[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก - ตอนที่ 51 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - ยินดีต้อนรับกลับนะ
- Home
- [WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก
- ตอนที่ 51 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - ยินดีต้อนรับกลับนะ
3 วันต่อมา กลางดึกคืนนี้ ก็ 13 วันแล้วตั้งแต่ที่สแตออกไป
ในช่วงเวลาที่แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็หลับกันหมดแล้ว ท่านโนอะ โอโตฮะ โอรัน และฉันทำให้พวกทหารยามที่เฝ้าอยู่หลังประตูหลับไปหมดแล้ว กำลังรอคอยอย่างใจจดใจจ่อกันอยู่
TN: 草木も眠る丑三つ時 (kusaki mo nemuru ushi no mitsudoki) เป็นสำนวนญี่ปุ่นที่ตามตัวอักษรจะแปลว่า “เวลาที่แม้แต่ต้นไม้ใบหญ้าก็หลับแล้ว” ซึ่งหมายถึงประมาณตี 2 ถึงตี 3 หรือก็คือเวลาที่ดึกมากๆ ใช้สื่อถึงความเงียบสงบยามค่ำคืนที่คนส่วนใหญ่นอนหลับกันแล้ว คำว่า [丑三つ時 (ushi no mitsudoki)] นั้นสื่อถึงช่วงเวลา 2:00 – 3:00 ซึ่งตามปกติแล้วจะถือว่าเป็นช่วงที่มืดที่สุดและเงียบที่สุดของเวลากลางคืนตามนิทานพื้นบ้านญี่ปุ่น
“ฮัดชิ่ว! …สแตยังไม่มาอีกเหรอเนี่ย ดูจากเวลาเมื่อตอนที่เธอส่งข้อความมาให้เรา อีกไม่นาน เธอก็ควรจะมาถึงได้แล้วนะ”
“แล้วฉันบอกท่านโนอะไปกี่ครั้งแล้วล่ะคะว่าท่านคอยอยู่ข้างในก็ได้น่ะ? เดี๋ยวฉันคอยเฝ้าดูจากตรงนี้ให้เอง”
“ไม่ได้สิ ถ้าฉันเป็นคนเดียวที่รออุ่นๆ อยู่ข้างใน ทั้งๆ ที่สแตที่ต้องออกไปทำงานหนักกลับมาที่นี่เนี่ยมันก็ใช้ไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ แบบนั้นฉันก็ดูเป็นเจ้านายที่ไม่เอาอ่าวกันพอดี”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ท่านโนอะเป็นคนที่ไม่เอาอ่าวมาตั้งนานแล้วล่ะค่ะ”
“คุโระ มันมีคำพูดที่ใช้พูดกับเจ้านายของตัวเองได้ แล้วก็มีคำพูดที่ไม่ควรจะเอามาใช้พูดกับเจ้านายของตัวเองนะ”
“ยังไงตอนนี้ก็ช่างเรื่องนั้นไปก่อนเถอะค่ะ”
“อย่าทำเป็นเมินนะ นี่ ฟังฉันสิ หันมามองทางนี้ซักเดี๋ยวซิ”
“พวกเธอ 2 คนตรงนั้น จะไปรอข้างในกันมั้ยคะ?”
ระหว่างที่ฉันดันท่านโนอะที่โผเข้ามาจะงับฉันอยู่แล้วออกไปอย่างเบามือ ฉันก็หันไปถาม 2 คนนั้นที่อยู่ห่างออกไปนิดหน่อย
“ไม่ต้องหรอกเจ้าค่ะ เราจะรอ มันเป็นเวลาที่จะตัดสินด้วยว่าพวกคุณรักษาสัญญาที่ให้ไว้จริงๆ หรือเปล่า”
“อย่างนั้นเหรอคะ”
“ทำไมถึงเมินฉันล่ะ เดี๋ยวสิ คุโระ ขอโทษซะ ขอโทษเดี๋ยวนี้ที่มาบอกว่าฉัน ‘เป็นคนที่ไม่เอาอ่าว’ น่ะ”
“โทษทีแล้วกันค่ะ แต่นี่เธอก็ยังไม่มาซักทีจริงๆ ด้วย ต้องมีเรื่องอะไรซักอย่างเกิดขึ้นแน่เลย”
“พอรวมกับชาติก่อนแล้ว ฉันก็อยู่มานานประมาณนึงเลยด้วยนะ แต่นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉันได้ยินคำขอโทษที่ไม่จริงใจมากถึงขนาดนี้ ขอโทษให้มันดีๆ กว่านี้ซิ”
“ถ้าท่านไม่อยากถูกเรียกว่าเป็นคนไม่เอาอ่าวล่ะก็ ได้โปรดช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของท่านให้ดีขึ้นหน่อยสิคะ”
“ไม่”
“…พวกคุณนี่ เป็นเจ้านายกับข้ารับใช้ที่เชื่อใจกัน จริงๆ ใช่มั้ยครับ?”
ฉันหลบสายตาที่เคลือบแคลงของโอรันมา พร้อมๆ กับที่รู้สึกหงุดหงิดขึ้นเรื่อยๆ กับที่ท่านโนอะเรียกร้องต้องการจะให้ฉันขอโทษท่านซักทีอย่างไม่ลดละ ระหว่างกำลังชั่งใจว่าจะทำให้ทุกคนหลับๆ ไปซะ แล้วรอสแตอยู่คนเดียวดีมั้ย แต่สุดท้าย ฉันก็เอาชนะและไล่ความขัดแย้งในใจที่จะไปทำให้ท่านโนอะต้องเป็นอันตรายออกไปจนได้
“โอ๊ะ เสียงกีบเท้านี่ มาถึงแล้วสินะ?”
พอท่านโนอะบอกแบบนั้น เราทุกคนก็หันไปสนใจทางประตูรั้วที่เปิดออกจนสุดกันหมด
เพราะข้างหน้าคฤหาสน์นั้นเป็นทางลาดชัน เราก็เลยยังมองไม่เห็น แค่ได้ยินเสียงอย่างเดียว
เสียงนั้นค่อยๆ ดังขึ้นๆ จนหัวม้าเริ่มโผล่มาให้เห็นแล้ว
จากนั้น รถม้าทั้งคันก็ปรากฏขึ้นมาให้เห็น-
“…เอ๊ะ?”
น่าจะเป็นฉันแหละที่เป็นคำพูดคำนี้ออกมา
มันไหลออกมาจากฉันอย่างเป็นธรรมชาติจนฉันยังไม่แน่ใจเลยว่าฉันใช่คนที่พูดมันออกมาหรือเปล่า
รถม้าตรงหน้าเราน่ะ มันผิดปกติสุดๆ เลย
โครงสร้างมันน่ะไม่ได้ต่างอะไรไปจากรถม้าทั่วไปหรอก ดูเหมือนจะเป็นแบบที่ชื่นชอบของพวกขุนนางนะ แต่ออกแบบไว้ให้กลมกลืน เดินทางได้โดยที่ดูไม่เตะตา
แต่รูปร่างภายนอกของมัน ยังไงฉันก็ไม่มีทางบอกได้เลยจริงๆ ว่ามันคือรถม้าธรรมดาๆ น่ะ
บางทีอาจจะมีแค่ฉันคนเดียวก็ได้ที่รู้สึก ด้วยสายตาที่มองเห็นในความมืด ลักษณะพิเศษของนักเวทย์ความมืด ฉันเลยเป็นคนเดียวที่มองเห็นความผิดปกติได้
อย่างแรกเลย มันมีเลือดปริมาณเยอะมากสาดกระเซ็นไปทั่วทั้งคันรถ
ส่วนตู้ก็เป็นรูขาดวิ่นไปหมด ม้าเองก็ดูจะเดินเซไปเซมาไม่มั่นคง
คนที่นั่งอยู่ในตำแหน่งสารถีเป็นชายที่หน้าตาไม่คุ้นเลย สีหน้าตายด้าน กุมบังเหียมคุมม้าอยู่ด้วยตัวที่สั่นเทาไปหมด
“น-… นี่มัน อะไรกัน?”
“คุโระ? เกิดอะไรขึ้น?”
ว่าแล้วเชียว ท่านโนอะมองไม่เห็นจริงๆ ด้วย
“ท่านโนอะคะ สถานการณ์ฉุกเฉินแล้วค่ะ รถม้าคันนั้น…”
“เอ๊ะ ว่าไง-… เดี๋ยว! นี่มันอะไรกันเนี่ย!?”
พอรถม้าเข้ามาใกล้และหยุดลง ท่านโนอะก็สังเกตเห็นความผิดปกติได้แล้วเหมือนกัน
โอโตฮะกับโอรันเองก็ตกใจตาโตไม่ต่างกัน
“น- นี่หรือว่า สแตจะ?”
“ไม่จริงน่า… สแต!!”
ฉันรีบวิ่งไปที่รถม้าคันนั้น
เข้าไปเปิดประตูตู้รถที่เป็นรูพรุนไปหมด
ที่นั่น
ฉันเห็นสแตนอนเลือดอาบทั่วร่าง นิ่งไม่ไหวติง
“ไม่จริง ใช่มั้ย? สแต?”
“คุโระ! ข้างในนั้น-…”
“ท่านโนอะ! อย่าเข้ามาตรงนี้ค่ะ!”
ฉันจะให้ท่านโนอะเห็นภาพนี้ไม่ได้เด็ดขาดเลย
ฉันต้องรับเรื่องนี้เอาไว้เอง
“โกหกใช่มั้ย? นี่ คุโระ? เกิดอะไรขึ้นกับสแตกันแน่!?”
“ม- ไม่จริงน่า…”
“กึก…”
ท่านโนอะถึงกับกรี๊ดออกมาเลย โอโตฮะเองก็ยกมือขึ้นมาปิดปาก ส่วนโอรันก็กัดฟันกรอดๆ
เห็นแบบนั้น ฉันก็กลั้นใจ
เดินเข้าไปหาสแต และอุ้มร่างของเธอที่วางราบอยู่กับเก้าอี้ตัวนึงขึ้นมา
สแตไม่กระดุกกระดิกเลย
เธอแค่อยู่ตรงนั้น
นิ่งสนิท
“ฟี้……”
“…เหมือนจะแค่หลับนะคะ ที่ตัวไม่มีรอยขีดข่วนเลย”
แล้วก็มีเสียง *โครม* ดังสนั่นจากที่คน 3 คนล้มหงายหลังพร้อมกันดังขึ้นมา
“โอ้ย เจ็บๆๆๆ… ต- แต่ว่า เลือดโชกเต็มตัวเธอเลยไม่ใช่เหรอ?”
“ดูเหมือนทั้งหมดนี่จะเป็นเลือดที่สาดกระเด็นมาโดนเฉยๆ นะคะ น่าจะรวมถึงเลือดข้างนอกนี่ด้วย”
“ล- แล้วเลือดพวกนี้มันเป็นของใครกันน่ะครับ?”
“ไม่รู้สิคะ ยังไงก็ดีแล้วล่ะค่ะที่เลือดพวกนี้ไม่ใช่ของสแต นี่ สแต ตื่นได้แล้ว”
“งือ……”
สแตค่อยๆ ลืมตาขึ้นอย่างปรือๆ กระพริบอยู่ 2-3 ที ก่อนจะหาวววว
“อรุณสวัสดิ์นะ หลับสบายดีหรือเปล่า?”
“……คุโระ?”
“ใช่ คุโระเอง ขอโทษนะที่ต้องถามเธอปุบปับแบบนี้ แต่อธิบายหน่อยสิว่าเลือดพวกนี้มันอะไรกัน แล้วชายคนนั้นเป็นใครกันแน่?”
“……คุณหนู”
“ฉันอยู่นี่”
ท่านโนอะเดินเข้ามา จนอยู่ในสายตาของสแต
แล้วสแตก็โผเข้ามาที่อกของฉันกับท่านโนอะ ก่อนจะกอดพวกเราแน่นเลย
“เหงา มากเลย”
“จริงๆ ด้วยสินะ ขอโทษนะที่ทำให้เธอต้องรับภาระหนักแบบนี้ แต่ทำได้ดีมาก ฉันภูมิใจในตัวเธอนะ สแต”
“ใช่แล้ว เธอทำได้ดีมากเลยนะ”
“อืม ทำเต็มที่เลย”
สแตน่ะเป็นผู้ใหญ่มาก จนทำเอาลืมไปได้ง่ายๆ เลยว่ายังไงเธอก็ยังเป็นแค่เด็ก 8 ขวบเท่านั้นเอง
ดูเหมือนเราจะทำให้เธอเสียใจมากกว่าที่เราคิดเอาไว้ซะอีกแฮะ
“ไม่ เอาแบบนี้ แล้ว”
“อ้า ฉันจะไม่ให้เธอไปทำอะไรแบบนี้อีกแล้วล่ะ”
แต่ว่า โล่งอกจริงๆ เลยนะ ที่ได้เห็นว่าสแตยังปลอดภัยดีอยู่แบบนี้น่ะ
ตอนที่เห็นร่างของเธอโชกเลือดเมื่อกี้ มันทำเอาฉันหัวใจหยุดเต้นไปจริงๆ แวบนึงเลยนะ
“แล้ว เลือดพวกนี้มันยังไงกันน่ะ สแต? ไหนจะเรื่องผู้ชายที่อยู่ตรงนั้นอีก?”
“โจร”
“เป็นพวกโจรงั้นเหรอ?”
“อืม โดนดักปล้น”
โห นี่มาดักปล้นสแตของพวกเรางั้นเหรอเนี่ย
“23 คน บุกเข้ามา”
“แล้ว?”
“สวนคืนไปหมด ทุกคนเลย คุมให้พวกนั้นเห็นพวกเดียวกันเป็นศัตรู แล้วก็ให้พวกนั้นสู้กันเอง ชายตรงนั้นคือคนสุดท้ายที่เหลือ แล้วก็เป็นบ้าไปแล้ว เลยคุมให้มาเป็นคนขับรถม้า”
…โอ้โห
ต้องดูพวกพ้องทั้ง 22 คนของตัวเองเข่นฆ่ากันเอง จนสุดท้ายก็ต้องฆ่าเพื่อนพ้องที่เหลือรอดเป็นคนสุดท้ายด้วยน้ำมือของตัวเอง ชายคนนั้น เป็นหุ่นเชิดมนุษย์สินะ
คงต้องเจอกับความสะเทือนใจอย่างรุนแรงถึงขั้นสติพังทลายเลย ถึงจะทำตัวเองก็เถอะ แต่หมอนี่ก็เป็นชายที่น่าสงสารซะเหลือเกินนะ
“งั้น ก็หมดประโยชน์แล้วสิ”
“อืม คุโระ ฆ่าได้เลย”
“ช่วยอย่าพูดเหมือนกับว่าฉันเป็นฆาตกรหรืออะไรแบบนั้นจะได้มั้ยเนี่ย แต่ช่างเถอะ ได้สิ {ไมนัสไลฟ์ (บังคับวัยเสื่อมสลาย)}”
ชายคนนั้นที่ตัวสั่นงันงกอยู่ตรงที่นั่งสารถีร่วงลงกับพื้นอย่างไร้ชีวิตราวกับหุ่นเชิดที่ถูกตัดเชือกเชิดทิ้งไป
ในสภาพแบบนั้น จะกินจะดื่มอะไรก็ไม่ได้ทำให้ดีนักหรอก ฉันว่าเพราะแบบนั้นแหละอายุขัยของชายคนนี้เลยแทบจะหมดอยู่รอมร่ออยู่แล้ว
“โอโตฮะ โอรัน”
“…เอ๊ะ? พ- พวกเราเหรอ?”
“อืม เอาตัวมา เรียบร้อยแล้ว”
“เอาตัวมา?”
“ดู ข้างใน”
โอโตฮะกับโอรันหันมามองหน้ากัน ก่อนจะเข้าไปในรถม้าเมื่อทั้งคู่ตัดสินใจได้แล้ว
“น- นี่มัน!?”
“จริงเหรอเนี่ย…!?”
พอเห็นสีหน้าตกตะลึงของทั้งโอโตฮะทั้งโอรันแบบนั้นแล้ว ฉันเองก็อดแอบเหลือบดูข้างในไม่ได้เหมือนกัน
แล้ว ข้างในนั้น
“ท- ท่านพี่!? ท่านพ่อ!?”
มีคู่พ่อลูกตระกูลกิฟท์ ถูกมัดแขนมัดขา ปิดทั้งตาทั้งหู นอนอยู่ด้วย
ก่อนหน้านี้ฉันสนใจแต่สแตจนไม่ทันได้สังเกตเลย แต่ทั้งคู่ก็ถูกพาตัวมาด้วยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
“ว่าแต่ สแต เธอได้ให้พวกนี้กินอาหารบ้างมั้ย?”
“ไม่ได้ให้อะไรเลย แต่สร้างภาพหลอนเอาไว้ว่าได้กินนะ แบบที่คุโระบอกเลย ปลากดกัน ปลาชี้โบ”
ปรากฏการณ์พลาซีโบ (Placebo effect)
กล่าวอย่างง่ายๆ ก็คือ อาการบาดเจ็บหรือภาวะเจ็บป่วยสามารถรักษาได้ด้วยความเชื่อ
ถึงอาจจะรู้สึกแปลกๆ อยู่ก็จริง แต่ด้วยความสมจริงของภาพหลอนจากเวทมนตร์สายจิตใจของสแตแล้ว การจะสร้างความรู้สึกอิ่มท้องได้ทั้งที่จริงๆ แล้วไม่ได้กินอะไรเลยเนี่ยสามารถทำได้ง่ายเกินพอเลยล่ะ
TN: Placebo effect มีที่มาจากการศึกษาเกี่ยวกับยาครับ ยาบางชนิดนั้นถูกสร้างขึ้นมาเพื่อการรักษาโดยไร้ซึ่งสารออกฤทธิ์ทางการแพทย์ กลุ่มของยาประเภทนี้จะเรียกว่า “ยาหลอก (Placebo)” ซึ่งถูกทำให้มีลักษณะ สี และขนาดต่างๆ ให้ดูคล้ายกับยาทั่วไป แต่กลับไม่มีส่วนประกอบของสารออกฤทธิ์ที่มีผลต่อการรักษา ซึ่งจะถูกนำไปใช้เป็นวิธีการศึกษาและทดลองของสถานพยาบาลโดยควบคุมด้วยยาหลอก (Placebo-controlled study) โดยวัดผลจากการเปลี่ยนแปลงที่สามารถวัดหรือสังเกตได้หลังจากผู้รับการรักษาทดลองได้รับประทานยาเข้าไป นี่เรียกว่า [ปรากฏการณ์ยาหลอก (Placebo effect)]
จากผลการศึกษาทำให้ทราบว่ายาหลอกมีผลได้ทั้งเชิงบวกและเชิงลบ โดยในเชิงบวกนั้นยาหลอกอาจทำให้ผู้เข้ารับการรักษาที่มีภาวะต่างๆ (เช่น โรคซึมเศร้า นอนไม่หลับ ความเครียดวิตกกังวล อาการปวด อาการไอ หรือความดันโลหิตที่ผิดปกติ) มีอาการตอบสนองในทางสุขภาพที่ดีขึ้น
“หรือก็คือ ตลอด 3 วันมานี่พวกนั้นไม่ได้กินหรือดื่มอะไรเลยงั้นสิ แบบนั้นจะตายเอานะ”
“แต่ยังไงซะ อีกไม่นานเจ้าพวกนี้ก็จะตายอยู่แล้วนี่ ก็ดีแล้วที่สแตทำให้พวกมันอ่อนแรงแบบนี้น่ะ”
“ไงเล่า”
ดูเหมือนสแตจะไปเรียนเอาคำแปลกๆ มาด้วยแฮะ
อ๊ะ ไม่สิ คนที่สอนมันก็ฉันเองนี่นา
“แล้วนี่ คุณสแต? นี่คุณทำให้เกิดการจลาจลได้แล้วเหรอครับ?”
“น่าจะ เก้าเก้าเปอร์เซ็นต์”
“จ- จริงเหรอ?”
“อืม จริง”
“เอาเถอะ เรื่องนั้นจะเกิดขึ้นหรือเปล่า ยังไงเดี๋ยวพ่อฉันก็ได้ข่าวคราวมาเองนั่นแหละ ที่สำคัญน่ะไม่ใช่ว่าจะเกิดการปฏิวัติขึ้นหรือเปล่า แต่เป็นเรื่องที่ว่า 2 คนนั้นถูกพาตัวมาที่นี่แบบนี้ต่างหาก เอาล่ะ มาขนเจ้าพวกนี้กัน ตรงนั้นมีโกดังที่ไม่มีใครใช้อยู่ด้วย งั้นเอาเป็นที่นั่นแล้วกัน”
“รับทราบค่ะ แต่ว่า ตรงนี้ก็มีแค่เด็กตัวเล็กๆ อ่อนแออยู่กัน 5 คนเท่านั้นเอง และท่านโนอะก็คงไม่ช่วยอยู่แล้ว ก็กลายเป็นว่าเรามีอยู่แค่ 4 คน การจะขนตัวพวกเขาไปก็น่าจะใช้เวลาพอสมควรเลย อีกทั้งยังมีความเสี่ยงจะโดนเจอตัวเข้าด้วย จะทำยังไงเหรอคะ?”
“จริงด้วยสิ สแต ขอโทษนะที่ต้องให้ช่วยหน่อย แต่เธอรีบแวะเข้าไปที่คฤหาสน์ แล้วคุมตัวชายแข็งแรงซัก 2-3 คนมาช่วยตรงนี้หน่อยจะได้มั้ย?”
“เข้าใจแล้ว”
เป็นอีกครั้งที่เน้นย้ำให้ฉันได้เห็นถึงความมีประโยชน์ของเวทมนตร์สายจิตใจของสแต
แล้วสแตก็พาตัวคนสวน พ่อบ้าน ยาม แล้วก็คนทำความสะอาดมา ด้วยความช่วยเหลือของพวกเขา 4 คน การแบกร่างชาย 2 คนเข้าไปเก็บในโกดังเลยเป็นไปอย่างง่ายดาย
TN: แหม ตอนแรกทำเอาตกใจหมดเลย