[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก - ตอนที่ 43 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - ประชุมแผนการยามดึก
- Home
- [WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก
- ตอนที่ 43 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - ประชุมแผนการยามดึก
“เอาล่ะ มาเริ่มการประชุมแผนกันเถอะ”
เวลาผ่านมาถึง 5 ทุ่ม ซึ่งป่านนี้ เด็กดีก็ควรจะเข้านอนได้แล้ว
คนคนหนึ่งที่เป็นเหมือนตัวแทนของเด็กไม่ดี กับผู้ติดตามของคนคนนั้นอีก 2 คนกำลังนั่งโน้มตัวเข้ามาใกล้กัน อยู่ในห้องที่ใหญ่โตโอ่อ่า รายล้อมไปด้วยหนังสือมากมาย
หรือก็คือ พวกเรานั่นเองแหละ
“นี่เป็นการประชุมแผนเรื่องที่ว่าจะทำยังไงกับพวกตระกูลกิฟท์ดีหรือเปล่าคะ?”
“นั่นก็ส่วนนึง แต่เราต้องเพิ่มเรื่อง 2 ว่าที่นักเวทย์หายากคู่นั้นมาหารือกันด้วย สแต ขอยืนยันอีกซักทีนะ เรื่องเล่าของชายคนนั้นไม่มีเรื่องโกหกอยู่เลยใช่มั้ย?”
“อืม เห็นความจำแล้ว ถูกต้องแน่นอน”
“เยี่ยม งั้น มาดำเนินการต่อไปในทิศทางที่จะดึงตัวทั้ง 2 คนนั้นมาไว้ภายใต้ร่มเงาของเรากันเถอะ ดีมั้ย?”
“ไม่มี ข้อแย้ง”
“ไม่มีข้อโต้แย้งค่ะ”
“เอาเถอะ ก็นั่นสินะ”
คนที่เป็นไปได้ว่าจะเป็นนักเวทย์หายากก็หายากอยู่แล้ว แถมนี่ยังมีตั้ง 2 คน…
หลังจากที่ค้นหามาตั้ง 4 ปี ไม่มีทางที่เราจะปล่อยให้พวกนั้นหลุดรอดไปได้อยู่แล้ว
“เพราะเวทควบคุมจิตใจของสแตเลยนะเนี่ย เท่านี้ 2 คนนั้นก็จะมาที่คฤหาสน์นี่แน่นอนเรียบร้อย แต่ว่า เอาไว้ถ้าเกิดเหตุว่าพวกนั้นสบายใจที่จะอยู่กับทางนั้นต่อ แล้วปฏิเสธที่จะมาร่วมกับฉัน ไว้ตอนนั้นฉันค่อยหาทางจัดการอีกที”
“หาทาง เหรอ?”
“ใช่แล้ว อย่างยื่นมือเข้าไปช่วยเหลือหลังจากที่จัดการให้ตระกูลกิฟท์ย่อยยับไปไม่เหลือแม้แต่ที่ให้ซุกหัวนอนแบบนั้นไงล่ะ”
“ท่านโนอะ แบบนั้นมันเล่นเป็นฮีโร่เลยนี่คะ?”
“ถ้าจะใช้วิธีไหนแล้วก็ยังดึงตัวพวกนั้นมาร่วมกับเราไม่ได้ นี่ก็เป็นทางเลือกเดียวที่เรามีแล้วล่ะ”
TN: マッチポンプ (match pomp) เป็นสำนวนที่แปลว่า สร้างปัญหาและความเดือดร้อนขึ้นมาเอง จากนั้นก็เข้าไปแก้ปัญหานั้น เพื่อให้ได้หน้าได้ตาได้ผลประโยชน์กลับมาจากปัญหาที่เจ้าตัวเป็นคนสร้างขึ้น คล้ายกับการจุดไม้ขีดแล้วดับเอง แล้วก็มาเอาความดีความชอบที่ตัวเองเป็นคนดับไฟนั้น
แค่ให้ฉันกับสแตไปจัดการ จะเป็นตระกูลขุนนางที่รวยแค่ไหน หรือใหญ่โตขนาดไหน เราก็บดขยี้ลงได้ง่ายๆ ทั้งนั้นนั่นแหละ
ส่วนใหญ่ เราก็จะจัดการเรื่องนู่นนี่ด้วยการใช้เวทจิตใจของสแตในการควบคุมความคิดของพวกนั้น แล้วถ้ามีอะไรล้มเหลว เราก็จบมันด้วยเวทความมืดของฉัน ดึงเอาพลังชีวิตพวกมันออกมาให้หมดเหมือนอย่างทุกทีก็เท่านั้นเอง
“แต่ ก็ไม่แน่เสมอไปนี่คะว่าตระกูลกิฟท์จะเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดอะไรด้วย”
“ไม่ต้องห่วงเรื่องนั้นหรอก มันไม่มีหรอกนะ ขุนนางที่ไม่มีจุดด่างพร้อยอยู่เลยน่ะ”
“อย่างนั้นเหรอคะ?”
“แน่นอนสิ ขุนนางที่ไร้ที่ติ ไม่มีจุดบกพร่องหรือไม่ตกเป็นที่ไม่พอใจเลยเนี่ย เรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้เลยก็ไม่ผิดหรอก ต่อให้จะทำดีสมบูรณ์แบบ ยังไงความผิดพลาดก็จะโผล่ออกมาเองที่ไหนซักที่อยู่ดี เธอสามารถหยิบจุดอ่อนนั่นมาใช้ลากพวกนั้นลงมาได้เลย หรือถ้าทำไม่ได้ ยังไงก็สามารถปลอมของพวกนั้นขึ้นมาได้ตลอดอยู่ดี”
“ท่านโนอะ แบบนั้นมันไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอคะ?”
“แล้วไงล่ะ?”
ท่านโนอะยิ้มตอบกลับมา เหมือนจะบอกว่า ‘ฉันอาจจะโหดร้ายนะ แต่แล้วยังไงล่ะ’
“เป้าหมายสูงสุดของฉันคือการครองโลกใช่มั้ยล่ะ? โลกที่ทุกสิ่งทุกอย่างยอมศิโรราบต่อฉัน เผื่อการนั้นแล้ว การบดขยี้พวกขุนนางที่คอยขัดแข้งขัดขาไปซักสิบหรือซักร้อยคนก็ยังแทบไม่นับเป็นอาชญากรรมเลยด้วยซ้ำไป”
“นั่นสินะคะ ถ้าไม่ถูกจับได้ ไม่ว่าจะเลวร้ายแค่ไหนก็ตาม นั่นก็ไม่ถือเป็นความผิดอยู่ดี”
“ถูกต้องตามนั้นเลย ถ้าไม่มีใครจับได้ นั่นก็ไม่ถือว่าผิด แล้วถ้าฉันครองโลกใบนี้ได้เมื่อไหร่ ฉันก็จะกลายเป็นกฎ เท่านี้ ไม่ว่าฉันจะทำอะไร มันก็ไม่ใช่ความผิดแล้ว เราจะครองโลกใบนี้กันโดยไม่ต้องก่ออาชญากรรมอะไรเลยซักนิดไงล่ะ”
“คุณหนู เท่จัง”
“นั่นสินะ สแต”
ถึงจะดูออกนอกลู่นอกทางไปหน่อย แต่ท่านโนอะก็ดูจะสนุกดี งั้นฉันว่าก็ไม่เป็นไรหรอก
“กลับมาที่หัวเรื่องเดิมนะ ถ้าเราได้ตัวฝาแฝดคู่นั้นมาแล้ว ฉันก็ไม่สนใจคนอื่นๆ แล้วล่ะ ที่น่ายุ่งยากที่สุดก็น่าจะเป็นถ้าเกิดพวกเราได้ตัวทั้งคู่มาแล้ว 2 คนนั้นดันเกิดไม่อยากจะแก้แค้นขึ้นมาเนี่ยแหละ มันจะกลายเป็นว่าฉันต้องแต่งงานกับเจ้าบ้านั่นน่ะสิ”
“ไม่เอาเด็ดขาด”
“สแต เธอดูจะเกลียดชายคนนั้นสุดๆ ไปเลยนะ เอาเถอะ ฉันเองก็ทนเจ้านั่นไม่ไหวเหมือนกันนั่นแหละ มาฆ่าเจ้าออร์เกอร์นั่นแล้วทำให้เป็นเหมือนกับอุบัติเหตุดีมั้ย?”
“ถ้าฝาแฝดคู่นั้นเอาด้วยล่ะก็นะ ฉันให้คุณค่ากับคนที่ฉันทำให้เป็นของของฉันเสมอ และฉันยินดีจะเติมเต็มคำเรียกร้องของทุกคนเท่าที่จะทำได้ไงล่ะ”
“สำหรับตอนนี้ ดูเหมือนทางเลือกเดียวที่เรามีในช่วงอีก 6 วันจนกว่า 2 คนนั้นจะมาถึงก็มีแต่ใช้ความสามารถของสแตอย่างการอ่านใจกับเจาะทะลวงจิตใจเข้าไปสืบเสาะตระกูลกิฟท์นะคะ เราไม่รู้เลยว่าพวกนั้นเป็นคนยังไงจนกว่าพวกนั้นจะมาถึง”
“เอาเถอะ นั่นมันก็จริง จริงสิ สแต ไม่มีข้อมูลเรื่องของเด็กพวกนั้นในความทรงจำที่เธอไปอ่านมาเลยเหรอ?”
“มี แต่ว่า ไม่ชัด”
ไม่ชัด?
“ออร์เกอร์ ไม่ค่อยไปเจอสองคนนั้น เพราะงั้น ข้อมูลเลยไม่ชัดเท่าไหร่”
“เธอไม่ได้อ่านความทรงจำของคนอื่นมาเลยเหรอ?”
“อ่านไปได้ ถึงกลางทาง แต่ว่า พลังเวท หมดไปก่อน”
“แบบนี้เอง พลังเวทหมดสินะ เอาเถอะ ดูจากที่เธอใช้ไปวันนี้อย่างเดียวก็ไม่แปลกเลยนะว่าทำไม”
“ต้องฝึก มากกว่านี้”
เห็นสแตดูสลดไปแบบนั้น ฉันกับท่านโนอะก็รีบเข้าไปปลอบเธอกันยกใหญ่เลย
“ม- ไม่เป็นไรหรอกนะสแต ยังไงเธอก็ยังเป็นเด็กอยู่เลย อันที่จริง ที่เธอหาข้อมูลมาได้มากขนาดนี้นี่ก็สุดยอดมากแล้ว ถ้าไม่มีเธอ เรื่องที่เราทำไม่ได้ก็มีเพียบเลยล่ะ”
“ใช่แล้วล่ะสแต ฉันหมายถึง ดูอย่างวันนี้สิ ฉันทำได้แค่… ล่องหนหายไปจากฉากหลัง เท่านั้นเอง… ฮะฮะ เวทมนตร์ของฉันนี่ ไม่ได้มีประโยชน์ไว้ใช้ในชีวิตประจำวันเลยนะ”
“คุโระ แล้วไหงเธอถึงได้ซึมไปด้วยอีกคนล่ะเนี่ย? เวทมนตร์ของเธอเป็นสิ่งสำคัญ และแข็งแกร่งที่สุด เป็นเวทมนตร์ที่จำเป็นกับเป้าหมายของฉันนะ ภูมิใจเอาไว้เถอะ”
ฉันยังช็อกนิดๆ เลยเหมือนกัน พอมาดูว่าเทียบที่สแตทำวันนี้แล้ว ตัวเองลงมืออะไรไปน้อยนิดขนาดไหน
“เอาล่ะ สแต ถ้าเธอเรียบเรียงความทรงจำที่เธออ่านมาไว้ในหัวแล้ว เธอจับได้หรือเปล่าว่าฝาแฝดคู่นั้นเป็นยังไงบ้าง?”
“จะลองดู”
สแตหลับตาและตั้งสมาธิตามคำสั่งของท่านโนอะ จัดเรียบเรียงความคิดอยู่ในหัวของเธอเอง
“อืม เรียบร้อย”
“เร็วจัง! สมกับที่เป็นนักเวทจิตใจจริงๆ…”
“ถ้างั้น สแต บอกเท่าที่เธอหาเจอได้เลยนะว่าเด็กพวกนั้นเป็นยังไหนบ้าง?”
“อืม เป็นฝาแฝด อายุน้อยกว่าคุณหนูกับคุโระปีนึง”
“งั้นก็ ตอนนี้อายุ 11 สินะ”
“พี่สาวชื่อโอโตฮะ น้องชายชื่อโอรัน โอโตฮะผมชมพู โอรันผมเขียวเหลือง”
“สีชมพูกับสีโศกสินะ”
“ออร์เกอร์บอกว่ากักบริเวณอยู่ในบ้าน แต่ เหมือนโดนขังมากกว่า พวกเขาอยู่กันแต่ในห้องตัวเอง ได้รับแต่อาหาร บางทีก็มีหนังสือ”
“นิสัยของทั้งคู่ล่ะเป็นยังไง?”
“ไม่รู้เลย แต่ว่า ดูจากหน้าแล้ว โอโตฮะดูจะเข้มแข็ง ส่วนโอรัน”
แล้วสแตก็หันมามองฉัน
“บรรยากาศดู คล้ายๆ กับคุโระ”
“กับฉัน? ตรงไหนเหรอที่ดูคล้าย?”
“เป็นคนที่เหมือนจะโดนลากไปนู่นนี่อยู่ตลอด”
“แบบนี้เอง ดูจะเป็นคนที่ยืดหยุ่น กลับตัวจากสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ง่ายสินะ”
“สถานการณ์ที่ยากลำบากที่ฉันต้องเจอ 90% ก็มาจากท่านโนอะนั่นแหละค่ะ”
ท่านโนอะเมินการกล่าวถึงของฉันไปอย่างงดงาม เข้าไปลูบหัวของสแตเฉยเลย
“ทำได้ดีมากเลยล่ะสแต สมกับที่ฉันหวังเอาไว้จากเธอจริงๆ”
“อืม จะพยายาม”
“เด็กดีๆ ทำได้ดีมาก”
ท่านพูดแบบนั้น พลางลูบหัวสแตไปด้วยอย่างอ่อนโยน
สแตที่สีหน้านิ่งอยู่ตลอดก็เปลี่ยนด้วย เธอยิ้มกว้าง หน้าแดงขึ้นมาเลย
“…ดีจังน้า”
“คุโระ เมื่อกี้พูดอะไรหรือเปล่า?”
“ป- เปล่าค่ะ! ไม่มีอะไรค่ะ!”
ฉันรีบกดความต้องการที่ดันเผลอหลุดปากออกมากลับลงไป แล้วพยายามกลบเกลื่อนทันที
“ย- ยิ่งกว่านั้น! มีอะไรที่เราต้องทำในอีก 6 วันข้างหน้านี้อีกนอกจากสนับสนุนสแตมั้ยคะ?”
“ทำไมถึงลนลานแบบนั้นล่ะ? แต่เอาเถอะ ฉันมีเรื่องอยากให้เธอไปทำหน่อยนะ คุโระ ไม่แน่ อาจจะมีบางคนที่ตระกูลกิฟท์ส่งมาเพื่อจะจับตาดูฉันก็ได้ คงเริ่มไม่วันพรุ่งนี้ก็วันมะรืนนี่แหละ หาเจ้าพวกนั้นให้เจอแล้วกำจัดทิ้งซะ”
“หมายถึงเป็นคนสอดส่องน่ะเหรอ? ทำไมถึงคิดแบบนั้นล่ะคะ?”
“เอาเป็นว่าช่างออร์เกอร์นั่นไปก่อน เป้าหมายของเคานต์กิฟท์ก็คือการชิงตัวฉันผู้มีผมสีบลอนด์ไปจากอาณาจักร พวกนั้นอยากจะรู้ว่าฉันใช้เวทมนตร์ได้มากถึงระดับไหน แล้วถ้าเกิดว่างานหมั้นนี้เกิดล้มเหลวขึ้นมา พวกนั้นก็จำเป็นจะต้องฆ่าฉันที่เป็นไพ่ตายของอาณาจักรซะ เพราะแบบนั้น พวกนั้นก็เลยจำเป็นจะต้องมาคอยสอดส่องเพื่อแอบสืบค้นจุดอ่อนและรูปแบบพฤติกรรมของฉันไงล่ะ”
แบบนี้นี่เอง สมเหตุสมผลอยู่นะ
แต่ว่า มีอยู่อย่างนึงที่ไม่ค่อยเข้าเค้าสำหรับฉันเท่าไหร่
“เราจำเป็นต้องฆ่าพวกนั้นจริงๆ เหรอคะ? ไม่จับตัวเอาไว้ ใช้เวทจิตใจของสแตควบคุม แล้วก็บังคับให้พวกนั้นมาสารภาพยืนยันด้วยตัวเองต่อหน้าทุกคนจะดีกว่าเหรอคะ?”
“แบบนั้นไม่ได้หรอก การจะทำลายชื่อเสียงของตระกูลกิฟท์น่ะไม่มีประโยชน์อะไรเลย ที่ฉันต้องการคือให้พวกเขาได้รู้ถึงข้อเท็จจริงที่ว่าเธอเป็นคนฆ่าเจ้าพวกนั้นต่างหากล่ะ”
…?
“ถ้าสมาชิกในครอบครัวตระกูลกิฟท์ได้รู้ว่า ‘ผู้สอดส่องที่ฝึกมาและสามารถใช้เวทมนตร์ได้นั้นกลับถูกฆ่าโดยใครไม่รู้ที่มีผมดำแถมใช้เวทมนตร์ไม่ได้อีก’ พวกเขาจะต้องเข้าใจผิดไปว่าเธอเป็นนักฆ่าที่ได้รับการฝึกเพื่อฆ่าแน่นอน ไม่คิดแบบนั้นเหรอ?”
“…แบบนี้นี่เอง หมายความว่า ถ้าเกิดเรื่องนั้นขึ้น พวกนั้นก็จะไม่กล้าลงมือกับฉันหรือสแตได้ง่ายๆ สินะคะ”
ตระกูลกิฟท์น่ะมีความชิงชังต่อพวกเส้นผมชั้นต่ำอย่างฉันกับสแตอยู่แล้ว รวมทั้งออร์เกอร์นั่นด้วย เพราะฉะนั้น เมื่อไหร่ก็ตามที่ท่านโนอะแต่งงาน (ถึงฉันจะทำให้แน่ใจเลยว่าอนาคตพรรค์นั้นมันจะไม่มีวันมาถึงก็เถอะ) เป็นไปได้ว่าพวกนั้นจะพยายามฆ่าเราโดยจัดฉากให้เป็นเหมือนอุบัติเหตุหรือถูกฆาตกรรมโดยกลุ่มบุคคลที่สาม เพราะพวกเขาเกลียดการที่พวกเราอยู่ด้วยกันไงล่ะ
แต่ถ้าเราฝังเรื่องที่ว่า [คุโระน่ะต่อให้ไม่มีเวทมนตร์ก็ยังแข็งแกร่ง] เข้าไปในใจของพวกเขาซะ เท่านี้ก็ช่วยลดอันตรายที่อาจจะเกิดขึ้นลงไปได้แล้ว
พวกนั้นไม่ได้โง่พอที่จะไล่ล่าเราอย่างไม่คิดหน้าคิดหลังอยู่แล้ว ในเมื่อเราอยู่ท้ายๆ รายการของคนที่พวกเขาต้องการตัวอยู่แล้วด้วย
“อีกอย่าง ฉันเกลียดการถูกผูกมัดโดยใครก็ตามที่ฉันไม่ชอบที่สุดเลย”
“งั้น ท่านถึงได้ให้ฉันไปจัดการฆ่าคนที่มาสอดส่องพวกนั้นที่เป็นเหมือนสัญลักษณ์ของการผูกมัดการกระทำของพวกเราสินะคะ”
“ทำได้หรือเปล่า?”
“โปรดวางใจค่ะ ฉันจะกำจัดพวกที่มันไม่เจียมกะลาหัวมาจับตาดูท่านโนอะให้หมดทุกคนเอง”
“ยอดเยี่ยมมาก คุโระ เพราะแบบนี้ไงเธอถึงได้เป็นมือขวาของฉันน่ะ”
ท่านโนอะคว้ามือของฉันมา พร้อมกับยิ้มให้อย่างนิ่มนวล
ทำเอาสะดุ้งนิดๆ เลย ชักสงสัยแล้วสิว่านี่ตัวเองง่ายเกินไปหรือเปล่า
“อ่า แล้วก็นะ คุโระ”
“อะไรอีกเหรอคะ?”
ท่านโนอะยื่นหน้าเข้ามาหาข้างๆ หูฉัน
“ถ้าเธอทำงานออกมาดี เดี๋ยวฉันลูบหัวให้เธอด้วยเหมือนกัน เพราะงั้นพยายามเข้านะจ๊ะ”
“ก!?”
…นั่นมัน เพิ่งจะได้ยินเลยนี่นา
TN: เจ๊เล่นแบบนี้ คุโระจะหัวใจวายเอาน้า 555