[WN] การกวาดล้างมนุษยชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์กับอดีตผู้กล้า - ตอนที่ 112 องค์ที่ 5 กำเนิดจอมมาร - [บทศูนย์] คำร้องขอ
- Home
- [WN] การกวาดล้างมนุษยชาติของเจ้าหญิงแวมไพร์กับอดีตผู้กล้า
- ตอนที่ 112 องค์ที่ 5 กำเนิดจอมมาร - [บทศูนย์] คำร้องขอ
“เงินของพวกเรามีจำกัดนะรู้ใช่มั้ย? เราจะผลาญเงินฟุ่มเฟือยไม่ได้นะ เข้าใจหรือเปล่า?”
“ค่ะ”
“แล้วก็ แอลกอฮอล์น่ะ! ยิ่งดื่มเยอะยิ่งบั่นทอนสุขภาพใช่มั้ยล่ะ?”
“ค่ะ”
“ทุกสำคัญที่สุด ถ้าเธอลืมฉันแบบนี้ ฉันเหงานะ”
“ค่ะ”
“มีอะไรจะพูดกับฉันหรือเปล่า?”
“ขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”
หลังจากที่จ่ายเงินที่บาร์ไป และกลับมาที่โรงแรมแล้ว ฉันก็โดนสั่งให้นั่งหลังตรง ทับส้น คุกเข่า แถมยังโดนเทศน์มาชั่วโมงนึงแล้ว
ตอนนี้ ฉันไม่มีแม้แต่เศษเสี้ยงของความมั่นใจหรือความทะเยอทะยานที่ฉัน (ควรจะ) มีพวกมันอย่างเอ่อล้นแบบไม่รู้ตัวด้วยซ้ำในชีวิตประจำวันน่ะ
ไม่สิ จริงๆ ฉันว่ามันก็เป็นความผิดของฉันนี่แหละ
มันเป็นเรื่องที่โง่มากเลยพอมาคิดว่า ทั้งๆ ที่ฉันถูกฝากงานง่ายๆ อย่างแค่ให้ไปหาร้านอาหารที ดันกลายเป็นว่าฉันดื่มเหล้าเข้าไปหยั่งกับเอามาเทอาบ แถมยังฟาดผักไปจนเต็มท้องเลยด้วย
ถึงมันจะอร่อยเกินไปก็เถอะ การลืมริงกะไปแบบนี้ เป็นความผิดพลาดมหันต์ที่ไม่คู่ควรกับการจะเรียกตัวเองว่าเป็นอัจฉริยะเลยซักนิด ต่อไป ฉันต้องระวังกว่านี้มากๆ เลยล่ะ ที่สำคัญเลย พยายามอย่าทำให้ริงกะโมโหอีกจะดีที่สุดล่ะนะ
ริงกะที่โมโหน่ะ น่ากลัวสุดๆ เลย
“ให้ตายสิ โธ่… ฟิลิสจัง อิ่มแล้วใช่มั้ย?”
“อิ่มแล้วค่ะ”
“งั้น เดี๋ยวฉันไปซื้อข้าวกล่องที่ร้านหน่อยนะ เพราะงั้น นั่งรอฉันอยู่ในท่านั้นด้วยล่ะ เข้าใจหรือเปล่า?”
“เข้าใจล-… เอ๋? คือ ให้อยู่ในท่าคุกเข่า แบบนี้น่ะเหรอ? คือขาฉันมันถึงขีดจำก-…”
“ นั่ง รอ ฉัน อยู่ ใน ท่า นั้น ด้วย ล่ะ ”
“……ค่ะ”
ไม่ไหว ขัดขืนไม่ได้เลย ขนาดสมองอัจฉริยะของฉันยังหาทางออกจากสถานการณ์นี้ไม่ได้เลย
…โธ่ คงต้องเลิกเรียกตัวเองว่าอัจฉริยะแล้วล่ะมั้ง รู้สึกว่าตัวเองจะไม่มีทางชนะริงกะได้ไปชั่วชีวิตเลยแฮะ
ท้ายที่สุด ฉันก็นั่งคุกเข่าอยู่แบบนั้นอีกเป็นชั่วโมงจนกระทั่งริงกะกลับมา และคืนนั้นฉันก็รู้สึกเหมือนสูญเสียอะไรบางอย่างที่สำคัญไป เพราะขาของฉันมันชาจนไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่ต้องไปพูดถึงเรื่องลุกขึ้นยืนด้วยซ้ำ
ฉันเดินไปกับริงกะเมื่อขาฟื้นสภาพกลับมาเรียบร้อยแล้ว
“ริงกะ ฉันรู้สึกผิดมากเลยกับเรื่องเมื่อวานนี้ ฉันเผลอลืมตัวตนที่สำคัญอย่างริงกะไป ถึงจะแค่ชั่วคราวก็เถอะ ฉันรู้ตัวดีว่ามันเป็นเรื่องที่โหดร้ายมาก และฉันสำนึกกับสิ่งที่ทำไปมากเลยนะ”
“เข้าใจแล้ว~”
“จากนี้ไป ฉันจะไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว แล้วก็ ฉันจะพยายามอยู่กับริงกะให้มากเท่าที่ทำได้นะ แต่ในตอนนี้ ฉันเข้าใจนะว่าริงกะคงไม่ไว้ใจคำพูดของฉันแล้วหลังจากที่ทรยศความเชื่อใจของริงกะไปครั้งนึงแบบนี้น่ะ”
“นั่นสิน้า~”
“แต่ว่า ถึงอย่างนั้นก็เถอะ… แบบนี้มันมากเกินไปหรือเปล่าน่ะ?”
ตอนนี้ ฉันกำลังเดินอยู่กับริงกะนี่แหละ
พร้อมเชือกจูงล่ะนะ
…ไม่ใช่นะ ขอพูดให้ชัดๆ ก่อน คือ มันไม่ใช่เชือกที่ใช้มือถือไว้ แล้วอีกฝั่งผูกกับปลอกคอนะ มันมัดระหว่างมือพวกเราเอาไว้ด้วยกันน่ะ
มือของฉันกับริงกะ ถูกเชือกที่ไม่รู้ว่าจะเหนียวขนาดนี้ไปทำไม ยาวประมาณ 50 เซน มัดเอาไว้ด้วยกัน
“เอ๋? เพราะถ้าไม่ทำแบบนี้ ฟิลิสจัง เธอก็จะเถลไถลไปที่อื่นใช่มั้ยล่ะ? นั่นแหละที่ว่าทำไมเราต้องจับมือกันไว้แบบนี้ไง”
“ฉันนึกว่าการจับมือกันจะออกมาดูดีกว่านี้ซะอีกนะ”
อย่างน้อย การมัดมือของคน 2 คนเอาไว้ด้วยเชือกแบบนี้ คงจะเรียกว่า ‘การจับมือกัน’ ได้สินะ
“เอาล่ะ ถ้าเธอยอมอยู่เงียบๆ จนกระทั่งพวกเราออกจากหมู่บ้านแล้ว ฉันจะแกะเชือกให้นะ เป็นเด็กดีนะ ตกลงมั้ย?”
“ฮ- เฮ่ นี่ฉันเป็นอะไรสำหรับริงกะกันแน่เนี่ย? เด็กน้อยเหรอ? นี่มองฉันเป็นเด็กน้อยเลยงั้นเหรอ?”
สงสัยจังว่าจะพอมีซักวิธีที่จะแกะเชือกจูงออกโดยที่ไม่ทำให้ริงกะโกรธมั้ยนะ…
“โ―อ้! อยู่นี่เอง! อยู่นี่เอง! โอ้ย! สองคนนั้นน่ะ!”
มีเอลฟ์หญิงตัวสูงคนนึงเข้ามาขัดความคิดของฉัน
“อา! ในที่สุด ฉันก็เจอตัวซะที! หาที่นู่นที่นี่ไปซะทั่วเลย…”
“…ฟิลิสจัง ไปทำอะไรมาน่ะ? ฉันไม่โกรธหรอกนะ เพราะงั้นบอกความจริงมาเถอะ”
“เดี๋ยวสิ! ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ! ถึงฉันจะไปดื่มมาเมื่อวานจนเมาก็จริง แต่ฉันไม่ได้ทำอะไรไม่ดีอย่างอื่นเลยนะ! ฉันไม่ได้เมาขนาดภาพตัดจนลืมว่าตัวเองทำอะไรไปบ้างซะหน่อยนะ เพราะงั้น ฉันไม่มีทางไปก่อปัญหาอะไรแบบไม่รู้ตัวแน่นอน… ทำไมมองฉันด้วยสายตาสงสัยในตัวฉันแบบนี้ล่ะ ริงกะ!? เชื่อใจกันหน่อยสิ! ฉันจะร้องไห้แล้วนะ!?”
“คือ ฟิลิสจังไปทำอะไรไม่ดีมางั้นเหรอคะ?”
“ทำอย่างกับว่าเธอไม่ได้จับตาดูฉันอยู่อย่างงั้นแหละ! อย่าหันไปถามคนอื่นซี่!”
โอ่ สายตาริงกะเย็นชามากเลยล่ะ…
ฉันไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ น้า!
“เออคือ… เหมือนเธอจะเข้าใจผิดอะไรซักอย่างผิดเลย ฉันไม่ได้ตามหาพวกเธอเพราะปัญหาหรือเรื่องอะไรพวกนั้นหรอกนะ”
“ว่าแล้วเชียว! ฉันเชื่อเธอเสมอนะ! ฟิลิสจัง!”
“โกหกชัดๆ! เธอไม่เคยเชื่อใจฉันเลยนี่!”
“อา… พวกเรา คุยกันต่อได้หรือเปล่า?”
“อะ เชิญเลยค่ะ”
“จริงๆ แล้ว ฉันอยากขอร้องแวมไพร์อย่างพวกเธอ 2 คนหน่อยน่ะ ขอแค่พวกเธอช่วยฟังคำร้องของฉันหน่อยได้หรือเปล่า?”
…คำร้องเหรอ?
.
.
.
“สรุป คำร้องของเธอคือขอให้ไปช่วยเก็บสมุนไพรงั้นเหรอ?”
“ถูกต้อง! ถ้ามีแวมไพร์อย่างพวกเธอ 2 คนไปด้วยแบบนี้ก็ช่วยให้มั่นใจขึ้นน่ะ…”
เอลฟ์คนนี้… เธอเรียกตัวเองว่า ลาริส คำร้องของเธอที่ขอให้พวกเราช่วยก็คือ ‘ขอให้ไปช่วยเก็บสมุนไพรที่ถ้าไม่ไปเก็บตอนกลางคืนก็ไม่มีความหมาย’
ถ้าไปเก็บตอนกลางวัน มันจะเป็นแค่วัชพืชธรรมดาๆ เลย แต่ถ้าเก็บตอนกลางคืน โดยเฉพาะกลางดึก มันจะเป็นสมุนไพรพิเศษที่เป็นวัตถุดิบสำหรับยาชั้นยอดเลยล่ะ
“เอลฟ์เองก็พอมองเห็นได้ในเวลากลางคืนได้อยู่บ้างนะ แต่ก็ไม่ได้มองเห็นชัดขนาดนั้น อยู่ในระดับแค่ ‘มองเห็นดีกว่ามนุษย์เล็กน้อย’ เท่านั้นเอง นั่นคือสาเหตุที่ทำให้ฉันคิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าได้พวกเธอ 2 คนที่เป็นเผ่าแวมไพร์มาช่วยก็คงจะดีน่ะ”
“ก็แวมไพร์มีสายตาที่เห็นในตอนกลางคืนดียิ่งกว่าเผ่ามนุษย์สัตว์อีกนี่นะ”
สายตาการมองเห็นในความมืดของแวมไพร์แทบจะดีที่สุดในบรรดาทุกเผ่าพันธุ์เลยล่ะ พวกเรามองเห็นในเวลากลางคืนชัดกว่าเวลากลางวันซะอีกนะ
ยิ่งกว่านั้น ด้วยผลของการ [การอวยพรจากดวงจันทร์] ที่ช่วยเพิ่มสเตตัสให้ พวกเราจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้นจนน่ากลัวในคืนที่มีแสงจันทร์ฉายลงมาได้เลยล่ะ
“รางวัลตอบแทนดีแน่นอนนะ! ช่วยทีได้หรือเปล่า? แวมไพร์เป็นเผ่าพันธุ์หายากมากด้วย เพราะงั้นฉันคงไม่มีโอกาสได้มาขอแบบนี้แล้วล่ะ…!”
“อืม~ เอาไงดีล่ะ? ฟิลิสจัง”
“ก็ดีนี่นา? เขาบอกว่าจะมีรางวัลตอบแทนให้ด้วยนี่นะ แถมพวกเราก็ว่างด้วย ไม่มีเหตุผลต้องปฏิเสธเลยนี่”
“นั่นสิน้า~… อื้อ เข้าใจแล้วล่ะ ตกลงค่ะ”
“อุหวา~ ขอบคุณมากนะ! ช่วยได้มากเลย!”
ฉันกับริงกะก็… วิ่งทะลุผ่านพื้นที่ป่ามืดสนิท ซึ่งก็ไม่ต่างอะไรจะกลางวันสำหรับแวมไพร์เลย
มีเอลฟ์สองสามคนจะตามพวกเรามาเหมือนกัน แต่ฉันบอกพวกเขาไปว่าพวกเขาจะตามพวกเรามาได้ยังไงถ้าพวกเขามองเห็นในความมืดไม่ชัดแบบนั้นน่ะ
อีกอย่างคือ ระหว่างที่เราอยู่ในป่าในเวลากลางคืนแบบนี้ ฉันก็ตัดเชือกจูงที่มัดมือออกเพราะมันจะอันตรายน่ะ เยี่ยมเลย
“ฟิลิสจัง ยังไม่เจอกอเลยเหรอ?”
“ใกล้ถึงแล้วนี่ ข้างหน้านั่น… โอ้ อยู่นั่นไง”
สมุนไพรรูปร่างคล้ายกระเทียมต้นที่เรืองแสงออกมานิดๆ ต้องเป็นเจ้านี่แน่นอน
“รีบเก็บไปแล้วกลับกันเลยดีกว่า เงินรางวัลที่ได้นี่ ฉันเอาไปซื้อของได้เยอะแยะเลยนะเนี่ย”
“นั่นสิน้า~ ได้มีรายได้พิเศษเพิ่มเข้ามาแบบนี้ก็ดีเหมือนกันนะ”
เพราะเมื่อวาน ฉันผลาญเงินไปเยอะสินะ
ฉันขอโทษกับเรื่องที่เกิดขึ้นจริงๆ นะ
“ถ้างั้น แบบนี้หรือเปล่านะ…”
“กลับเร็วๆ ดีกว่ามั้ย? ถ้าไม่รีบล่ะก็ สัตว์อสูรอาจจะโผล่ออกมาก็ได้”
“เฮ่ๆ ริงกะ อย่าพูดแบบนั้นสิ แบบนั้นมันปักธงนะ เอาเถอะ ต่อให้พูดออกมาแบบนั้น เอลฟ์ที่นี่เขาไม่มองข้ามพวกสัตว์อสูรอยู่แล้วนี่นา ไม่ต้องกังวลหรอก”
“เออคือ ฟิลิสจัง นั่นมันปักธงนี่…”
――― กรร!!!
……
“…นี่ ริงกะ มีอะไรซักอย่างอยู่ข้างหลังฉันใช่มั้ย? ไม่มีอะไรใช่หรือเปล่า?”
“เออคือ มัน เหมือนจะมีสัตว์อสูรหน้าตาคล้ายๆ หมูป่าอยู่นะ”
“…ว่าแล้วเชียว อยู่ตรงนี้แล้วหรือเปล่า?”
“อยู่นี่แล้ว”
ช่วยไม่ได้แล้วสินะ พอฉันหันกลับไป ฉันก็เห็น สัตว์อสูรเหมือนหมูป่าตัวใหญ่อยู่ตรงนั้น
เล็งเป้ามาที่ฉันเลยซะด้วยสิ
“ท- ทำยังไงดีล่ะ ฟิลิสจัง?”
“ใจเย็นๆ ก่อนนะ คิดว่าฉันเป็นใครกัน? ฉันคือฟิลิส แวมไพร์อัจฉริยะที่แข็งแกร่งที่สุดนะ กับสัตว์ป่าแค่นี้น่ะ ของกล้วยๆ น่า”
…โทษทีนะ แต่สัตว์อสูรตัวนี้น่ะแข็งแกร่งพอควรเลย
เอาล่ะ จะเอายังไงดีนะ…
TN: ขอแปะ Discord สำหรับแจ้งเตือนนิยาย กับมุมพูดคุยกันไว้ตรงนี้ด้วยนะครับ ใครสนใจก็แวะมาได้นะ ^^
https://discord.gg/Fm9NsqeH2r