ดูแล้วเจ้าก็คงจะเป็นชาวอาซูราเหมือนกันสิท่า ไม่มีความเคารพต่อบรรพบุรุษบ้างเลยหรือไง”
“ก็ไม่มีนะคะ……”
“โอ๊ย ไม่ไหวไม่ไหว เด็กสมัยนี้นี่ พ่อแม่สั่งสอนอะไรมาบ้างเนี่ย”
โลแกนจ่อไม้เท้าไปที่ลูน่า
“คะ? ฉันไม่มีพ่อแม่ค่ะ พอจำความได้ก็อยู่ที่บ้านนายหน้าค้ามนุษย์แล้วค่ะ”
“……อย่างนั้นเหรอ งั้นก็ช่วยไม่ได้แฮะ”
โลแกนลดไม้เท้าลงแล้วหันหลังขวับเพื่อปกปิดความรู้สึกอึดอัด
“แล้วเอ่อ เจ้ามาทำอะไรที่นี่”
โลแกนที่หันหลังอยู่เอ่ยถาม
“ฉันดันกลายเป็นราชาอมตะ เลยอยากรู้ว่ามีวิธีเอาชนะความกระหายเลือดไหม จึงมาหาคุณโลแกนค่ะ”
“ราชาอมตะ? จริงรึ? ไหนแยกเขี้ยวไหนดูหน่อย”
โลแกนที่หันขวับกลับมาหาลูน่าอีกครั้ง เข้ามาใกล้ด้วยท่าทางสนอกสนใจ
(ไม่มีวิธีอื่นที่จะยืนยันได้เลยเหรอ)
ลูน่าคิด แต่ก็ยิงฟันให้ตามที่ขอ
“เหวอ มีเขี้ยวด้วย! น่ากลัวชะมัด! อย่าเข้ามาใกล้ล่ะ!”
โลแกนกระโดดถอยหลังรักษาระยะห่างกับลูน่า
ลูน่าตะลึงงัน ช่างเป็นคนที่แปลกในความหมายที่แตกต่างจากคาน
“คือว่า ขอโทษนะคะ แล้วมีวิธีเอาชนะไหมคะ”
ลูน่าเรียกโลแกนที่ถอยห่างออกไป
“ทำไม? แค่ดื่มเลือดก็ได้นี่ ไม่ได้เหรอ? อ้อ แต่เลือดของฉันไม่ได้นะ เพราะว่า เอ่อ ใช่แล้ว เลือดของฉันเป็นพิษ ถ้าดื่มก็จะตายยังไงล่ะ”
น้ำเสียงของโลแกนไม่รู้ว่าจริงจังหรือเปล่า
“ไม่ค่ะ ฉันคิดว่ามันไม่ดีในฐานะมนุษย์……”
“ก็เจ้าเป็นราชาอมตะไม่ใช่เรอะ ไม่ใช่มนุษย์แล้วนี่นา?”
ลูน่าอึ้งว่าเขาช่างเป็นคนที่พูดทำร้ายจิตใจออกมาตรง ๆ อะไรเช่นนี้
“เอาเป็นว่าฉันไม่อยากดื่มค่ะ พอจะทำอะไรได้บ้างไหมคะ”
“ไม่อยากดื่ม? งั้นก็แปลว่า ที่ผ่านมาเจ้าไม่เคยดื่มเลยงั้นเหรอ”
“ฉันกัดไปแค่คนเดียวค่ะ ฉันได้เลือดจากคนนั้นมาสักพักแล้ว แต่หลังจากนั้นก็ไม่ได้ดื่มเลย”
“โฮ่ ไม่ได้ดื่มมานานแค่ไหนแล้ว”
“มากกว่า 10 วัน……”
“ถ้าเช่นนั้นร่างกายก็ใกล้จะแย่แล้วสินะ ข้าให้อันนี้ก็แล้วกัน”
โลแกนหยิบขวดเล็ก ๆ ออกมาจากเสื้อแล้วโยนให้ในระดับมือของลูน่า เธอจึงรับสิ่งนั้นได้อย่างง่ายดาย ภายในขวดบรรจุของเหลวสีเขียวอยู่ด้านใน
“นี่คืออะไรคะ”
“เป็นขวดที่จะทำให้พลังเวทฟื้นฟู ในเมื่อไม่ได้ดื่มเลือดมา พลังเวทก็คงจะใกล้หมดแล้วใช่ไหมล่ะ ดื่มซะ ถึงมันจะเป็นพิษแต่ราชาอมตะก็คงไม่ตายหรอก”
ถึงลูน่าจะคิดว่าเขาพูดมากชะมัด แต่เธอก็เปิดจุกขวดแล้วดมกลิ่นเล็กน้อย ไม่มีกลิ่นแปลกอะไรเป็นพิเศษ เธอจึงดื่มเข้าไป
จากนั้นความเหนื่อยล้าของร่างกายก็หายไป และความต้องการเลือดก็ลดลง
“สุดยอด! ถ้ามีอันนี้ก็จะเยียวยาความกระหายเลือดได้! ถ้าได้ดื่มอันนี้ทุกวันละก็……”
“คิดว่ามันมีเยอะขนาดนั้นเลยรึไง! มันเป็นยาฟื้นฟูพลังเวทที่มีค่ามากนะรู้ไหม มีมูลค่ามากกว่าชีวิตมนุษย์เสียด้วยซ้ำ ถ้าจะใช้ทุกวัน สู้ไปกัดคนซะยังง่ายกว่า”
ดูเหมือนว่าชายชราร่างเล็กคนนี้จะไม่ค่อยให้ความสำคัญกับชีวิตมนุษย์ ซึ่งนั่นเป็นความรู้สึกที่ได้จากคานผู้เป็นลูกศิษย์เช่นกัน
“……งั้น ฉันควรทำยังไงดีคะ”
เมื่อรู้ว่าของที่ได้ผลเป็นของมีค่า ลูน่าก็รู้สึกท้อแท้เล็กน้อย
“รู้ไหมว่าทำไมผีดูดเลือดถึงต้องการเลือดมนุษย์”
“เพราะเลือดมนุษย์เป็นแหล่งพลังเวทค่ะ”
นี่เป็นสิ่งที่อยู่ในเอกสารของคาน เลือดมนุษย์จะกลายเป็นตัวเร่งพลังเวท และผีดูดเลือดก็สามารถเปลี่ยนมันให้กลายเป็นพลังเวทมหาศาลในร่างกายได้
“เป็นคำตอบที่ยังขาดอีกครึ่งหนึ่งสินะ การที่ต้องการพลังเวทขนาดนั้น เพราะมันเป็นผลจากการที่ผีดูดเลือดเผาผลาญพลังเวทมหาศาลตลอดเวลา สรุปคือ ถ้าระงับการเผาผลาญพลังเวทได้ก็ดี นอกจากนี้ หากสามารถดึงพลังเวทจากทุกสิ่งมาได้ ก็ไม่จำเป็นต้องลำบากลำบนไปเอาพลังเวทจากเลือดมนุษย์อีกต่อไป”
ลูน่าเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างในสิ่งที่โลแกนพูด
เธอเข้าใจเรื่องที่เผาผลาญพลังเวทมหาศาล เพราะร่างกายในตอนนี้มันแสดงพลังที่เหลือล้นออกมาตลอดทั้งทางกายภาพและเวทมนตร์ แต่เธอไม่รู้เลยว่าจะระงับมันได้ยังไง ส่วนเรื่องที่ถึงขั้น “ดึงพลังเวทจากทุกสิ่ง” นั้น เธอไม่เข้าใจถึงขนาดที่ว่า “ตาแก่นี่มันพูดอะไรของมัน”
“คือว่า จะระงับการเผาผลาญพลังเวทได้ยังไงคะ”
“ไม่รู้ ก็แปลว่าฝึกฝนไม่พอยังไงเล่า เจ้าเด็กอ่อนหัด”
โลแกนถ่มน้ำลายใส่พื้นเพื่อยั่วยุลูน่า
ลูน่าหงุดหงิดแต่ก็ยังถามต่อไป
“แล้ว วิธีดึงพลังเวทล่ะคะ”
“พลังเวทมันมีอยู่ในทุกสิ่ง ไม่ใช่แค่ในมนุษย์เท่านั้น แต่ยังมีในดวงอาทิตย์ ต้นไม้ใบหญ้า พื้นดิน อากาศ ทุกสิ่งอย่าง ถ้ารู้สึกถึงมันและทำให้มันเป็นของตนเองได้ ก็จะไม่ขัดสนในพลังเวท ข้าทำได้นะจะบอกให้ ไร้เทียมทานสุด ๆ”
โลแกนเชิดอกอวดตน
“ไม่เห็นเคยได้ยินเรื่องแบบนั้นเลยค่ะ”
“หึ……เพราะเจ้าพึ่งพาประสาทสัมผัสทั้งห้ามากเกินไปยังไงเล่า มองด้วยตาของหัวใจดูสิ”
“คืออะไรคะ ตาของหัวใจ”
“ไม่รู้ ข้าพูดไปงั้นแหละ”
ยิ่งคุยกันลูน่าก็ยิ่งรู้สึกโมโห แต่เธอก็ไม่มีคนอื่นให้พึ่งพาแล้วนอกจากชายชราคนนี้
“คือว่า ช่วยรับฉันเป็นลูกศิษย์ได้ไหมคะ”
ถึงจะรู้สึกกังวลอะไรหลาย ๆ อย่าง แต่เขาเป็นอาจารย์ของคาน เขาก็ย่อมต้องมีความคิดที่จะรับลูกศิษย์
“ก็ได้”
โลแกนตกลงอย่างง่ายดาย
“แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งนะ”