[WN] พอลองตั้งเงื่อนไขที่เป็นไปไม่ได้เพราะไม่อยากไปดูตัว เพื่อนร่วมชั้นก็ดันปรากฏตัวออกมา - ตอนที่ 4
บทที่ 1 ตอนที่ 4 ดูแล “คู่หมั้น”
“อ๊ะ เวรละ…”
“อันตราย!”
ยูสุรุสะดุดล้มอย่างรุนแรง และด้วยการเคลื่อนไหวของอาริสะจึงทำให้ผมหลีกเลี่ยงการจูบพื้นได้ทัน
แต่…
“ไม่ได้เป็นไรใช่มั้ยคะ”
“อึ…อื้ม ขอบคุณมาก” (มะ มีอะไรบางอย่างมาโดนหน้าเราด้วย)
ในขณะที่ยูสุรุกำลังพยุงตัวขึ้น เขาก็ได้นึกถึง “เบานุ่มๆ” ที่มาพยุงหน้าเขาไว้
โชคดีที่อาริสะไม่ทันสังเกตเห็นหรือว่าไม่ได้ใส่ใจเรื่องนี้
(หลากหลายความรู้สึกจริงๆ ทั้งหอม… แล้วก็นุ่ม)
ในขณะที่กำลังพยุงตัวขึ้นใหม่ด้วยไม้ค้ำที่ได้รับจากอาริสะ ยูสุรุก็นึกถึงคำหนึ่ง
นี่สินะสิทธิพิเศษ เขาคิด
“ก็ซาบซึ้งในความรู้สึกของเธออยู่นะ แต่ฉันไม่เป็นไรแล้ว จะให้รบกวนเธออีกคงไม่ได้”
ให้เด็กผู้หญิงมาดูแลนี่มันเห่ยสิ้นดี
ศักดิ์ศรีอันไร้ประโยชน์ของยูสุรุเริ่มทำงาน
และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ… เดี๋ยวมันจะกลายเป็นข่าวลือที่โรงเรียนเอา
หากมีคนเห็นว่ายูสุรุกับอาริสะสนิทกัน มันอาจจะมีนักเรียนบางคนเชื่อมโยงความสัมพันธ์และรู้เรื่องการหมั้นของพวกเราได้
ยิ่งในโรงเรียนมีเด็กบางคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับตระกูลทาคาเซกาวะด้วย
จะให้ไปรูดซิปปากคนอื่นก็คงไม่ได้
ดังนั้นไม่นานพวกเราต้องตกเป็นจุดศูนย์กลางความสนใจของคนทั้งโรงเรียนแน่
“คนที่เกือบจะล้มลงไปก่อนหน้านี้พูดออกมาได้นะคะ”
“อึก…”
ผมปฏิเสธไม่ได้
เพราะว่าเมื่อวานนี้ผมก็ตะเกียกตะกายอยู่คนเดียวในห้องมาแล้ว
“ก็แค่ไม่ได้อยากติดค้างอะไรกันเท่านั้น ให้ฉันได้ทดแทนหนี้บุญคุณเถอะนะคะ”
“แต่ถ้าเกิดมีคนเห็นว่าอยู่ด้วยกันกับเธอ…”
“ไม่ต้องห่วงค่ะ ฉันเองก็ไม่อยากถูกเอาไปลือแปลกๆ กับคุณทาคาเซกาวะเหมือนกัน เข้าใจดีอยู่ค่ะ เอาเป็นแค่ช่วงออกไปจากอะพาร์ตเมนต์ถึงโรงเรียนก็พอ เท่านี้ก็ไม่มีนักเรียนคนอื่นเห็นแล้วใช่มั้ยล่ะคะ”
“แบบนั้น… อา เข้าใจแล้ว งั้นก็ฝากด้วยนะ”
ยูสุรุคิดว่าถึงจะฝืนปฏิเสธไปเธอก็จะยังตามมาอยู่ดี เพราะงั้นก็เลยตัดสินใจที่จะขอความช่วยเหลือแบบโดยดี
อันที่จริงแค่กดสวิตช์ลิฟต์เฉยๆ ผมก็ลำบากแล้ว ดังนั้นผมจึงรู้สึกขอบคุณเธอที่มาช่วยผมจนถึงออกจากอะพาร์ตเมนต์
“ถ้างั้นฉันขอตัวไปก่อนนะคะ …เดินไปต่อได้ใช่มั้ยคะ”
“อื้อ สบายมาก”
มากกว่านั้นอยากให้รีบเดินนำไปให้ไวที่สุดด้วยซ้ำ
จากอะพาร์ตเมนต์ของยูสุรุไปถึงโรงเรียนมันใช้เวลาเดินแค่เพียงประมาณ 10 นาที
เพราะงั้นจะมีนักเรียนเดินผ่านมาเมื่อไหร่ก็คงจะไม่แปลกใจเลย
“ก่อนหน้านั้นเรามาแลกข้อมูลติดต่อกันก่อนไหมคะ”
“จะว่าไปก็ยังไม่ได้แลกกันเลยนี่นะ”
ยูสุรุพยักหน้าเพราะเป็นเรื่องที่จำเป็น
แต่เนื่องจากมือของผมต้องถือไม้ค้ำยัน ผมจึงปล่อยให้อาริสะทำให้ทุกอย่างตั้งแต่เปิดกระเป๋าและหยิบโทรศัพท์ออกมา
“เรียบร้อยแล้วค่ะ ตอนที่จะกลับบ้านก็ช่วยแจ้งมาด้วยนะคะ”
“เข้าใจแล้ว”
หลังจากที่ผงกหัวด้วยสีหน้าไร้อารมณ์เสร็จ อาริสะก็ได้วิ่งเหยาะๆ ไปทางโรงเรียนต่อ
หลังจากนั้นยูสุรุก็ได้เดินไปที่โรงเรียนอย่างสบายๆ พร้อมกับใช้ไม้ค้ำยันอย่างระมัดระวัง
เอ้าฮึบ ถึงการใช้ไม้ค้ำยันมาโรงเรียนจะทำให้ทุกคนดูประหลาดใจ แต่คงเพราะเหล่าเพื่อนร่วมชั้นเชื่อในคำอธิบายของผมว่าเป็นการเพียงอาการเคล็ดขัดยอกขั้นรุนแรงพวกเขาก็เลยไม่ได้ถามไถ่ต่อเป็นพิเศษ
มื้อเที่ยง
ยูสุรุกับผองเพื่อนเอาโต๊ะในห้องเรียนมาวางติดกัน
“เอ้า ขนมปังที่เอ็งสั่ง”
“โอ้ ใจโว้ย”
โซอิจิโร่ หนึ่งในเพื่อนของยูสุรุโยนขนมปังที่ไปซื้อมาให้กับยูสุรุซึ่งนั่งรออยู่บนที่นั่งของเขา
จากนั้นเพื่อนอีกคนก็วางชาที่ไปซื้อมาลงบนโต๊ะของยูสุรุอย่างจงใจ
เสร็จแล้วก็หย่อนก้นลงบนเก้าอี้อย่างรุนแรง
“แล้ว… ไอ้แผลนั่นเป็นไงมาไงกันวะ”
คนที่ถามเรื่องนี้ก็คือเรียวเซนจิ ฮิจิริ เพื่อนซี้อีกคนหนึ่งของยูสุรุนั่นเอง
เป็นนักเรียนที่ให้ความประทับใจเหมือนกับพวกขี้หลี
สวมเครื่องแบบที่ผิดระเบียบเล็กน้อยเหมือนกับยูสุรุและโซอิจิโร่ นอกจากนี้ยังใส่สร้อยสีดำพันรอบคออีกด้วย
อนึ่ง ระเบียบการแต่งกายของโรงเรียนม.ปลายแห่งนี้ก็คือ “แต่งกายและไว้ทรงผมที่เหมาะสมกับนักเรียนม.ปลาย” (แปลให้แบบฟรีๆ ก็คือ ขอแค่ทำตามสามัญสำนึกพื้นฐานที่เหลือก็อิสระ) ดังนั้นนี่จึงไม่ผิดกฎ
“นี่เปลี่ยนจากไปโรงอาหารเพราะคิดถึงอาการบาดเจ็บของเอ็งแล้วซื้อขนมปังมาให้เลยนะเว้ย เอ้า ไหนเว้าให้ฟังหน่อยซิ”
โซอิจิโร่นั่งลงบนเก้าอี้และสอบถามยูสุรุ
ยูสุรุ โซอิจิโร่ ฮิจิริ
ทั้งสามคนนี้สนิทกันและมักจะอยู่ด้วยกันเป็นประจำ
แม้ว่าจริงๆ ทั้งสามคนจะเรียนอยู่คนละห้องเรียนกันก็ตาม
โดยปกติพวกเขาจะอยู่ที่โรงอาหาร แต่วันนี้พวกเขาเลือกที่จะมาทานอาหารอยู่ที่ห้องเรียนยูสุรุด้วยความเป็นห่วง
“เอ่อ… ก็แบบแมวมันอยู่บนต้นไม้… เป็นบาดแผลแห่งเกียรติยศเลยนะ”
เมื่อยูสุรุเล่าไปเช่นนั้น
โซ่อิจิโร่ก็เริ่มรั่วออกมาคนแรก
ต่อจากนั้นฮิจิริก็ระเบิดหัวเราะออกมาดังลั่นพร้อมกับชี้นิ้วไปที่ยูสุรุ
“นี่สินะ ความหมายของคำว่านักล่ามัมมี่กลายเป็นมัมมี่”
“จะเซ่อซ่าขนาดไหนก็ควรมีขีดจำกัดเปล่าวะ!”
“หนวกหูน่า… ก็แมวมันอาละวาดนี่”
“…ไม่อยากให้เอ็งไปช่วยสุดๆ เลยนี่หว่า”
“อุ๊บ… โดนแมวทำให้ร่วงด้วย! จะตลกเกินไปแล้ว”
โซอิจิโร่และฮิจิริหัวเราะโฮกฮากอย่างบ้าคลั่ง
ยูสุรุกอดอกแล้วก็ฟึดฟัดดึงฮึ่ม
“เอาน่าๆ โทษๆ อย่าโกรธไปเลยน่า …อุ๊บ”
“คิกๆ จะตลกเกินไปแล้ว …อุ๊บ”
“ชักสงสัยนิสัยพวกเอ็งแล้วว่ะ”
คำกล่าวที่ว่าเพื่อนจะเลือกคบคนเหมือนๆ กันผุดขึ้นมาในหัวแวบหนึ่ง แต่ยูสุรุก็รีบขยำทิ้งแล้วโยนมันออกไปจากหัว
ทั้งสองคนยังหัวเราะกันไปต่อสักพัก จากนั้นพวกเขาคงเบื่อกันแล้วก็เลยเปลี่ยนไปพูดหัวข้ออื่น
“จะว่าไปแล้วยูสุรุ การดูตัวเป็นยังไงบ้างวะ”
“อ๊ะ มีเรื่องแบบนั้นด้วยสินะ! เห็นว่าขอสาวผมทอง ตาฟ้า ผิวขาว นมเบิ้มไปใช่มะ ได้สาวสวยมาตามสั่งเปล่าวะ”
“เฮ้ย พวกเอ็ง อย่าเซดกันดังไป…”
อาริสะเองก็อยู่ในห้องเรียนนี้ด้วย และกำลังกินข้าวอยู่กับเพื่อนร่วมชั้น
เรื่องนอกจากผมทอง ตาฟ้า ผิวขาว นี่ไม่อยากให้ได้ยินเลย โดยเฉพาะส่วนของคำว่า “สาวสวยนมเบิ้ม” นี่ยิ่งแล้วใหญ่
“สรุปว่าก็ไม่ได้มาน่ะ …จะไปมีมาได้ยังไงกันล่ะ”
“น่าเบื่อว่ะ”
“เฮ่อ~ อันนั้นต่อให้โกหกก็ต้องบอกว่ามาดิ”
สำหรับพวกเขาสองคน เรื่องแต่งงานของยูสุรุก็เป็นเพียงแค่เรื่องของคนอื่นที่ตลกดีเท่านั้น
…ซึ่งก็ดีแล้ว เพราะว่าถ้าพวกเขาจริงจังยูสุรุคงจะไม่สบายใจแน่ ดังนั้นจึงไม่ต้องซี
(ต่อให้หลอกว่าโกหก ก็ไม่มีทางที่เราจะไปพูดว่า “หมั้นอยู่” กับยูกิชิโระ อาริสะได้หรอก)
ตอนนี้เพราะว่าปิดปากแน่นเรื่องก็เลยแพร่งพรายออกไปไม่ได้ แต่ว่า…
ถ้าเกิดโดนรู้เมื่อไหร่ได้โดนหัวเราะเยาะไปยันตายแน่
“ยิ่งไปกว่านั้น… ของเอ็งล่ะโซอิจิโร่ กับอายากะจังแล้วก็จิฮารุจังเป็นยังไงบ้าง”
“เออใช่! ไอ้ขยะมนุษย์! คายออกมาเลยนะ!”
“เดี๋ยวๆ เดี๋ยวดิวะ อย่ามาเปลี่ยนเป้ากะทันหันสิฟะ”
ยูสุรุเบี่ยงเบนความสนใจสำเร็จ ทำให้เขาไม่ถูกสอบถามเพิ่มเติมต่อ
หลังเลิกเรียน
หลังจากได้เพื่อนสองคนมาช่วยพาเดินลงบนได ยูสุรุก็ได้เดินไปที่อะพาร์ตเมนต์ต่อคนเดียว
“จะช่วยขนสัมภาระให้นะคะ”
“ขอบใจนะ”
ผมตอบรับความเมตาของอาริสะและให้เธอไปส่งที่หน้าประตู
ถึงจะเป็นแค่ขึ้นลิฟต์เฉยๆ แต่การได้รับความช่วยเหลือเรื่องเล็กๆ น้อยๆ จากคนอื่นมันก็สบายกว่า และที่สำคัญกว่า การที่มีคนมาคอยช่วยเหลือมันก็ทำให้เกิดความรู้สึกอุ่นใจในระดับหนึ่ง
“ถ้างั้นยูกิชิโระ วันนี้ก็พอเท่า…”
“จะช่วยจนกว่าถอดรองเท้าเสร็จนะคะ คงจะลำบากใช่ไหมล่ะคะ”
“กุญแจใส่ไว้ในช่องกระเป๋านะ”
ยูสุรุส่งให้เธอหากุญแจประตู เขาคิดว่าไหนๆ ก็มาถึงขนาดนี้แล้วคงต้องให้เธอแสดงความใจดีให้สุดทาง
อาริสะเปิดประตูออกไปด้วยสีหน้าเรียบเฉยตามปกติ
…จากนั้นก็แข็งค้าง
เธอเบิกตากว้างพร้อมกับตัวแข็งทื่อ
“มีอะไรเรอะ ยูกิชิโระ”
“ห้องนี่มันอะไรกันคะ …นี่มันไม่มีที่ให้เหยียบแล้วไม่ใช่เหรอคะ”
อาริสะขมวดคิ้วเมื่อเห็นในห้องเกลื่อนกลาดไปด้วยซากอาหาร ขยะ แล้วก็ใบปลิวแจกเต็มไปหมด
ยูสุรุนั้นไม่เก่งเรื่องการจัดเก็บข้าวของและการทำความสะอาดนั่นเอง
“จะว่าเป็นการเก็บของในแบบของตัวเองหรือไงดีล่ะ คือฉันรู้ว่าอะไรมันเก็บอยู่ตรงไหนน่ะ”
“คุณทาคาเซกาวะคะ ไม่ทราบว่าคุณจะเข้าใจหรือเปล่านะคะ ว่าการที่คนเดินไปไหนไม่ได้ถ้าไม่มีไม้ค้ำยันอาศัยอยู่ในห้องที่เต็มไปด้วยสิ่งกีดขวางคนเดียวมันอันตรายเกินไปนะคะ”
แม้ตัวอาริสะจะพูดบ่นแบบนั้น แต่เธอก็ยังช่วยยูสุรุถอดรองเท้าของเขา
ด้วยเหตุนี้ผมจึงสามารถเดินจากหน้าประตูเข้าไปในห้องได้โดยที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
“เดี๋ยวก่อนค่ะ คุณทาคาเซกาวะ”
“?”
“ปลายไม้ค้ำมันสกปรกนะคะ… อย่างน้อยก็ต้องเช็ดออกก่อนสิคะ”
พูดจบอาริสะก็หยิบทิชชูเปียกออกมาจากกระเป๋าตัวเอง
จากนั้นเธอก็ค่อยๆ เช็ดปลายไม้ค้ำยันอย่างระมัดระวัง
เสร็จแล้วเธอก็ถอนหายใจออกมา
“ต้องให้ดูแลแท้ๆ”
“โทษที แต่ฉันไม่ได้คิดอะไรหรอก”
“คิดหน่อยเถอะค่ะ! …ฉันจะไปแล้ว ไม่เป็นไรแน่ใช่ไหมคะ”
อาริสะพูดด้วยท่าทางเป็นห่วงจริงๆ พร้อมกับขยับสายตาไปมาระหว่างหายนะในห้องกับไม้ยันตรงรักแร้ของยูสุรุ
หน้าตาเธอเหมือนจะบอกว่า “ให้กลับบ้านไม่ได้”
ยูสุรุเดินไปมารอบๆ ห้อง เพื่อให้อาริสะมั่นใจว่าไม่มีสิ่งกีดขวางไหนเป็นอุปสรรคกับเขา
“ไม่เป็นไรน่า นี่มันห้องของฉันเองนะ รู้หมดทุกซอกทุก…”
ไม้ค้ำเหยียบเข้ากับเศษกระดาษและไถลไปตามพื้น ร่างกายของยูสุรุเอนตัวลงอย่างหนัก
“…ไม่ได้ไม่เป็นไรสินะคะ”
“ทะ โทษนะ เป็นหนี้บุญคุณซะแล้ว”
โชคดีที่มีอาริสะอยู่ข้างๆ และพยุงยูสุรุไว้ เขาก็เลยไม่ได้ล้ม
ตอนนี้ยูสุรุรู้สึกประหม่ามาก และสัมผัสได้ถึงเหงื่อเย็นเยียบที่ไหลออกมาจากร่างกายของเขา
“โธ่~ ปล่อยไว้ไม่ได้แล้ว …จะทำความสะอาดนะคะ ได้ใช่มั้ยคะ”
บางอย่างจากอาริสะทำให้ผมไม่สามารถปฏิเสธเธอได้
ยังไงผมก็อยากที่จะหลีกเลี่ยงการให้เพื่อนร่วมชั้นสาวมาทำความสะอาดห้องให้เพราะว่ามันน่าสมเพชเกินไป ทว่าผมก็ไม่อาจปฏิเสธความจริงที่เกือบจะล้มลงไปตอนก่อนหน้านี้ได้ลง
“อ๊ะ ครับ”
ยูสุรุทำได้เพียงพยักหน้าเท่านั้น
——————————
ระดับความชอบในปัจจุบัน : 5%→4% (ได้ยินคำว่านมเบิ้ม)