[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก - ตอนที่ 32 บทที่ 2 ความทรมานของสีฟ้า - อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ
- Home
- [WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก
- ตอนที่ 32 บทที่ 2 ความทรมานของสีฟ้า - อัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ
―――ไม่ๆ เป็นไปไม่ได้
ฉันต้องเข้าใจผิดไปอยู่แล้ว ท่านโนอะอาจจะตะโกนเสียงดังยิ่งกว่าที่เคยก็จริง แต่ฉันต้องฟังผิดไปแน่ๆ
ต้องเป็น 145 แน่เลย ฉันคิดแบบนั้นไปพลางขยี้ตาตัวเอง แล้วก็ดูที่ตัวเลขแสดงผลของเครื่องมือวัดนั้นอีกครั้งนึง
〚1/1450〛
“ท่านโนอะ ฉันตาฝาดไป หรืออุปกรณ์ตรวจวัดมันพังไปแล้วหรือเปล่าคะ? เหมือนฉันเห็น 0 เกินมาตัวนึงเลย”
“คุโระเองก็เห็นเหมือนกันเหรอ? เป็น 0 ที่แปลกจริง แปลกนะ ฉันเองก็เห็นเหมือนกัน”
“เกิดอะไรขึ้น ทั้ง 2 คน?”
สแตเอียงคออย่างงงๆ แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่เราต้องคิดแล้ว
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะที่เรา 2 คนจะเห็นภาพหลอนแบบเดียวกันได้”
“นั่นสินะ นั่นต้องอาศัยเวทมนตร์สายจิตใจด้วย”
“งั้น อุปกรณ์ตรวจวัดพังแล้วหรือเปล่าคะ?”
“ฉันลองตรวจดูตั้งแต่เมื่อกี้แล้วล่ะ แต่ไม่มีร่องรอยว่ามันเสียหายตรงไหนเลย”
“งั้น เลข 1450 นี่มันหมายความว่ายังไงล่ะคะ ฉันเข้าใจตรง [1] นะคะ แต่เลขที่ต่อท้ายมานี่มันใช่เหรอคะ”
“ก- ก็แปลว่า พรสวรรค์ของสแตอยู่ในระดับนั้นเลยน่ะสิ”
“ขอถามหน่อยนะคะ เมื่อชาติก่อนตอนที่ท่านคือฮารุ พลังเวทสูงสุดของท่านโนอะอยู่ที่เท่าไหร่นะคะ”
“1100”
“น- นั่นสินะ คะ”
“ร- หรือก็คือ สแตน่ะ―――
เป็นอัจฉริยะในหมู่อัจฉริยะ―――เหนือยิ่งกว่าฮารุเสียอีก”
…
เด็กผู้หญิงหน้ามึนตาปรือง่วงซึม ที่รักในฮอทเค้กกับท่านโนอะคนนี้น่ะเหรอ
มีพรสวรรค์เหนือยิ่งกว่าฮารุ จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่เมื่อพันปีก่อนอีกน่ะ?
เอาจริง?
“ล้อกันเล่นใช่มั้ยคะ!? มากกว่าค่าเฉลี่ยเป็น 10 เท่าแบบนี้เนี่ย!? ก็แปลว่ามีพลังเวทมากกว่าจอมเวทย์หายากที่ก็แข็งแกร่งมากอยู่แล้วเป็น 10 เท่าน่ะเหรอคะ!? แบบนี้มันสามารถเป็นภัยที่ทำลายโลกทั้งใบได้เลยนะคะ!”
“จ- จ- จ- ใจเย็นก่อนนะคุโระ! ไม่เป็นไรหรอกนะ! ไม่เป็นไร เพราะว่า ตราบเท่าที่เราสั่งสอนให้สแตอยู่ในลู่ในทางได้ อนาคตแบบนั้นก็ไม่เกิดขึ้นหรอก!”
“ทั้ง 2 คน ทำอะไรกันอยู่น่ะ?”
สแตยังมองมาที่พวกเราด้วยสีหน้าปกติของเธอไม่เปลี่ยน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นหลักที่เราต้องคิดแล้ว
“ส- สแต รอเดี๋ยวแล้วอ่านหนังสือเล่มนั้นไปก่อน มันมีทั้งรูปภาพทั้งตัวอักษรเลย เธอจะได้เรียนตัวอักษรได้”
“เข้าใจแล้ว”
“คุโระ มานี่หน่อย”
“ค- ค่ะ”
เราทิ้งสแตไว้ข้างหลังก่อน ก่อนจะรีบวิ่งไปทางข้างหลังของห้องสมุดใหญ่นี่
“ท่านโนอะ โปรดบอกฉันมาตามตรงด้วยนะคะ ผู้ใช้เวทจิตใจที่มีพลังเวทมากขนาดนี้สามารถทำอะไรได้แค่ไหนกันเหรอคะ?”
“…คงสามารถทำลายประเทศเล็กๆ ได้เลย โดยใช้เวลาซัก 2-3 วันน่ะ”
“ถ้าท่านบอกว่าล้อเล่นก็คงดีนะคะ”
“ก็ขึ้นกับอัตราการฟื้นฟูพลังเวทของเจ้าตัวนะ แต่ถ้าสแตพัฒนาพรสวรรค์ของตัวเองจนถึงจุดสูงสุดแล้วล่ะก็ เธอคงใช้เวทมนตร์ระดับต่ำได้ตลอดเวลาแบบแทบไร้ขีดจำกัดได้เลย เพราะอัตราการฟื้นฟูก็ยังสูงกว่าอัตราการเผาผลาญ ต่อให้จะเป็นเวทมนตร์ระดับสูง เธอก็คงร่ายออกมาได้ในจำนวนที่น่ากลัวมากอยู่ดี…”
ว่ากันว่าเมื่อ 1,000 ปีก่อน จอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างฮารุกับรูชสู้กันตลอด 7 วัน 7 คืน
แสดงว่า ตลอดเวลานั้นก็คือช่วงเวลาที่พลังเวทในตัวของทั้งคู่ยังไม่หมด แต่ว่า ขนาดตอนนั้น ฮารุก็มีพลังเวทในตัวอยู่ที่ 1,100
หรือก็คือ สแตมีอยู่ 1,450 พูดแบบหยาบๆ เลยคือ มันเกินกว่าจะเข้าใจได้แล้วล่ะ
“จะว่าไป แล้วเวทมนตร์สายจิตใจระดับสูงนี่ทำอะไรได้งั้นเหรอคะ?”
“ก็อย่างทำลายจิตใจ ปรับเปลี่ยนบุคลิก อันนี้ยังอยู่ในฝั่งเบาะๆ นะ ถ้าให้โหดขึ้น ก็ยังมีอย่างสามารถควบคุมประสาทการรับรู้ของทุกชีวิตในอาณาบริเวณนึงเป็นวงกว้าง ก่อนจะสร้างภาพฝันร้ายที่น่ากลัวสยดสยองจนทำให้ทั้งหมดตายเพราะอาการช็อกกะทันหัน แล้วยังมีอะไรต่อมิอะไรอีก”
“พอแล้วค่ะ แล้วระดับที่ต่ำกว่านั้นล่ะคะ?”
“อ่านจิตใจ ปรับเปลี่ยนความทรงจำของบุคคลอื่น สร้างภาพหลอน สื่อจิต แล้วก็อื่นๆ นะ”
“ท่านโนอะคะ นั่นมันแกร่งจนเหมือนโกงแล้วนะคะ”
“ใช่อย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
นี่พวกเราอาจจะไปเก็บตัวเด็กที่ไม่ธรรมดาจนน่าทึ่งมาแล้วก็ได้นะเนี่ย
“เวทมนตร์สายจิตใจน่ะเป็นหนึ่งในเวทมนตร์หายากในกลุ่มแผ่อิทธิพลมากที่สุดในบรรดาเวทมนตร์หายากอย่างไม่ต้องสงสัยเลย อย่างเช่น ถ้าเธอร่ายเวทปรับเปลี่ยนการรับรู้ด้วยเวทมนตร์ระดับสูงที่ใจกลางเมือง ทำให้ผู้คนเชื่อกันว่า ‘จงเชื่อฟังฉัน ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม’ เท่านี้ก็ได้กองกำลังของเหล่าผู้จงรักภักดีระดับถวายหัวมาแล้วทันทีแบบดีดนิ้วสั่งเลย ถ้าเป็นผู้ใช้เวทจิตใจทั่วๆ ไปก็ไม่มีทางทำได้หรอก แต่ถ้าเป็นสแต เธอก็อาจจะทำได้ถึงขั้นนั้นเลยก็ได้นะ”
“ถ้าเกิด- ถ้าเกิดเป็นแบบนั้นล่ะก็ ถ้ามีอะไรบางอย่างไปปลดขีดจำกัดพลังเวทของสแต แล้วพลังเวทสูงสุดเกิดถูกปล่อยออกมาในเมือง ต่อให้จะเป็นแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ก็ตามที―――”
“ถ้าทุกคนในเมืองไม่ได้กลายเป็นข้ารับใช้ของสแต ทุกคนก็คงจิตใจแตกสลายจนกลายเป็นแค่เปลือกนอกที่ว่างเปล่า หรือไม่ก็ช็อกตายไปได้เลย―――ไม่ว่าจะเป็นทางไหน นั่นก็เป็นสถานการณ์ที่เลวร้ายยิ่งกว่าตอนที่คุโระจัดการงูยักษ์จอมสังหารแบบเทียบกันไม่ได้ติดเลยล่ะ”
ท่านโนอะตอบคำถามของฉัน โดยที่ยังมีเหงื่อเย็นๆ ไหลเป็นหยดมาเลย
ถ้าพวกเรายังอยู่ที่นั่น ไม่แน่ สถานการณ์แบบนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นจริงเลยก็ได้
ใครจะรู้ล่ะ บางทีอาจจะกลายเป็นว่าเราไปช่วยเหล่าบรรดาชาวเมืองที่อาศัยอยู่ที่นั่นแบบไม่ได้ตั้งใจก็ได้นะเนี่ย
“ถ้าจะให้ฉันไล่เรียงจุดอ่อนของเวทมนตร์สายจิตใจออกมาล่ะก็ คงต้องรวมข้อเท็จจริงที่ว่าผลของเวทมนตร์นั้นจะได้รับอิทธิพลมาจากสภาวะจิตใจของแต่ละบุคคล และอาจไม่ได้ผลเลยกับผู้ที่มีจิตใจแน่วแน่แข็งแกร่งเป็นอย่างมาก แล้วเวทมนตร์นี้ก็อาจมีผลน้อยกว่าเมื่อร่ายใส่นักเวทย์หายากด้วยนะ”
“เพราะมีความต้านทานต่อเวทมนตร์สูงเหรอคะ?”
“ใช่ ความต้านทานต่อเวทมนตร์ก็คล้ายกันกับอัตราการฟื้นฟูพลังเวทนั่นแหละ มันก็ขึ้นอยู่กับพลังเวทที่ดึงออกมาใช้ได้เหมือนกันเลย ไม่ว่าจะเป็นนักเวทย์หายาก หรือเป็นนักเวทย์จตุรธาตุ ถ้ามีพลังเวทสูง ความเป็นไปได้ที่จะต้านทานได้ก็ยังมีอยู่”
“งั้น มันก็ไม่ได้ถึงกับไม่มีจุดอ่อนสินะคะ”
“แน่นอนสิ ไม่อย่างนั้น ทางทฤษฎีแล้ว ผู้ใช้เวทมนตร์นี้ก็คงสามารถควบคุมจิตใจของคนทั้งโลกได้แล้วล่ะ เวทมนตร์ที่ทำลายความสมดุลได้ขนาดนั้นน่ะไม่สามารถมีอยู่ได้หรอกนะ”
ก็แน่ล่ะ
“ยังไงก็ตาม พวกเราต้องทำให้มั่นใจให้ได้ว่าพวกเราสั่งสอนสแตกันเป็นอย่างดี เพื่อไม่ให้เธอหลงไปในทางที่ผิดแบบนั้น ถ้าเกิดเหตุบังเอิญอะไรที่เธอเกิดลุ่มหลงในพลังของตัวเองขึ้นมา ยังไม่แน่เลยว่าพวกเราจะหยุดเธอได้หรือเปล่า”
“ค่ะ แน่นอนค่ะ”
ให้สแตรออยู่นานเกินไปก็คงไม่ดี
หลังจากที่สรุปเรื่องที่เราคุยกันเรียบร้อย เราก็กลับไปหาที่ที่สแตอยู่กัน
“อะ ยินดีต้อนรับกลับ”
“อื้อ กลับมา-… แล้ว?”
กลายเป็นว่า ภาพที่เราเห็นนี่ ออกจะดูไม่สมเหตุสมผลเลย
“สแต ทำไมถึงอ่านหนังสือเวทมนตร์ล่ะ? เธออ่านหนังสือไม่ออกไม่ใช่เหรอ”
“อ่านออก แล้ว”
““ฮะ?””
ตอนที่ฉันกับท่านโนอะผละออกไปข้างหลัง มันแค่ 15 นาทีเองนะ
ช่วงเวลาระหว่างนั้น หนังสือตัวอักษรที่เราให้สแตเอาไว้ตอนนี้ก็ถูกยกไปไว้อีกฟากนึงของโต๊ะแล้ว
“ม- ไม่สิ ไม่น่าจะใช่นะ ต่อให้จะมีความทรงจำสมบูรณ์แบบ ก็จำได้แต่คำที่มีตัวอักษรตรงกันเท่านั้นเองนี่”
“มีตัวอักษร แล้วก็ใช้เหมือนกัน เทียบหนังสือตรงนี้ กับตรงนั้น เติมส่วนที่แปลกๆ เอาไว้ในหัว แล้วก็อ่าน แต่ ก็ยังช้าอยู่ดี ยังมี ตรงที่ไม่เข้าใจ อยู่อีกเยอะเลย”
เออคือ หมายความว่า?
ในเวลาสั้นๆ แบบนี้ ทั้งๆ ที่ไม่ได้เป็นคำๆ มีแต่รูปเป็นคำใบ้ เธอก็จำตัวอักษรทั้งหมดได้ จนเจอแม้กระทั่งการใช้ที่ซ้ำๆ กับเป็นรูปแบบ แล้วเติมช่องว่างตรงนั้นด้วยจินตนาการในหัวเพื่ออ่านหนังสือให้ออกงั้นเหรอ?
ถึงจะไม่ได้ถูกต้องสมบูรณ์ทั้งหมด แต่อย่างน้อยเธอก็อ่านหนังสือเวทมนตร์สำหรับเด็กได้แล้วใช่มั้ยเนี่ย?
“นี่ คุณหนู ตรงนี้ อ่านว่ายังไงน่ะ?”
“เอ๊ะ? อ- เออ ตรงนี้เหรอ”
―――ดีใจจริงๆ ที่เด็กคนนี้อยู่ฝั่งเดียวกับเราน่ะ