[WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก - ตอนที่ 52 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - การแก้แค้นของฝาแฝด ปฐมบท
- Home
- [WN] ยมทูตแห่งความมืด ผู้รับใช้สตรีศักดิ์สิทธิ์แสนขี้เกียจจอมโลภมาก
- ตอนที่ 52 บทที่ 3 การล้างแค้นของสีชมพูและสีโศก - การแก้แค้นของฝาแฝด ปฐมบท
“ถ้าจับเจ้าพวกนั้นเอาไว้ในนี้ ก็ไม่มีใครหาตัวเจอแล้ว เพื่อความปลอดภัย ฉันจะล็อกเอาไว้ก่อนแล้วกัน ส่วนกุญแจ ฉันให้พวกเธอเอาไว้นะ”
ท่านโนอะล็อกประตูโกดัง ก่อนจะส่งกุญแจให้โอโตฮะกับโอรัน
“ฉันจะให้กุญแจสำรองไว้กับคุโระ ถ้าเกิดไม่ได้ดื่มอะไรเลยเจ้าพวกนั้นจะตายเอา เพราะงั้น คุโระก็คอยแวะเข้ามาเอาน้ำให้เจ้าพวกนั้นดื่มอยู่เป็นระยะๆ ด้วยล่ะ ฉันจะไม่พูดแล้วกัน แต่ถ้าพวกนั้นทำอะไรที่มันเลอะเทอะอุจาดตาล่ะก็ ใช้เวทมนตร์สายความมืดลบพวกมันไปซะให้สะอาดด้วยนะ”
“เอ๊ะ? อีกแล้วเหรอคะ? ว่าตามตรงเลยนะคะ ต่อให้จะแค่ลบมันทิ้งไปเฉยๆ ก็ตามที แต่ให้ใช้เวทมนตร์ไปแตะของพวกนั้นมันก็ออกจะเกินไปหน่อย”
ดูเหมือนฉันจะได้รับมอบหมายให้จัดการกับเรื่องเละเทะในร่างกายท่อนล่างแฮะ ทั้งหนักทั้งเบาเลย
“ฉันพอเข้าใจความรู้สึกเธอนะ แต่ทนเอาหน่อยแล้วกัน เพราะนั่นก็เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดแล้ว เอาล่ะ โอโตฮะ โอรัน พวกเธอจะมาที่นี่เมื่อไหร่ก็ อยากจะทำอะไรก็ทำได้ตามใจเลยนะ จะแค่พูดคุยหรือลงมือละเลงความแค้นเลยก็ได้ เราบอกกับผู้คนในคฤหาสน์เอาไว้แล้วเรียบร้อยว่าพวกเธอเป็นเด็กๆ คนใหม่ที่เราไปเจอตัวมา ฉะนั้นพวกเธอจะเดินเล่นไปทั่วคฤหาสน์ก็ไม่มีปัญหา แค่ทำให้แน่ใจว่าจะไม่ถูกพบว่าพวกเธอมาที่นี่ก็พอแล้ว”
“เข้าใจแล้วครับ”
“ถ้าจำเป็นต้องใช้เวทมนตร์ของพวกฉันล่ะก็ เรียกได้เลยนะ เราจะให้ความสำคัญในการมาที่นี่ก่อนเรื่องอื่นเลย ถึงสแตจะลบความทรงจำของเจ้าพวกนั้นไปแล้ว แต่ก็ยังกู้คืนกลับมาได้ใช่มั้ย?”
“งั้น ขอฝากด้วย”
“อืม”
สแนดีดนิ้วทีนึง
เท่านี้ ออร์เกอร์กับเคานต์กิฟตท์ก็ได้ความทรงจำเกี่ยวกับโอโตฮะและโอรันกลับคืนไปแล้ว
“พวกฉันทำทุกอย่างที่ทำได้ไปแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นกับพวกเธอแล้วล่ะนะ จะเลือกฆ่าพี่ชายและพ่อของตัวเองไปซะ หรือจะแก้มัดให้เจ้าพวกนั้น นั่นก็แล้วแต่พวกเธอเลย แต่ฉันแนะนำว่า ก่อนที่จะตัดสินใจทำอะไรกับ 2 คนนั้น มาบอกให้ฉันรู้ก่อนจะดีกว่านะ”
“…ขอบพระคุณมากนะเจ้าคะ”
“ด้วยความยินดี”
“ถ้าจะขอบคุณใครล่ะก็ พวกเธอขอบคุณสแตเถอะ เด็กคนนี้พยายามเต็มที่เลยล่ะนะ”
“อื้อ พยายามเต็มที่เลย”
“เตรียมอาหารไว้รอรับเธอเรียบร้อยแล้วนะ เธอต้องหิวมากแน่ๆ เลย ตามปกติแล้ว กินอาหารดึกๆ แบบนี้มันไม่ดีกับร่างกายหรอก แต่วันนี้ยกเว้นเป็นกรณีพิเศษแล้วกัน”
“เอาฮอทเค้ก”
“ทำเอาไว้เพียบเลยล่ะ”
สแตได้ยินแบบนั้นก็โดดเด้งไปมาอย่างตื่นเต้นเลย
ดูจะดีใจมากๆ เลยนะเนี่ย
“รีบไปกินกัน”
“จ้าๆ งั้นก็ไปที่ห้องกันเถอะ”
“อืม”
“แล้วคุณโอโตฮะกับคุณโอรันล่ะคะ?”
“เราขออยู่ตรงนี้อีกพักนึงค่ะ ดิฉันกับโอรันอยากจะปรึกษากันเล็กน้อย”
“อย่างนั้นเหรอคะ งั้น พวกเราอยู่ที่ห้องของท่านโนอะนะคะ ถ้าต้องการอะไรล่ะก็ ถามจากเราได้เลยนะคะไม่ต้องเกรงใจ”
“เข้าใจแล้วค่ะ”
แล้วท่านโนอะกับฉันก็กลับไปที่ห้องพร้อมกับสแต
เราขึ้นบันไดและเปิดประตูเข้าไปในห้องของท่านโนอะ ข้างในนั้น ก็มีอาหารมื้อดึกที่บรรดาคนครัวช่วยกันจัดการเตรียมให้อย่างเอาใจใส่ รวมทั้งคุณนีน่ากับฉันด้วย วางเอาไว้เรียงราย
“โโโอ้โโโห”
“เธอเริ่มทานได้เลยนะ แต่ก่อนอื่นต้องล้างมือซะก่อนด้วยล่ะ”
“จะกินล่ะน้า”
“เร็วจัง!? อย่างน้อยก็เอาผ้าเปียกเช็ดมือล้างคราบฝุ่นคราบดินก่อนสิ!”
สแตไปนั่งที่เก้าอี้แล้วด้วยความเร็วระดับที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ก่อนที่เธอจะลงมือกินแซนวิชไก่สลับกับฮอทเค้กทันที
“นึกว่าบางทีหลังกลับจากไปทำภารกิจคนเดียวมา เด็กคนนี้อาจจะเปลี่ยนไปบ้างก็ได้ แต่ดูเหมือนสิ่งที่ได้เพิ่มขึ้นมาจะมีแต่ความอยากอาหารนะเนี่ย”
“แหม ก็ดีแล้วนี่คะ เป็นรางวัลสมกับที่พยายามอย่างหนักด้วย ปล่อยให้เธอกินไปซักพักดีกว่าค่ะ อร่อยมั้ยสแต?”
“ *หงึกหงึก* ”
ดูเหมือนสแตเองก็จะเอร็ดอร่อยกับมื้ออาหารนี้ดีเลยด้วย เท่านี้ก็คุ้มค่ากับที่ทำแล้วล่ะ
“ท่านโนอะ ท่านคิดว่าโอโตฮะกับโอรันจะทำอะไรงั้นเหรอคะ?”
“พูดตามตรง ฉันเองก็อ่าน 2 คนนั้นไม่ออกเหมือนกัน แต่ฉันไม่คิดว่าพวกเธอจะทำอะไรอย่างจัดการฆ่าพวกนั้นทิ้งไปซะตอนนี้เลยหรอก ตอนนี้ เราคงทำได้แค่รอดูอย่างเดียวเท่านั้นแหละ”
ฉันยังดำเนินบทสนทนาต่อไป ในขณะที่ฟังเสียงเคี้ยวของสแตที่ดังอยู่แทบจะต่อเนื่องตลอดเวลาไปด้วย
“ถ้าฉันอยู่ในจุดของพวกเขาล่ะก็ ฉันคงค่อยๆ รีดเลือดของพวกมันออกมาทีละนิด ทีละนิด พลางคอยดูสีหน้าของพวกมันระหว่างที่ลงมือจัดการไปด้วยนะคะ แต่วิธีการที่ 2 คนนั้นจะใช้จะเป็นแบบไหนกันแน่น้า”
“ถ้าเป็นฉัน ฉันคงทำให้พวกนั้นเป็นแผลสาหัสแบบเฉียดตาย จากนั้นก็รักษาให้หาย ก่อนจะทำให้บาดเจ็บอีกรอบ ซ้ำไปเรื่อยๆ จนกว่าจิตใจจะแตกสลายล่ะนะ ชักอยากตั้งตาคอยแล้วสิว่าเด็กๆ 2 คนนั้นจะทำอะไร”
เอาเถอะ จะใช้วิธีไหนมันก็แล้วแต่ 2 คนนั้นนั่นแหละว่าพวกเขาอยากจะเลือกวิธีการแบบไหน
ถึงอาจจะใช้เวลาอยู่บ้าง แต่เราต้องเคารพความต้องการของทั้ง 2 คนด้วย
หลังจากนั้น เราต้องทำทุกวิถีทางเพื่อจะให้ได้ความไว้ใจทั้งคู่และนำทั้ง 2 คนมาร่วมเป็นพรรคพวกกับเราให้ได้
“งั้น พวกฉันเองก็ทานด้วยแล้วกัน คอยรอรับสแตอยู่จนยังไม่ได้ทานมื้อเย็นเลย หิวไม่ใช่เล่นเลยล่ะ”
“ค่ะ เอาแบบนั้นดีกว่า”
ท่านโนอะกับฉันนั่งลงข้างๆ สแตที่กำลังกินทุกอย่างด้วยความเร็วที่ทำฉันกลัวว่าเธอจะสำลักเอา แล้วเราก็เอร็ดอร่อยกับมื้ออาหารนี้ด้วยกันเป็นครั้งแรกหลังจากที่ไม่ได้ทำมานาน
“―――ตั้งแต่ตอนนั้นมา นี่ก็ผ่านมาอาทิตย์นึงแล้วนะ”
“…”
“……”
ในห้องของคนรับใช้ห้องนึงที่เอาไว้ให้สำหรับโอโตฮะกับโอรัน
ฉันกับสแตยืนอยู่ข้างหลังท่านโนอะ ที่ตอนนี้กำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่เลย
ใช่ ตั้งแต่ตอนนั้นมา นี่ก็ 1 สัปดาห์มาแล้ว เวลา 1 สัปดาห์เนี่ย เรื่องมันก็เปลี่ยนแปลงไปจริงๆ นะ
อันที่จริง ตั้งแต่เมื่อตอยบ่ายของ 4 วันก่อน พ่อของท่านโนอะได้พรวดเข้ามาในห้อง แล้วเราก็คุยกันเรื่องนี้ด้วย
“ย- แย่แล้วโนอามารี! เกิดการปฏิวัติจลาจลขึ้นในจักรวรรดิ ในเขตที่ตระกูลกิฟท์ปกครอง! พวกสามัญชนหยิบอาวุธขึ้นมาสู้กันแล้ว!”
“ว- ว่ายังไงนะ!? แล้วท่านออร์เกอร์กับท่านเคานต์กิฟท์ล่ะ!?”
“ทั้ง 2 คนอยู่ที่ไหนตอนนี้ไม่มีใครรู้เลย แต่ทุกคนในคฤหาสน์นั่นน่ะถูกฆ่าจนหมดไม่มีเหลือเลย―――บ้าเอ๊ย! แผนการของเรามัน!”
“อ- อะไรกัน…”
เป็นการสนทนาที่ตลกมากจนฉันแทบอยากจะเข้าไปแทรกเพราะความบ้าบอของมันให้รู้แล้วรู้รอดไปเลยล่ะ
งานเบื้องหลังของสแตผลิดอกออกผลได้สวยงามอย่างเห็นได้ชัดเลย
แต่นอกจากนั้นแล้ว มันก็ไม่มีอะไรเลย จริงๆ มันยิ่งกว่าไม่มีอะไรเลยซะอีกด้วยซ้ำ
“ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา ทำไมพวกเธอถึงไม่ยอมทำขยับขยายอะไรเลยล่ะ?”
“ฉันไม่เห็นร่องรอยอาการบาดเจ็บหรือถูกทำร้ายเลยซักนิดด้วยค่ะ เกิดอะไรกับพวกคุณ 2 คนงั้นเหรอคะ คุณโอโตฮะ คุณโอรัน?”
“ค- คือเรื่องนั้น…”
“พวกเธอได้เข้าไปคุยกันบ้างหรือเปล่า? ไม่ใช่สินะ เพราะทุกทีพอเธอ 2 คนเข้าไป ไมนานก็จะรีบออกมากันเลย”
โอโตฮะกับโอรันไม่ตอบอะไรเลย
“คุณหนู อ่านใจมั้ย?”
“หยุดเลยนะ”
“แต่ว่า ท่านโนอะคะ จะให้เรื่องดำเนินต่อไปแบบนี้ไม่ได้นะคะ ไม่ใช่ว่านั่นจะเป็นวิธีเดียวที่เหลือแล้วหรอกเหรอคะ?”
ครึ่งนึงมันก็เป็นการพูดเล่นนั่นแหละ แต่ครึ่งนึง ฉันก็จริงจังกับเรื่องนี้ด้วย
แต่ขนาดฉันพูดแบบนี้แล้ว ทั้ง 2 คนกลับดูแค่กระสับกระส่ายนิดหน่อย แล้วก็ไม่พูดอะไรเลย
“คุโระ แบบนั้นไม่สมกับเป็นเธอเลยนะ ไปฝืนบังคับแบบนั้นก็ไม่ใช่อะไรเราขึ้นมาหรอก สิ่งสำคัญคือต้องให้ทั้ง 2 คนบอกกับเราด้วยเจตนาความตั้งใจของตัวเอง”
“แต่ว่า…”
“ฉันจะไม่ใช่เวทมนตร์ในการเจรจาหรือหารือกับเด็กๆ ที่อาจจะมาทำงานกับฉันต่อไปในอนาคตอย่างเด็ดขาด เธอรู้หรือเปล่าว่าเพราะอะไร?”
“เพื่อจะสร้างสายสัมพันธ์ของความไว้วางใจอย่างแท้จริงโดยไม่พึ่งพาเวทมนตร์สินะคะ”
“ถูกต้อง ถ้าไม่ใช้หลักการนี้ล่ะก็ การสนทนามันจะง่ายมากเลยล่ะ เราไม่จำเป็นต้องไปทำเรื่องราวยุ่งยากซับซ้อนอย่างการทำลายตระกูลกิฟท์ทิ้งตั้งแต่แรกแล้วด้วยซ้ำ เราแค่ใช้เวทมนตร์สายจิตใจของสแตควบคุมจิตใจของทั้ง 2 คน แล้วก็บังคับให้พวกเธอเชื่อใจเราซะ แค่นี้ก็จบ”
การที่เราไม่ได้ทำแบบนั้นก็แปลว่า
ท่านโนอะต้องการจะเข้าใจทั้ง 2 คนจริงๆ ต้องการจะพูดคุยสื่อสารกัน และต้องการจะสร้างความไว้วางใจกันอย่างจริงจังเลยสินะ
“ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะที่ฉันพูดอะไรไปโดยไม่คิด โปรดยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ”
“ได้สิ ตราบใดที่เธอเข้าใจล่ะนะ”
ท่านโนอะพยักหน้าอย่างพอใจ ก่อนจะหันกลับไปหาโอโตฮะกับโอรัน
“2 คนนั้นไม่ได้กินอะไรเลย เพราะฉะนั้นก็คงมีชีวิตเหลืออยู่อีกประมาณครึ่งเดือน ลองคุยกันดูแล้วกันนะว่าก่อนจะถึงตอนนั้น พวกเธออยากจะทำอะไรกันแน่ คุโระ สแต ไปกันเถอะ”
ท่านโนอะลุกขึ้นยืน และเปิดประตูกำลังจะออกจากห้องแล้ว
“…ดิฉันทำไม่ได้เจ้าค่ะ”
เมื่อได้ยินคำพูดนั้นของโอโตฮะ ท่านโนอะก็หยุดกึก ก่อนจะหันกลับมา
“ดิฉันทำไม่ได้จริงๆ เจ้าค่ะ ให้ฆ่าพี่ ฆ่าพ่อของพวกเราแบบนั้น ดิฉันควรจะเคียดแค้นทั้ง 2 คนนั้นมากนะเจ้าคะ ที่ทำให้พวกเราต้องอดทนฟันฝ่าชีวิตที่เหมือนนรกทั้งเป็นแบบนั้น”
“แต่พอเจอหน้ากันแล้ว ความคิดที่ว่า ‘ทำแบบนี้แล้วมันจะได้อะไรขึ้นมา?’ กับเรื่องที่ว่าไม่ว่าจะยังไง พวกเขาก็ยังเป็นครอบครัวของเราอยู่ดี มันเข้ามาแทรกทุกครั้งตอนที่จะลงมือเลยครับ ขามันจะแข็งไปหมดอยู่แบบนั้น แล้วผมก็ทำใจทำร้ายพวกเขาไม่ลงจริงๆ”
อ่า จริงด้วยสิ
2 คนนี้ไม่เคยทำร้ายใครมาก่อนเลยนี่นา
เพราะแบบนั้น พวกเธอเลยลังเลกับการแม้แต่จะทำให้ต้องบาดเจ็บเล็กๆ น้อยๆ ด้วยซ้ำ
“คุณโนอามารี เราควรจะทำยังไงดีล่ะเจ้าคะ? ถ้ายังเป็นแบบนี้ เราคงได้ทำให้โอกาสที่พวกคุณให้มาเสียเปล่ากันพอดี”
“พวกเธอแสวงหาคำชี้แนะจากพวกฉัน ทั้งๆ ที่ไม่ได้ไว้ใจพวกฉันงั้นเหรอ?”
“โธ่ เข้าใจแล้วเจ้าค่ะ พวกเราทราบดีว่าพวกคุณพยายามจะช่วยพวกเราจริงๆ… แต่ ไม่ว่ายังไง ดิฉันก็ไม่สามารถทำให้ตัวเองเชื่อใจพวกคุณอย่างสนิทใจได้จริงๆ เจ้าค่ะ”
“เพราะแบบนั้น ขอร้องล่ะครับ ช่วยบอกทีว่าเราควรจะทำยังไง เราจะทำตามที่ท่านแนะนำเลย เราอยากจะเชื่อใจพวกท่านจริงๆ ขอร้องล่ะครับ ช่วยบอก―――”
เมื่อท่านโนอะได้ยินทั้งคู่เรียกร้องมองหาคำชี้แนะจากท่าน ท่านก็ตอบกลับ
หลังจากที่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ ท่านก็ตอบมาคำนึง
“ฉันไม่รู้หรอก มันเกินมือฉันแล้ว”
TN: เฮ้อ แปลเองยังขัดใจ ทำไมถึงเป็นกันซะแบบนี้ล่ะเนี่ย