[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก - ตอนที่ 49 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - ประวัติศาสตร์อันดำมืด
- Home
- [WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก
- ตอนที่ 49 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - ประวัติศาสตร์อันดำมืด
“จะเริ่มเล่าจากตรงไหนดีน้า นั่นสิ ดูแล้วฉันคงต้องเริ่มจากตอนที่ฉันได้เจอกับคุโระครั้งแรกนั่นแหละนะ”
“เดี๋ยวก๊อน!? นี่จะเล่าจริงๆ เหรอคะท่านโนอะ!? หยุดเถอะนะคะ! เรื่องมันน่าอายจะตาย!”
“ทำไมต้องอายด้วยล่ะ? ที่ฉันกับคุโระเจอกันได้ยังไงนี่ก็ออกจะเป็นเรื่องราวแสนน่าประทับใจไม่ใช่เหรอ มันก็จริงอยู่นะที่สภาพเธอโทรมสุดๆ แถมยังไปได้ความปรารถนาที่จะทำลายโลกใบนี้ทิ้งไปซะด้วย แต่ก็-”
“…น่าสนใจอยู่นิดนึงเหมือนกันนะเจ้าคะ”
“แล้วไหงถึงเกิดสนใจขึ้นมาในเวลาแบบนี้ล่ะเนี่ย!? ถ้าไม่เชื่อใจฉันก็ขอร้องล่ะ ไม่ต้องมาเลย!”
“คุโระ อย่าพูดแบบนั้นสิ น่าสงสารพวกเขาออก”
“คนที่น่าสงสารที่สุดในสถานการณ์ตอนนี้ยังไงก็ต้องเป็นฉันต่างหากล่ะคะ!”
“งั้นเหรอ คุโระน่ะอายมากกับเรื่องในอดีตจนเป็นแบบที่เห็นตอนนี้เลยล่ะ แต่ก็ เมื่อตอนนั้นน่ะนะ―――”
“เดี๋ยว- ขอเถอะนะคะ! หยุดทีเถอะ! ม- ไม่น้าาาาาาาาาา!!”
“ก็ตามนั้นแหละ จากเหตุการณ์ทั้งหลายทั้งแหล่ที่ว่ามานี่ เด็กคนนี้เลยกลายมาเป็นของของฉันไงล่ะ”
““เห~””
“ฆ่าฉัน เลยเถอะค่ะ…”
เมื่อตอนที่ฉัน 5 ขวบ
ตอนนั้นที่ฉันโดนพวกนักผจญภัยหลอกเอาแบบง่ายๆ จนเกือบจะโดนใช้เป็นเหยื่อสังเวยให้งูไปแล้ว ในตอนที่ฉันตกอยู่ในสภาพที่เหมือนจิตวิปริตเป็นบ้าไปเลย ความคิดที่ว่า ‘ฉันจะเป็นจอมมารซะเลย’ ก็เข้ามา ตอนนั้นน่ะเป็นรอยด่างพร้อยในประวัติชีวิตของฉันเลย
การได้เจอกับท่านโนอะเป็นเรื่องน่ายินดีจริงๆ นะ และการได้รับใช้คนคนนี้ก็เป็นความสุขที่สุดของฉันแล้ว ฉันจำทุกคำที่ท่านพูดกับฉันในตอนนั้นได้อย่างไม่มีผิดเพี้ยน แต่เรื่องเกี่ยวกับตัวเองตอนก่อนจะเจอกับท่านโนอะเนี่ย ฉันไม่คิดอยากจะจดจำมันเลยซักนิด
จะมา ‘ตามหาความหมายของชีวิต’ อะไรเล่า ถ้ามีเวลาจะไปตามหาอะไรแบบนั้น สู้ไปเรียนรู้วิธีการระแวงสงสัยผู้คนซะก่อนเถอะ
จะมา ‘ทำลายทุกอย่างให้สิ้นซาก’ อะไรเล่า ถ้าจะมีแรงไปทำอะไรแบบนั้น สู้เอาแรงไปคิดหาวิธีการใช้ชีวิตยังจะดีซะกว่า
“ก็เพราะแบบนี้แหละ เรื่องราวเบื้องหลังของเด็กคนนี้ก็ต้องลำบากยากเข็ญเพราะสีผมของตัวเอง เหมือนกับพวกเธอ 2 คนเลยล่ะ”
“ค่ะ ก็ ฉันโชคดีที่ได้พบกับท่านโนอะตั้งแต่เนิ่นๆ ฉันก็เลย คงไม่เข้าใจความรู้สึกของพวกเธอ 2 คนที่ต้องทรมานมาตลอด 11 ปีได้ขนาดนั้น―――”
“ม- ไม่ใช่แบบนั้นหรอกเจ้าค่ะ ก็หนักพอกันทั้ง 2 ฝ่ายนั่นแหละ”
“อาระ พวกเธอไม่สงสัยว่าจะโกหกเหรอ?”
“ไม่ต้องสงสัยเลยครับ ในเมื่ออีกฝ่ายที่ถูกเล่าถึงหน้าแดงขนาดนั้น ก็คงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเชื่อแล้วล่ะครับ”
ฉันหันไปมองกระจก ก็เห็นว่าหน้าของฉันแดงแจ๋เป็นมะเขือเทศเลย
“อะฮะฮะฮ่า เธอทำหน้าตลกจังเลยนะคุโระ”
“ความผิดของท่านโนอะนั่นแหละค่ะ!”
ท่านหุบยิ้มกลั้นขำเอาไว้ไม่ได้เลย
พอกันที กับสาย S ขนานแท้คนนี้น่ะ
“คือ ผมเข้าใจเรื่องของคุณคุโระแล้ว ว่าแต่ แล้วเด็กที่ชื่อสแตคนนั้นล่ะครับ?”
“เธอเคยเป็นทาสมาก่อนน่ะ พวกเราไปเจอตัวเธอเมื่อ 4 ปีก่อน”
“แสดงว่า ไปซื้อตัวเธอมาอย่างนั้นเหรอเจ้าคะ?”
“เปล่าหรอกค่ะ ท่านโนอะจัดการทรมานเจ้านายคนก่อนของสแต ก่อนจะฆ่าเขาทิ้ง แล้วทำให้เธอเป็นไทค่ะ”
““!?””
“เดี๋ยวสิคุโระ! วิธีพูดนั่นน่ะ! นี่เธอจะเอาคืนฉันเหรอ!?”
ก็ไม่ได้โกหกซักหน่อยนี่
“ม- มันไม่ใช่แบบนั้นนะ ช่วยฟังเรื่องทั้งหมดก่อนได้มั้ย?”
“ว- ว่าแล้วเชียว เป็นคนไร้ปราณี ไม่มีทั้งเลือดทั้งน้ำตาจริงๆ ด้วย…”
“ท่านจะให้เราต้องเผชิญสถานการณ์ที่น่ากลัว โดยซ่อนไว้ใต้คำว่าความไว้ใจสินะเจ้าคะ”
“ที่พูดนั่นน่ะไม่จริงใช่มั้ย อีกอย่าง พวกเธอน่ะไม่เชื่อใจคนอื่นกันมากเลยไม่ใช่เหรอ แล้วทำไมคราวนี้อยู่ๆ ก็ยอมเชื่อในสิ่งที่คิดว่าเหมาะกับตัวเองกันแบบนั้นล่ะ! มันไม่ใช่แบบนั้นนะ! คุโระ! เธอเองก็ช่วยทำความเข้าใจให้ด้วยสิ!”
ฉันไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเล่าเรื่องราวทั้งหมดโดยละเอียด
เรื่องที่สแตได้มาเป็นเพื่อนพ้องของเรา เมื่อ 4 ปีก่อน
“ก็ เรื่องที่เกิดขึ้นมันก็เป็นแบบนี้แหละ”
“ห- โห เรื่องมันเป็นแบบนี้นี่เอง”
“ทำไมพวกเธอถึงต้องพยายามเอาตัวหนีออกไปกันแบบนั้นด้วยล่ะ? ยังติดใจอะไรกันอยู่เหรอ?”
ท่านโนอะทำหน้ามุ่ย ในขณะที่คว้าขนมเข้ามาทานไปด้วย
สงสัยฉันอาจจะทำเกินไปหน่อยล่ะมั้ง
“แล้ว ตุ๊กตาที่หน้าตาเป็นเอกลักษณ์ที่คุณสแตอุ้มอยู่นั่นมันคือ?”
“อ้อ โกราสึเกะน่ะ ฉันซื้อมันมาจากแม่ค้าเร่เป็นของขวัญวันเกิดให้เธอเมื่อ 4 ปีก่อน”
“ไม่ต้องห่วงไปหรอก เราเข้าใจดีว่ารสนิยมความชื่นชอบของเธอมันเป็นเอกลักษณ์ที่ต่างจากคนทั่วๆ ไปอยู่ซักหน่อยน่ะ”
ทั้ง 2 คนถอนหายใจออกมากันอย่างโล่งอก
พวกเขาอาจจะสงสัยว่าการที่ต้องถูกขังและผ่านเหตุร้ายๆ มาจะทำให้รสนิยมเจ้าตัวแปลกไปหรือเปล่าก็ได้นะ
“มีอะไรเหรอ? พวกเธอดูจะสนใจขึ้นมากันแปลกๆ นะ”
“ไม่ว่าในอนาคต พวกคุณจะเป็นมิตรหรือศัตรู การมีข้อมูลเอาไว้มันก็ดีกว่าอยู่แล้วเจ้าค่ะ เพียงเท่านั้นเอง”
“พวกฉันอาจจะโกหกก็ได้นะ”
“ถึงอย่างนั้น ก็ดีกว่าไม่มีข้อมูลอะไรเลยอยู่ดี”
ฝาแฝดลุกขึ้นยืน ก่อนจะเปิดประตูห้องของท่านโนอะ
“ถ้าอย่างนั้น ขอตัวก่อนนะเจ้าคะ ให้เรากลับไปที่ห้องที่พาเราไปดูก่อนหน้านี้ได้เลย ถูกต้องสินะ?”
“อื้อ ไม่มีใครไปที่นั่นแน่ ไม่ต้องห่วง เดี๋ยวคุโระจะเอาอาหารไปให้พวกเธอทีหลังนะ”
พอได้ยินแบบนั้น ฝาแฝดก็ออกจากห้องกันไปทั้งคู่
“จะให้ได้ความไว้วางใจมานี่ ลำบากจังเลยนะคะ”
“เดี๋ยวสแตเสร็จงานแล้วกลับมาเมื่อไหร่ เรื่องนี้ก็คลี่คลายเองนั่นแหละ ไม่ต้องห่วงหรอก”
“2 คนนั้นยังไม่มองพวกเราเลย เห็นได้จากข้อเท็จจริงที่ว่าแม้แต่เสน่ห์ลึกลับของท่านโนอะที่ดึงดูดเหล่าบรรดาผู้ครอบครองเวทมนตร์หายากก็กลับไม่เป็นผลเลย มันพูดยากนะคะ แต่ว่า”
“ต่อให้จะกวาดล้างตระกูลกิฟท์จนหมดแล้ว ความเป็นไปได้ที่ทั้งคู่จะมาเป็นของของฉันก็ยังต่ำอยู่สินะ?”
ท่านยังเป็นคนที่เข้าใจว่าอีกฝ่ายอยากจะพูดอะไรต่อได้เหมือนอย่างเคยเลยนะ
“ที่คุโระกังวลนั่นน่ะมีเหตุผลเลยนะ ความไม่ไว้วางใจของทั้ง 2 คนมีอยู่มาก การที่เด็กหัวดีจะคิดแบบนี้ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย”
“แสดงว่า ท่านโนอะที่ฉลาดกว่าอีกก็มีหนทางและข้อสรุปอื่นแล้วเรียบร้อยสินะคะ?”
“ถูกแล้ว”
ท่านโนอะว่าแบบนั้น พลางบิดขี้เกียจอย่างเรื่อยเฉื่อย
“ฉันคิดว่าคุโระเองก็น่าจะสังเกตเห็นเหมือนกันนะ 2 คนนั้นไม่ได้แค่ไม่เชื่อใจในตัวผู้คน แต่ยังโหยหาใครซักคนที่พวกเธอจะเชื่อใจได้อย่างแท้จริงด้วย เบื้องหลังเป้าหมายที่จะพึ่งพากันและกัน ยังมีความปรารถนาที่ย้อนแย้งอย่างการพบปะกับผู้คนอีกมากมายอยู่”
“ค่ะ ฉันเองก็รู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน”
“ปัจจัยที่ทำให้เกิดความซับซ้อนทางสภาวะจิตใจแบบนี้ก็คือครอบครัวตระกูลกิฟท์นั่นแหละ สภาพแวดล้อมของทั้งคู่ที่มีแต่คนเป็นศัตรูของตัวเองรายล้อมทำให้พวกเธอไม่เชื่อใจใคร เพราะแบบนั้น พวกเธอก็เลยปรารถนาต้องการจะมีพวกพ้องที่เชื่อใจได้ แต่ถ้าเกิด เราทำลายสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยศัตรูนั่นทิ้งไปล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น?”
“ความไม่เชื่อใจในคนอื่นของพวกเธอก็อาจจะพังทลาย แล้วความไว้วางใจในตัวท่านโนอะก็จะเบ่งบานงั้นเหรอคะ? มันจะง่ายดายแบบนั้นเลยเหรอ?”
“แบบนั้นเลยล่ะ ก็ ถ้าพูดให้ถูก อาจจะจำเป็นต้องใช้กระบวนการอย่าง [การตัดขาดจากอดีตด้วยมือของตัวเอง] น่าจะดีกว่าล่ะนะ”
“กล่าวคือ จะให้ทั้งคู่เป็นคนฆ่าออร์เกอร์และเคานต์กิฟต์เองสินะคะ?”
“ใช่ ครั้งนี้แหละที่ต้องเดิมพันกันหน่อย ถ้าทั้งคู่ลังเลที่จะลงมือฆ่า ก็แปลว่าความแค้นเคืองของทั้ง 2 คนมีอยู่แค่นั้น ต่อให้คุโระหรือฉันจะไปฆ่าพวกนั้นทีหลัง พวกเธอก็จะแค่ [เชื่อใจ] พวกเรา แต่ไม่ได้ [ไว้ใจ]”
ความเชื่อใจคือการใช้ความเชื่อของคนอื่น พูดแบบตรงๆ เลยก็ มันคือการเชื่อในตัวคนอื่นและเราไปใช้ประโยชน์จากความเชื่อนั้น
กลับกัน ความไว้วางใจคือการพึ่งพาความเชื่อใจ ในเมื่อมันเกี่ยวกับการเชื่อใจในตัวคนอื่น ความแตกต่างกันระหว่างการใช้ประโยชน์และการพึ่งพาใครซักคนมันสำคัญมากๆ เลยนะ
ตอนนี้ เราขอให้พวกเธอ ‘เชื่อใจ’ พวกเรา แต่ท่านโนอะมองออกไปไกลกว่านั้น ท่านต้องการ ‘ความไว้ใจ’ ในตัวพวกเราจากทั้ง 2 คนเลย
“อย่างเมื่อตอนของสแต เธอไม่มีวิธีการในการจะฆ่าชายคนนั้น แล้วเธอเองก็ถูกใจฉันประมาณนึงอยู่แล้วด้วย ฉันเลยให้คุโระช่วยฆ่าแทนเธอไงล่ะ แต่มันไม่เหมือนกับ 2 คนนี้ ฉันไม่ห่วงเรื่องสแตหรอก เด็กคนนั้นน่ะไม่มีปัญหาอยู่แล้ว คำถามคือจะทำให้ทั้งคู่ทำใจกล้าลงมือกับครอบครัวของตัวเองได้หรือเปล่าต่างหาก”
“จากการได้อยู่ร่วมกับทั้งคู่มาก็บอกได้แล้วค่ะว่าทั้ง 2 คน พื้นฐานแล้วเป็นคนจิตใจดี ขนาดสแตที่ไวต่ออารมณ์ของผู้คนก็ยังไม่มีความรู้สึกแย่ๆ กับ 2 คนนั้นเลยค่ะ แต่ว่า ความอ่อนโยนเอง บางครั้งก็เป็นโซ่ตรวนได้เหมือนกัน”
“นั่นสินะ”
ท่านโนอะถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะทิ้งตัวลงเอกเขนกกับพนักพิงหลังของเก้าอี้
“ในเมื่อเจอตัวนักเวทย์หายากแล้ว ฉันก็อยากทำให้พวกเขามาเป็นของฉันให้ได้ ไม่ว่ายังไงก็ตาม แต่พวกเธอคงจะลำบากมากกว่าสแตแน่”
“ถ้าพลาดโอกาสนี้ไป ใครจะรู้ล่ะคะว่าเราจะหาคนอื่นเจอได้อีกตอนไหน? เราอาจจะถูกจักรวรรดิโจมตีก่อนจะทันได้เตรียมกำลังเอาไว้ด้วยซ้ำ”
“ไม่แน่ เราอาจจะอพยพหนีจากประเทศนี้ไปก็ได้นะ”
“ถ้านั่นคือสิ่งที่ท่านโนอะต้องการ ฉันก็ยินดีจะติดตามท่านไปค่ะ แต่ในกรณีแบบนั้น เราก็ต้องยอมทิ้งห้องสมุดใหญ่ใต้บ้านหลังนี้ไปน่ะสิคะ”
“…เราต้องเลี่ยงการทำเรื่องนั้นให้ได้นะ ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม”
ที่ท่านโนอะยังอยู่ในอาณาจักรนี้ แม้ว่าสถานการณ์จะไม่สู้ดี นั่นก็เพราะการมีอยู่ของห้องสมุดนี่แหละ
ถ้าไม่มีห้องสมุด พวกเราก็ไม่มีทางจะฝึกฝนนักเวทย์หายากคนต่อๆ ไปได้เลย ไหนจะไอเท็มอีกมากมายที่หาอะไรมาแทนไม่ได้ทั้งหลายทั้งแหล่พวกนั้นอีก
แถมเรายังใช้มันเป็นสถานที่กบดานในยามฉุกเฉินได้ด้วย
“แล้วทำไมเราไม่พาทั้ง 2 คนเข้าไปที่นั่นกันล่ะคะ? ถ้าพวกเธอได้รู้ถึงการมีอยู่ของเวทมนตร์หายาก ทั้ง 2 คนก็อาจจะเชื่อใจเราก็ได้”
“ไม่ได้ ตราบใดที่ 2 คนนั้นยังมีความเสี่ยงจะไปปริปากทำข้อมูลนี้รั่วไหลออกไปสู่โลกภายนอกอยู่ อย่างน้อยก็รอจนกว่าสแตจะกลับมาเถอะ”
จนกว่าทั้งคู่จะยอมเชื่อใจพวกเรา เราก็จะยังเชื่อใจ 2 คนนั้นไม่ได้เหมือนกัน
ว่าแล้วเชียว กุญแจในครั้งนี้คือความเชื่อใจและความไว้ใจสินะ
“ยุ่งยากจังเลยนะ”
“ยุ่งยากจังเลยนะคะ”
TN: อืม ศีลเสมอกันแล้วล่ะนายกับบ่าวคู่นี้ แกล้งมา แกล้งกลับ ไม่โกง 555