[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก - ตอนที่ 46 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - ไม่เชื่อใจในมนุษย์
- Home
- [WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก
- ตอนที่ 46 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - ไม่เชื่อใจในมนุษย์
เราขึ้นบันได เปิดประตูเข้าไปหาห้องของท่านโนอะที่ชั้นบน รอจนแน่ใจว่าทุกคนเข้ามาในห้องหมดแล้วเรียบร้อย ก่อนที่ฉันจะปิดประตู
“ท่านโนอามารีคะ เรื่องที่จะคุยนี่―――”
เมื่อโอโตฮะเรียกท่านโนอะ ท่านไม่ได้ตอบอะไรกลับไป แต่กลับถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แทน
“เฮ้อออออ!!”
อุทานออกมาเสียงดังเลยล่ะ
““…เอ๊ะ?””
โอโตฮะกับโอรันดูจะสับสน แต่ท่านโนอะก็ไม่ได้ใส่ใจ แถมทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้อย่างแรงเลยด้วย
“อะไรของเจ้าหมอนั่นเนี่ย! ฮันนี่เหรอ! ขนลุกเป็นบ้า! แล้วยังจะหน้าด้านขอตามมาอีกนะ! แค่ต้องเกร็งหน้ายิ้มเอาไว้ตลอดนี่ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว! แล้วนี่เจ้าหมอนั่นก็ยังเอาแต่มาเพิ่มภาระให้อยู่ได้! คุโระ! ขอชากับอะไรหวานๆ หน่อยสิ!”
“กะไว้แล้วค่ะว่าท่านจะว่าแบบนั้น ก็เลยเตรียมเอาไว้ก่อนแล้ว”
“สมกับเป็นเธอจริงๆ แล้วเตรียมไว้พอสำหรับ 5 คนด้วยใช่มั้ย?”
“ใช่ค่ะ สบายใจได้เลย”
“แบบนั้นก็ดี เฮ้อ เจ้านั่นเป็นผู้ชายที่น่ารำคาญจริงๆ เลยให้ตายเถอะ จะหาใครที่ยุ่งยากเทียบเท่ากับชายคนนั้นได้นี่เรียกว่าหาได้ยากเลยล่ะนะ”
“งั้น ฆ่าเลย?”
“สแต พยายามเลี่ยงอย่าพูดอะไรรุนแรงแบบนั้นนะ เรายังตัดสินไม่ได้ว่าจะจัดการยังไงกับผู้ชายคนนั้นดี แล้วเราก็ควรจะฟังความเห็นจาก 2 คนข้างหลังพวกเราด้วย”
“นั่นสินะ แล้วพวกเธอ 2 คนเป็นอะไรไปล่ะ? ไม่เข้ามาตรงนี้เหรอ?”
“อ- อา…”
“เปล่า…”
โอโตฮะกับโอรันหันมามองหน้ากันเองอย่างสับสน
เอาเถอะ จะตกใจกันก็ไม่แปลกหรอก ก็ท่านโนอะที่ดูเหมือนจะเป็นคนใสซื่อ อ่อนต่อโลก อยู่ดีๆ นิสัยก็เปลี่ยนไปแบบพลิกฝ่ามือแบบนี้เลยนี่น่ะ
“ท่านโนอะคะ ท่านแสดงมาจนถึงเมื่อครู่นี้เลยใช่มั้ยล่ะคะ? พวกเขาไม่รู้ว่าควรจะตอบสนองกับบุคลิกที่เปลี่ยนไปอย่างปุบปับยังไงดีเท่านั้นเอง”
“คุณหนู แสดงเก่ง”
“อ๋า แบบนี้เอง งั้น มาแนะนำตัวใหม่กันอีกซักทีก็แล้วกันนะ”
ท่านโนอะลุกขึ้นยืน และเดินเข้าไปหาทั้ง 2 คน
“ยินดีที่ได้รู้จัก โอโตฮะ โอรัน ฉันคือโนอามารี เทียไลท์ ฝากตัวด้วยนะ”
“คุโระค่ะ เป็นข้ารับใช้ของท่านโนอะ ยินดีที่ได้รู้จักนะ”
“สแต เป็นของคุณหนู”
“จ- เจ้าคะ…?”
“ย- ยินดีที่ได้รู้จักครับ”
“เอาล่ะ ฉันมั่นใจว่าพวกเธอคงมีเรื่องอยากจะพูดเยอะเลย แต่เอาเป็นว่าทำไมไม่นั่งกันซะก่อนล่ะ?”
แล้วทั้งคู่ก็นั่งลงตามที่ท่านโนอะสั่ง
แต่ว่า พวกเขาไม่ได้แตะอาหารหรือเครื่องดื่มบนโต๊ะเลย
“ไม่มียาพิษใส่เอาไว้หรอก”
“เอาเถอะ จะไม่ไว้ฉันก็ไม่แปลก จะไปคาดหวังให้เด็กพวกนี้ที่ไม่เชื่อใจใครทั้งนั้นนอกจากกันและกัน จู่ๆ จะให้มาเชื่อใจผู้หญิงที่ไหนไม่รู้ที่เพิ่งจะเสแสร้งแสดงละครอยู่จนถึงเมื่อกี้มันก็เป็นไปไม่ได้อยู่แล้วล่ะ”
““!?””
“ไม่ต้องฝืนดื่มก็ได้นะ ฉันแค่อยากฟังเรื่องของพวกเธอก็เท่านั้นเอง อย่างพวกนั้นปฏิบัติกับเธอเวลาอยู่ที่บ้านยังไง หรืออะไรแบบนั้น”
“ทำไม ถึงอยากจะฟังเรื่องพวกนั้นล่ะเจ้าคะ?”
“ก็แค่สงสัย”
สีหน้าของฝาแฝดก็เปลี่ยนเป็นตึงเครียดจริงจังขึ้นมาเลย
“ต่อให้ฉันจะพูดแบบนั้น พวกเธอก็คงไม่เชื่อฉันกันอยู่ดี เพราะฉะนั้นฉันจะพูดตรงๆ เลยนะ ฉันแค่อยากได้พวกเธอก็เท่านั้นเอง”
“…? หมายความว่ายังไงน่ะครับ?”
โอรันถามท่านโนอะด้วยน้ำเสียงระแวงสงสัย
“ที่ในโลกนี้เรียกพวกเธอว่าพวก [เส้นผมชั้นต่ำ] ซึ่งก็ไม่ได้มีแค่พวกเธอหรอกนะ คุโระกับสแตที่อยู่ตรงนี้เองก็โดนเรียกแบบนั้นเหมือนกัน ฉันยอมรับเรื่องนี้ไม่ได้หรอก”
“สงสาร อย่างนั้นเหรอเจ้าคะ? ถ้าอย่างนั้นก็ไม่จำเป็นเลยเจ้าค่ะ ท่านโนอามารี เราไม่ได้รู้สึกว่าสถานการณ์ของพวกเราตอนนี้จะแย่อะไร”
“คุโระ คิดว่ายังไง?”
“โกหกค่ะ”
“มีหลักฐานอะไรล่ะที่บอกว่าเมื่อกี้นี้เธอโกหก?”
“สีหน้าของพวกเขาค่ะ ฉันสามารถบอกได้ว่าคนคนนั้นโกหกหรือเปล่าจากการดูการเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ของสีหน้า”
“…”
ความหวาดระแวงไม่ได้จางลงไปเลยซักนิด
ฝาแฝดคู่นี้ตั้งท่าเหมือนกับพร้อมจะวิ่งหนีจากที่นี่ได้ตลอดเวลาเลย
“ยังระแวงไม่หายเลยสินะ”
“ก็ เรื่องมันแน่อยู่แล้วล่ะค่ะ จะให้เชื่อใจคู่หมั้นของพี่ชายที่ตัวเองจงเกลียดจงชัง แถมเพิ่งจะเจอกันเลยอีก ต่อให้จะเป็นฉันเองก็ทำไม่ลงเหมือนกัน”
“คุณหนู คุมเลย?”
“หยุดเลยนะ ถ้าบังคับให้พวกเขาทำตามที่ฉันพูดแบบนั้นก็เปล่าประโยชน์กันพอดี”
พวกเขาเชื่อใจกันและกันได้เท่านั้น หรือก็คือ พวกเขาอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยศัตรูที่บีบคั้นให้ทั้งคู่ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องกลายเป็นแบบนั้นเท่านั้นเลย
เพราะเคยเห็นมาแต่ศัตรูอย่างเดียว 2 คนนี้คงจะไม่คุ้นกับเรื่องอย่างเพื่อนพ้องหรอก
ถึงจะน่าสงสัยมากจริงๆ นั่นแหละว่าท่านโนอะจะเป็นฝั่งมิตรของตัวเองหรือเปล่าด้วยซ้ำ
“ถ้างั้น มาเปลี่ยนวิธีกันดีกว่า ฉันขอถามคำถามพวกเธอซักข้อได้หรือเปล่า?”
“…อะไรเหรอเจ้าคะ?”
“พวกเธอคิดยังไงบ้างกับคนในครอบครัวของตัวเอง?”
“ทุกท่านล้วนแข็งแกร่งกว่าและล้ำสันกว่าพวกเรา และเราภูมิใจที่ได้เกิดมาในตระกูล―――”
“อ่า นั่นน่ะไม่ต้องหรอก ฉันไม่อยากได้ยินคำพูดเสแสร้งไม่จริงใจ พูดความในใจออกมาเลย ได้มั้ย?”
““……””
ทั้ง 2 คนนิ่งเงียบกันกริบเลย
“ไม่ชอบการพูดเปิดใจกับคนอื่นขนาดนั้นเลยงั้นเหรอ?”
“สงสัยจะคิดว่าสภาพพวกเราในตอนนี้เป็นการแสดง แล้วที่เราพยายามพูดจาเสียๆ หายๆ กับครอบครัวพวกเขาก็แค่เพื่อจะให้ยอมเชื่อพวกเราก็ได้นะ อืม การทำให้คนอื่นยอมเชื่อเรานี่ยากจริงๆ เลย”
“มันมีสำนวนว่า [ปีนป่ายใช้หนึ่งวัน ร่วงลงพลันได้ในชั่วพริบตา] นี่คะ การได้มีซึ่งความเชื่อใจนั้นแสนยาก แต่กลับเสียมันไปได้อย่างง่ายดาย บางที เราอาจจะแค่ต้องค่อยๆ ทำไปเท่านั้นนั่นแหละค่ะ”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก ฉันอยากฝึกให้ 2 คนนี้เร็วๆ ทั้งผมสีโศกและผมสีชมพูน่ะต่างก็มีเวทมนตร์หายากในตัวที่ทรงพลังมากๆ ฉันไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปได้หรอกนะ”
“…เวทมนตร์หายาก?”
TN: 上り一日下り一時 (nobori ichinichi kudari ichiji) หากแปลตามตัวอักษรแล้วก็จะคล้ายๆ กับที่ผมแปลน่ะครับ ที่ว่า [ปีนป่ายใช้หนึ่งวัน ร่วงลงพลันได้ในชั่วพริบตา] เป็นสำนวนหมายถึง การจะได้มาซึ่งความสำเร็จหรือไปถึงจุดที่อยู่สูงในชีวิตของคนๆ นึง นั้นต้องอาศัยทั้งเวลาและความพยายามเป็นอย่างมาก แต่การจะเสียไปซึ่งความสำเร็จที่ได้มา หรือการร่วงลงมาจากจุดที่ไปถึงนั้นกลับเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วและง่ายดาย สำนวนนี้ได้แฝงคำสอนเอาไว้เพื่อให้รู้จักถึงความสำคัญของความพยายาม ความสม่ำเสมอ และให้ระมัดระวัง ไม่ประมาทยามประสบความสำเร็จนั่นเอง
โอโตฮะกับโอรันดูจะตอบสนองกับคำว่า ‘เวทมนตร์หายาก’ กันนิดหน่อย แต่ก็รีบเบือนหน้าหนีกันไป
ดูเหมือนจะยังไม่ไว้ใจพวกเราเลยสินะ
“งั้น ขอถามอย่างอื่นหน่อยก็แล้วกันนะ ต้องทำยังไงพวกเธอถึงจะยอมเชื่อใจพวกฉันเหรอ?”
“อันที่จริง ผมไม่ได้บอกว่าเราไม่เชื่อใจท่านนะครับ”
“อาเระ? นี่พวกเธอเชื่อใจฉันแล้วเหรอ?”
“ไม่เลย ไม่ได้เชื่อใจเลยซักนิด ถ้ามีอะไรแย่ๆ ล่ะก็ เราแค่เอาเรื่องไปบอกกับที่บ้าน อาจจะได้รับการปฏิบัติที่ดีขึ้นซักนิดก็ได้”
“ก-… !?”
แบบนี้นี้เอง เจตนาคือแบบนี้สินะ
“ตกใจเหรอ? สแตน่ะอ่านใจคนอื่นได้นะ นี่แหละคือพลังของเวทมนตร์หายากที่พวกเธอ 2 คนสงสัยกันเมื่อครู่นี้น่ะ”
“ตอนนี้ คิดว่า ‘ไม่ใช่เวทมนตร์หรอก ก็แค่กลหลอกลวงเท่านั้นเอง หลอกเราไม่ได้หรอกน่า’”
“อึก!?”
“อ- โอรัน ยังงั้นเหรอ?”
“จะบ้าเหรอ! เกือบจะเชื่อไปแล้วหรือไงน่ะโอโตฮะ! พวกผมน่ะ-”
“‘ตัดสินใจกันแล้วไงว่าจะไม่เชื่อใจใครทั้งนั้นนอกจากกันและกัน’ ตกลงไว้ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ พออายุ 17 แล้วก็วางแผนไว้ว่าจะหนีออกจากบ้าน”
“ท- ทำไมถึง-”
“โอโตฮะชอบนอนดิ้นไปดิ้นมา สุดท้ายก็ไปเตะโอรันจนต้องตื่นมาอยู่ตลอด โอรันนอนหลับไม่ลงถ้าไม่มีตุ๊กตาตัวโปรดอยู่ด้วย”
“เดี๋ยว!?”
“ช่วงนี้โอโตฮะคิดมากเรื่องความสูงของตัวเอง ส่วนโอรันกังวลเรื่องที่ตัวเองกล้ามไม่ขึ้นเลย”
“ย- หยุดเลยนะเจ้าหนูน้อย!”
“หยุดทีเถอะ!”
น่าสงสารจัง
เอาเถอะ ยังไงตอนนี้พวกเขาไม่เชื่อก็ต้องเชื่อแล้วล่ะนะตอนนี้
“สแต น่าสงสารแย่แล้วล่ะ เพราะงั้นก็หยุดแค่นี้เถอะ”
“อืม”
“ทีนี้ พวกเธอเชื่อฉันหรือยัง? อย่างน้อยก็เรื่องที่ว่าสแตมีเวทมนตร์น่ะ”
“…ก็ได้ ยอมเข้าใจแค่เรื่องนี้ก็ได้ค่ะ! ยอมรับแล้วค่ะว่าเจ้าหนูน้อยตรงนั้นมีพลังแปลกๆ อยู่จริงๆ”
“เจ้าหนูน้อย…”
ถูกเรียกว่าเจ้าหนูน้อยแบบนั้นดูจะทำสแตช็อกไปเลย และตอนนั้น โอโตฮะก็ฟึดฟัดหันมาใส่พวกเรา
“แต่ว่า สิ่งนี้มันก็ไม่ได้พิสูจน์อะไรเลยอยู่ดีนี่เจ้าคะว่าพวกเราเองก็มีพลังแบบนี้ด้วย? ไม่สิ ตั้งแต่ก่อนหน้านั้น นี่มันไม่มีอะไรพิสูจน์เลยด้วยซ้ำว่าเมื่อกี้นี้มันคือเวทมนตร์ หรือมันจะมีวิธีการที่จะทำแบบนั้นน่ะ?”
“ก็ไม่ใช่ว่าทำไม่ได้หรอก แต่มันไม่ใช่วิธีที่ฉันจะเผยออกมาให้คนที่ไม่ไว้ใจฉันเห็นได้ เอาเป็นว่าตอนนี้ กลับมาที่บทสนทนาเดิมของเรากันก่อนดีกว่า ต้องทำยังไงเราถึงจะได้ความเชื่อใจจากพวกเธองั้นเหรอ?”
ฝาแฝดหันมามองหน้ากันเหมือนกับกำลังสื่อสารอะไรซักอย่างกันอยู่
แล้วทั้งคู่ก็แสยะยิ้มออกมา
“งั้น―――ช่วยทำลายตระกูลกิฟท์ทีครับ”
““เอ๊ะ?””
“ช่วยทำลายตระกูลนั่นให้ล้มจมไปเลย ไอ้ครอบครัวสุดเลวร้ายที่ทำให้เราเหมือนต้องเจอกับนรกนั่นน่ะ ถ้าพวกท่านทำแบบนั้นได้ พวกผมจะยอมเชื่อใจพวกท่าน”
“เอ๊ะ? เดี๋ยวก่อน”
“ทำไมล่ะ? ไม่มีเหตุผลที่จะทำไม่ได้เลยนี่ครับ ขึ้นกับวิธีการเท่านั้นเอง ถึงยังไง ท่านก็เป็นขุนนางเหมือนกัน แถมยังเป็นคู่หมั้นด้วย โอกาสต้องมีอยู่ถมเถแน่นอน ในเมื่อพวกเขาจะเข้ามาในวงของเรา อย่างน้อยก็ต้องทำเรื่องนี้ให้ได้สิครับ”
“เปล่า ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”
แล้วท่านโนอะ สแต กับฉันก็หันมาสบตากันแวบนึง
“เอ๋ แบบนั้นน่ะจะดีจริงๆ เหรอ?”
““…ฮะ?””
เราทุกคน มีสีหน้าโล่งอกกันเลย
“อะไรกัน! กลายเป็นว่าเราก็ไม่ต้องคิดมากอะไรเลยนี่นา! แล้วเราจะประชุมกันจนดึกดื่นตั้งหลายต่อหลายคืนไปเพื่ออะไรล่ะเนี่ย!”
“ไม่สิ คือ แบบว่า เอ๋?”
“ถ้าทำลายได้ ฉันก็จะทำลายทิ้งซะ แล้ว จะทำแบบไหนดี? เอาให้เหมือนประสบอุบัติเหตุดีมั้ย?”
“ไม่ เออ เดี๋ยวก่อน”
“หรือจะ ให้ควบคุมเลย?”
“อื~ม วิธีนั้นก็ไม่เลวนะ แต่ทำแบบนี้จะดีกว่านะ ว่ามั้ย? โทษฐานที่ทำให้ฉันหงุดหงิดขนาดนี้ โทษฐานที่มากดขี่ทั้ง 2 คนที่ควรจะเป็นของของฉัน โทษฐานที่ส่งยิ้มน่าขยะแขยงนั่นมาไม่หยุด โทษฐานที่ไร้หัวคิดด้านการแต่งตัวอย่างสิ้นเชิง และโทษฐานอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่พวกนั้นได้ทำลงไป ฉันอยากจะให้เจ้าพวกนั้นต้องได้ทรมานจนถึงที่สุดจากโทษทัณฑ์ทั้งหมดนั่นซะเลย”
“ท่านโนอะคะ เหมือนครึ่งนึงจากเรื่องนี้จะมาจากความรังเกียจออร์เกอร์เป็นการส่วนตัวของท่านแล้วนะคะ แต่ว่า ท่านว่าแบบนั้นก็มีประเด็นเหมือนกัน โทษทัณฑ์ที่เจ้าหมอนั่นมาเรียกนายเหนือของเราว่าฮันนี่อย่างลามปามแบบนั้น แม้แต่ความตายก็นับว่ายังเบาเกินไปที่จะชดใช้ค่ะ”
“เกลียด เจ้าหมอนั่น ต้องฆ่าทิ้ง”
“พวกเธอเองก็ส่วนตัวเหมือนกันไม่ใช่เหรอเนี่ย”
“แล้ว เราควรจะใช้วิธีไหนกันอย่างนั้นเหรอคะ?”
“งั้น มาใช้วิธีที่พวกเราวางแผนเอาไว้ขำๆ เมื่อ 3 วันก่อนแล้วกัน”
“อ่า อันนั้นเอง สแต เธอพยายามเข้านะ”
“เรื่องชักจะน่าสนใจซะแล้วสิ!”
ฝาแฝดทั้ง 2 คนที่ตั้งต้นความคิดมาดูจะตื่นตระหนกอะไรกันซักอย่าง แต่พวกเราก็เมินไป แล้วหันมาวางแผนกันต่อ
TN: โอ้โห ลูบมือรอเลยครับ โชคดีนะ ไอ้หนุ่ม