[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก - ตอนที่ 47 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - คลางแคลงและคาดหวัง
- Home
- [WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก
- ตอนที่ 47 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - คลางแคลงและคาดหวัง
“มายืนยันแผนการกันอีกซักทีนะ ก่อนอื่นเลย พวกเธอต้องลบความทรงจำของทุกคนในบ้านนี้เกี่ยวกับโอโตฮะกับโอรันทิ้งไปให้หมด เว้นแค่พวกเรา คุโระเองก็ใช้เวทมนตร์สายความมืดจัดการได้ด้วยเหมือนกันใช่มั้ย?”
“ได้ค่ะ ถ้าแค่ลบทิ้งไปเลย แต่ฉันเรียกคืนกลับมาแบบที่สแตทำไม่ได้นะคะ”
“แบบนั้นก็ใช้ได้แล้ว จากนั้น สแต เธอควบคุมให้สมาชิกครอบครัวตระกูลกิฟท์ไม่สังเกตเห็นเธอ แล้วในวันพรุ่งนี้ ให้เธอไปกับกลุ่มคนตระกูลกิฟท์ที่เดินทางกลับ เข้าไปที่คฤหาสน์ของพวกนั้น แล้วขโมยข้อมูลมาซะ ทั้งเรื่องฉ้อราษฎร์หรือเรื่องอื่นๆ อะไรพวกนั้นมาให้หมดเลย ฉันคิดว่าไม่น่าจะมีปัญหาอะไรหรอก แต่ก็ลองหาวิธีการฝ่าเข้าไปจากความทรงจำของเธอดูนะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“หลังจากที่จำหลักฐานเรื่องฉาวโฉ่ทั้งหมดของพวกนั้นมาได้หมดแล้วเรียบร้อย ก็ให้กระจายเอกสารพวกนั้นไปให้เหล่าผู้มีอิทธิพลในเมือง เหมือนอย่างพวกสื่อมวลชน เหล่านักข่าวทั้งหลายน่ะนะ จากนั้นเรื่องมันก็ง่ายๆ แล้ว ควบคุมจิตใจของพวกหัวรุนแรง พวกนักผจญภัย แล้วก็กลุ่มคนพวกนั้นเพื่อปลุกปั่นความโกรธขึ้นมา เธอคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นจากนั้นกันล่ะ คุโระ?”
“จะเกิดเป็นสงครามกลางเมืองแน่ค่ะ ตระกูลกิฟท์ต้องถูกลากลงมาจากอำนาจและล่มสลายแน่นอน”
ท่านโนอะกับพวกเราเริ่มวางแผนกันออกมาหลายต่อหลายแผน เป็นเหมือนกับส่วนนึงของมุกตลกที่ว่า [เราจะทำให้ชายคนนั้นต้องทุกข์ทรมานได้ยังไง และจะฆ่าเจ้านั่นด้วยวิธีไหนดี]
“แต่ว่า พลังเวท จะพอมั้ย?”
“ถ้าจำไม่ผิด พลังเวทของสแตที่ใช้ได้ตอนนี้คือ 72 ใช่มั้ย? ถ้าคำนวณถึงเรื่องที่เธอจะจัดการในวันนี้ รวมกับพลังเวทที่เธอจะฟื้นขึ้นมา ก็น่าจะพอดีแบบฉิวเฉียดอยู่นะ?”
“นี่ไม่เหมือนกับการควบคุมความทรงจำหรือการอ่านความทรงจำที่ต้องใช้พลังเวทปริมาณมากหรอก นี่เป็นแค่การควบคุมประสาทรับรู้เล็กๆ น้อยๆ เท่านั้นเอง คิดว่าไม่เป็นไรหรอก”
“อืม จะพยายาม”
พลังเวทของสแตในตอนนี้อยู่ที่〚72/1450〛ซึ่งถึงจุดนี้ เธอก็มีพลังเวทมากกว่านักเวททั่วๆ ไปเกือบเท่าตัวแล้ว
แต่ไม่ใช่แค่นั้น
ในกรณีของการใช้เวทมนตร์สายจิตใจ อย่างการอ่านความทรงจำ ตลอดเวลาที่ทำการส่องเข้าไป มันจะใช้พลังเวทอยู่ตลอดเลย
กรณีที่ทำการควบคุมความทรงจำ การแก้ไขความไม่ต่อเนื่องทั้งก่อนและหลังช่วงที่ควบคุมจะกินพลังเวทเพิ่มเข้าไปอีก
แต่ว่า กรณีที่แค่ควบคุมประสาทการรับรู้เล็กๆ น้อยๆ พอควบคุมไปแล้วทีนึง ผลของมันจะค้างอยู่ต่อไปโดยไม่ต้องอาศัยพลังเวทอะไรเพิ่มเติมเลยจนกว่าผู้ร่ายจะไปยกเลิกผลของมัน
“คำนวณเสร็จแล้ว คิดว่าไม่เป็นไร”
“แบบนั้นก็เยี่ยมเลย มาเริ่มงานกันเลยแล้วกัน อ้อ แต่ก่อนหน้านั้น พวกเธอ 2 คนตรงนั้นน่ะ มีใครที่พวกเธออยากจะเป็นคนลงมือจัดการเองหรือเปล่า?”
“เอ๊ะ?”
“ฉันหมายถึง มีใครที่เธออยากจะได้เห็นคอเจ้านั่นหลุดจากบ่าต่อหน้าต่อตาบ้างหรือเปล่า มีใช่มั้ยล่ะ?”
ฝาแฝดคู่นี้ที่ดูจะงงๆ ดูเหมือนว่าในที่สุดจะตามสถานการณ์ที่ดำเนินไปอยู่นี่ทันได้แล้วซักทีนะ
“จ-… จะทำมันจริงๆ เหรอครับ?”
“มันแน่อยู่แล้วสิ พวกเธอเป็นคนบอกเราเองไม่ใช่เหรอ”
“ค- คือไม่ได้ตั้งใจว่าจะทำแบบนั้นนี่คะ”
“งั้น พวกเธอจะล้มเลิกแล้วงั้นเหรอ? ฉันน่ะไม่มีปัญหาหรอกนะ ยังมีวิธีอื่นอีกร้อยแปดพันเก้าเลยที่จะยกเลิกการหมั้นกับเจ้าผู้ชายคนนั้นน่ะ”
ทั้งสองหันมามองหน้ากัน แสดงสีหน้าเหมือนกับกำลังค้นหาเจตนาของพวกเราอยู่
“ไหนๆ ก็ขอพูดให้ชัดไปเลยแล้วกันนะ เหตุผลที่เรายังไม่ลงมืออะไรจนกระทั่งตอนนี้ นั่นก็เพราะว่าพวกเธออยู่ที่นี่ยังไงล่ะ ถ้าพวกเธอไม่อยากจะล้างแค้นเจ้าพวกนั้น เราก็พร้อมจะหยุดลงมือเหมือนกัน ฉะนั้น พวกเธอเป็นคนเลือกแล้ว”
ด้วยคำพูดนี้ของท่านโนอะ ทั้งคู่ก็ตาโตกันเลย
“เลือกสิ จะล้างแค้นโดยยืมมือของพวกฉันเข้าช่วยแล้วมาเป็นของของฉัน หรือจะก้มหน้ากลับไปยังชีวิตที่ถูกกักขังโดยไร้ความช่วยเหลือของพวกฉัน จะทางไหนก็ไม่มีปัญหากับฉันหรอกนะ”
และแล้ว
“จนถึงตอนนี้ พวกเราต้องใช้ชีวิตกันแบบที่ไม่เคยมีอิสระเลย”
“พวกผมถูกขังเอาไว้ในห้องเล็กๆ กินอาหารได้แค่ที่ถูกส่งมาให้เรา อ่านแต่หนังสือน่าเบื่อที่เราได้มาเพื่อที่อย่างน้อยจะได้พอมีการศึกษาขั้นต่ำอยู่บ้าง แล้วก็ทำได้แค่คุยกันเองเท่านั้นเลย”
“เราต้องใช้ชีวิตอยู่แบบนั้นเกือบ 10 ปี เป็นเรื่องสามัญธรรมดาอยู่แล้วเจ้าค่ะที่เราจะไม่เชื่อใจใคร เพราะฉะนั้น เราก็จะยังไม่เชื่อใจพวกคุณเหมือนกัน”
“คนเดียวที่เราจะเชื่อใจได้ก็มีแต่ต้องเชื่อใจกันและกันเท่านั้น เพื่อที่จะมีชีวิตอยู่รอดต่อไปได้ ผมเชื่อใจแค่โอโตฮะ และโอโตฮะก็เชื่อใจแค่ผมเหมือนกัน ความรู้สึกนี้ ต่อให้จะเป็นตอนนี้ก็ยังไม่เปลี่ยนแปลงหรอกครับ… แต่ว่า”
“แต่ว่า หลังจากที่ได้ฟังเรื่องทั้งหมดนี่แล้ว ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่เชื่อใจพวกคุณ แล้วอาจจะผิดสัญญาที่ให้ไว้ก็ได้ พวกคุณยังจะบอกว่าจะเติมเต็มความต้องการของพวกเรา… จริงๆ น่ะเหรอเจ้าคะ?”
หลังจากที่ทั้งสองพูดจบ ก็ยังแสดงความหวาดระแวงให้เห็นอยู่นะ
แต่ถึงยังงั้น ทั้งคู่ก็มองที่พวกเราด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังโหยหาอะไรบางอย่างอยู่
2 คนนี้ จริงๆ แล้วลึกๆ ก็อาจจะไม่ได้อยากระแวงสงสัยคนอื่นก็ได้
พวกเขาก็แค่ถูกบีบให้ต้องเป็นแบบนี้ เพราะสภาพแวดล้อมที่ทั้งคู่เติบโตมาเท่านั้นเอง
อย่างน้อย ตอนนี้พวกเขาก็ถูกเอาตัวออกมาจากสภาพแวดล้อมแบบนั้นได้ตั้งไกลขนาดนี้แล้ว แถมยังได้เจอกับคนที่พยายามจะเข้าใจทั้ง 2 คนแล้วด้วย
เพราะแบบนั้นแหละ ในสายตาของทั้งคู่เลยมีส่วนผสมกันระหว่างความเคลือบแคลงและความคาดหวังเผยออกมาให้เห็น
“ได้แน่นอนสิ ถ้านั่นจะทำให้พวกเธอยอมไว้ใจฉันล่ะนะ”
“หรือที่จริง เราไม่สามารถรับได้ค่ะ ความคิดที่จะให้ท่านโนอะไปแต่งงานกับผู้ชายพรรค์นั้นน่ะ”
“อืม ต้องการเหมือนกัน”
“เพราะฉันเป็นคนที่ไม่เคยเกี่ยวข้องกับพวกเธอโดยตรงมาก่อนเลย ไม่สามารถเข้าใจชีวิตที่พวกเธอเคยผ่านมาหรือความรู้สึกที่พวกเธอต้องแบกรับอยู่จนถึงตอนนี้ได้หรอก ฉะนั้น ฉันก็จะไม่ใช้คำพูดง่ายๆ อย่าง ‘ฉันเข้าใจความรู้สึกของเธอนะ’ หรอกนะ แต่กลับกัน ฉันขอให้คำนี้กับพวกเธอแทน”
ท่านโนอะเดินเข้าไปหาทั้ง 2 คนพร้อมกับรอยยิ้มอันชั่วร้าย และพูดเพียงแค่นี้
“ฉันจะช่วยพวกเธอเอง พวกเธอจะช่วยฉันมั้ย?”
““―――!?””
คำพูดพวกนี้ สำหรับคนที่ไม่รู้อะไรเลย อาจจะฟังดูน่าสมเพชก็ได้นะ
แต่สำหรับตอนนี้ ไม่มีคำพูดไหนจะสร้างผลกระทบกับพวกเธอได้ไปมากกว่าคำนี้แล้วล่ะ
ด้วยคำพูดเพียงแค่นี้ พวกเขาก็ถูกบังคับให้เข้าใจร่วมกันแล้วว่า [เรามีอยู่เพียงช่วยเหลือกันและกัน] ไม่ว่าทั้งสองจะชอบใจหรือไม่ก็ตาม
“ดิฉันก็ยังไม่เชื่อใจพวกคุณหรอกนะเจ้าคะ แต่ว่า”
“ถ้าท่านยอมช่วยพวกผม พวกผมก็จะรักษาสัญญา”
ทั้งสองพยักหน้าให้พร้อมกันโดยไม่ต้องมีการตกลงกันก่อนล่วงหน้าเลย สมกับที่เป็นฝาแฝดกันเลยนะ
““ได้โปรด ช่วยส่งเจ้าพวกนั้น ลงไปให้ถึงก้นนรกด้วยนะ(เจ้าคะ/ครับ)””
นั่นคือสิ่งที่พวกเขาพูด
“เข้าใจแล้วล่ะ”
“อืม เข้าใจแล้ว”
“พวกเราจะทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้เพื่อช่วยพวกเธอเอง”
“ทีนี้ มาที่เรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้”
“ที่ว่า ‘เรื่องที่เราคุยกันก่อนหน้านี้’ นี่ หมายถึงที่ว่ามีใครที่พวกเธออยากจะฆ่าเองเป็นการส่วนตัวบ้างหรือเปล่าน่ะ?”
“ค่ะ ก่อนอื่นก็ต้องมีพ่อเราอยู่แล้ว ถ้าเป็นไปได้นะเจ้าคะ เจ้าพี่ชายเราด้วยอีกคนก็ดี… หลังจากเรื่องโหดร้ายทั้งหมดนั่นที่พวกมันให้พวกเราต้องเผชิญมา จะโดนล้างแค้นคืนเสียบ้างก็ถือว่าพวกมันสมควรแล้ว”
“เอาเถอะ ก็จริงของพวกเธอ คุโระ เดี๋ยว 2 คนนั้นให้สแตเป็นคนลบความทรงจำนะ ไม่มีอะไรที่มันจะชวนให้รู้สึกว่างเปล่าไปกว่าการแก้แค้นคนที่ไม่มีความทรงจำใดๆ อยู่แล้วล่ะจริงมั้ย?”
“รับทราบค่ะ”
“งั้น มาลงมือตามแผนกันเลยดีกว่า เริ่มจาก คุโระ เธอไปลบความทรงจำเกี่ยวกับฝาแฝดจากสมาชิกทุกคนในบ้านเทียไลท์ ส่วนสแต เธอจัดการคนของตระกูลกิฟท์ แล้วก็ทำให้แน่ใจด้วยนะว่าเธอได้ความทรงจำทั้งหมดเกี่ยวกับรหัสไขตู้เซฟและข้อมูลโดยคร่าวๆ เกี่ยวกับข้อมูลเรื่องการคอรัปชั่นมาด้วยนะ สแต”
“อืม เข้าใจแล้ว”
ฉันกำลังจะออกไปจากห้องเพื่อลงมือลบความทรงจำทันที แต่แล้วจู่ๆ ก็มีความคิดนึงแวบขึ้นมา
“ท่านโนอะ ฉันมีคำถามข้อนึงค่ะ ถ้าเกิดตระกูลกิฟท์ไม่มีเรื่องราวฉาวโฉ่ ไม่มีการโกงกินบ้านเมืองเลย เราจะทำยังไงเหรอคะ?”
“ฉันเคยบอกเธอไปแล้วนี่ เราสามารถปลอมแปลงสร้างเรื่องนั้นขึ้นมาได้ ตอนนี้สแตยังสามารถควบคุมความทรงจำได้อยู่นะ แค่ฝังความทรงจำเรื่องอย่างลักพาตัวผู้หญิงหรืออะไรคล้ายๆ แบบนั้นลงไปซะ นี่ก็ดูเหมือนเรื่องฉาวโฉ่พอแล้ว”
“คุณหนู ขี้โกง เท่จัง”
“สแต ในโลกที่คุโระเคยอยู่มาน่ะ มีคนเคยพูดเอาไว้ด้วยนะว่า [ถ้าไม่มี ก็สร้างขึ้นมาซะสิ] เป็นคำพูดที่ดีทีเดียวล่ะ”
“โห”
“ท่านโนอะคะ อันนั้นมันไม่ใช่คำพูดที่จะเอาไว้ใช้ในสถานการณ์แบบนี้ซักหน่อยนะคะ”
ไหนๆ ก็พูดถึงแล้ว ความกังวลของฉันมันก็ถูกเป่าให้หายไปได้อย่างง่ายดายเลย กลายเป็นว่าตระกูลกิฟท์มีเรื่องฉาวโฉ่อยู่มากมายหลายเรื่องเต็มไปหมดเลยล่ะนะ
TN: เนี่ย ไปขัดขาน้องหัวขาวล้มไง นับถอยหลังสู่ความพินาศได้เลย (เอ๊ะ เหมือนจะผิดเรื่อง 555)