ผมรู้สึกคอแห้งสุดๆมันเหมือนกับว่าน้ำในร่างกายของผมค่อยๆเหือดแห้งไปพร้อมกับหัวใจที่เริ่มเต้นเร็วขึ้นเพราะในตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไงดี
“…เอ๋ หรือว่าฉันคิดไปเองหว่า?”
“อะเอ่อ….มันก็มีบ้างละนะที่จะมีข้าวกล่องคล้ายๆกันโผล่มาบ้าง..”
ผมพยายามพูดแก้ตัวออกไปแต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้ผมจึงคิดได้แต่คำแก้ตัวง่อยๆ นี่สินะความรู้สึกมืดแปดด้านที่เค้าว่ากัน
“ไม่สิ มันไม่ได้คล้ายกันแต่มันเหมือนกันเป๊ะเลย ทั้งรูปแบบของอาหารและการจัดเรียง แล้วก็นะฉันว่าไอ้ของแบบนี้น่ะมันไม่ได้มีขายตามร้านสะดวกซื้อแน่ๆ”
“เอิ่มม…”
จากนั้นผมก็ถอนหายใจออกมาก่อนที่จะแหงนหน้ามองต้นไม้ ตอนนี้ผมรู้สึกได้ว่าใบไม้ที่ปลิวไสวพวกนั้นมันกำลังหัวเราะเยาะผม
อ่าาา วันนี้สายลมข่างเย็นสบายจังเลยน้า~~~ ดูใบไม้ที่แสนสดใสนั่นสิ~~ อ่าฮะฮาฮา..ฮะ
“คุณกำลังหนีความจริงอยู่เหรอคะ โทคิวากิซัง?”
“อย่าอ่านใจกันสิฟะ”
“ก็เล่นแสดงสีหน้าซะขนาดนั้นแค่มองก็รู้แล้วค่ะ แล้วทำไมถึงอยากหนีความจริงละคะ?”
“นี่ ก่อนจะพูดอะไรก็ช่วยดูสถานการณ์ตอนนี้ก่อนสิ”
“สถานการณ์ตอนนี้พวกเราก็กำลังนั่งกินอาหารกับเพื่อนๆอย่างสนุกสนานกันอยู่ค่ะ”
“เฮ้ออ….เหนื่อยใจโว้ยย”
“งั้นวันนี้ก็กินหมูพัดขิงนะคะ คุณจะได้หายเหนื่อยค่ะ”
“ไม่ใช่แบบนั้นว้อยยยยยย…”
ผมถอนหายใจใส่วาคามิยะที่ไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรเลยเพราะเธอไม่แม้แต่จะพยายามปิดบังความสัมพันธ์ระหว่างเราแถมยังไม่เข้าใจความหมายของคำว่าเหนื่อยที่ผมอยากจะสื่ออีก
ส่วนทางของเคนอิจิกับฟูจินั้น พวกเขาทั้งคู่ก็นั่งดูบทสนทนาของพวกเราอย่างไม่วางตา
จากนั้นเคนอิจิก็เอ่ยปากพูดออกมาด้วยดวงตาที่เปล่งประกาย
“โทวะ~~~ นายรู้เปล่าว่าตอนนี้ฉันกำลังคิดอะไรอยู่~~”
“หืม? อะไรเหรอ..”
“มันอาจจะฟังดูไร้สาระนะ แต่ว่าข้าวกล่องของนายกับวาคามิยะเหมือนกันเด๊ะเลยแถมพวกนายเองก็ยังดูสนิทกันดีด้วย”
ผมเริ่มกินข้าวกล่องโดยไม่สนใจคำพูดของเคนอิจิเพราะถ้าขืนสนใจไปมากกว่านี้ได้เกิดเรื่องยุ่งยากแน่
“หรือว่าาาา นายกับวาคามิยะกำลังคบกันอยู่เหรอ?”
เคนอิจิแสยะยิ้มออกมาจนชวนให้รู้สึกหงุดหงิด ผมจึงหยุดกินและเพ่งสายตาไปที่เขา
“ไม่ใช่ค่ะ ที่พวกเราดูสนัทกันก็เพราะบ้านของพวกเราอยู่ในระแวกเดียวกันค่ะ”
“พวกเราไม่ได้คบกันหรอก”
วาคามิยะกล่าวปฏิเสธอย่างไม่ลังเล
ถึงสิ่งที่เธอพูดมันจะเป็นความจริงก็เถอะแต่ผมกลับรู้สึกแปลกๆซึ่งมันก็ยากเกินกว่าจะอธิบายออกมาเป็นคำพูด…แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ดีกว่าการที่เธอพูดติดขัดหรือลังเลละนะ
พอได้ยินในสิ่งที่วาคามิยะพูดมานักเรียนคนอื่นที่อยู่รอบๆก็พากันโล่งใจ
“หืมมม แค่นั้นจริงๆเหรอ?”
“ไม่ คือ–“
ผมกระแอมเพื่อหยุดวาคามิยะที่กำลังพูด
“ก็จริงที่ว่าวาคามิยะให้ข้าวกล่องฉัน แต่ว่านะ เคนอิจินายเองก็น่าจะรู้สถานการณ์ทางบ้านของฉันดีนิ”
“เอ่อ..ก็”
“…เคนอิจิ มันหมายความว่ายังไงเหรอ?”
เคนอิจิเหลือบมองมาที่ผมด้วยสายตาที่เหมือนกับกำลังถามผมว่า[เอาไงดี]อะไรทำนองนี้
“เรื่องพวกนี้ไม่ใช่สิ่งที่ฉันควรจะเอาไปป่าวประกาศหรอกนะ แต่ว่าที่จริงแล้วคือฉันอาศัยอยู่ในอพาร์ทเม้นท์ที่ค่อนข้างจะทรุดโทรมหรืออีกความหมายหนึ่งก็คือฉันมันจน”
“…อ่อ”
จากนั้นฟูจิก็ละสายตาไปจากผมด้วยสีหน้ารู้สึกผิดแต่การที่เธอทำแบบนั้นผมก็พลอยรู้สึกกระอักกระอ่วนไปด้วย…
“จากที่ฉันพูดไป เคนอิจิกับฟูจิซังก็น่าจะพอเข้าใจแล้วใช่ปะ ก็ทั้งคู่เป็นพวกหัวดีนิ”
“ไม่อ่ะฉันไม่เข้าใจ”
“…ฉันด้วย”
หลังจากที่ได้ยินคำตอบแบบนั้นผมก็ยักไหล่ให้ทั้งคู่พร้อมกับหายใจเข้าเฮือกใหญ่
“คือฉันกับวาคามิยะบังเอิญเจอกัน แล้วพอวาคามิยะเห็นสภาพของฉันเลยไม่สามารถเมินเฉยได้ นี่แหละคือสิ่งที่ฉันอยากจะสื่อ”
“อะอื้ม…อย่างนี้นี่เอง”
“ไหงทำหน้างั้นฟะ ไม่เชื่อกันเหรอ”
“ถ้าเป็นเรื่องข้าวกล่องก็พอเข้าใจได้นะก็เพราะสภาพของนายอย่างกับพวกสัตว์ตัวกระจ้อยร่อยไร้เรี่ยวแรงเป็นใครก็อยากช่วยนั่นแหละ”
“พูดแรงเกินไปเปล่า..เอาฉันไปเปรียบเทียบกับสัตว์เนี่ย ถึงมันจะเป็นเรื่องจริงก็เถอะ”
“ส่วนเรื่องที่นายตั้งใจเรียนขึ้นก็คงจะเป็นเพราะวาคามิยะด้วยใช่ปะ”
ในขณะที่ผมเอาไข่เจียวเข้าปากเคนอิจิก็ยกหัวข้อนี้ขึ้นมาต่อ
“ใช่ เหตุผลก็คล้ายๆกันนั่นแหละแต่พอนึกดูแล้วเธอก็ช่วยฉันเอาไว้มากจริงๆ เอาตรงๆเธอให้ความรู้สึกเหมือนกับแม่พระผู้ใจดีที่มักจะคอยช่วยเหลือลูกแกะผู้หลงทางยังไงอย่างงั้นเลย”
“โม้อ๊ะเปล่า”
“แล้วแต่จะคิด ฉันพูดความจริงไปหมดแล้ว”
“ความจริงแน่เรอะ~~ ฉันไม่เชื่ออ่ะ”
“แต่ที่แน่ๆมันไม่ใช่อย่างที่นายคิดหรอก ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราก็แค่ผู้รับกับผู้ให้มันไม่มีอะไรเกินเลยไปมากกว่านี้ เพราะงั้น–“
ก่อนที่ผมจะพูดประโยคต่อไปผมก็หายใจเข้าไปลึกๆ
“หยุดสงสัยไม่เข้าเรื่องได้แล้วนายกำลังทำให้วาคามิยะซังลำบากใจอยู่นะ”
จากนั้นผมก็พูดเสริมไปอีกนิด
“เพราะงั้นเลิกตื้อได้แล้ว”
พอได้ยินแบบนั้นเคนอิจิก็เปลี่ยนมาเป็นสีหน้าจริงจัง
ส่วนทางฟูจิก็ถอนหายใจออกมาด้วยความผิดหวัง
“…..โทคิวากิคุง…ริน คือว่านะ—“
กริ๊งงงงง
ฟูจิที่เหมือนกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมากลับโดนเสียงกริ่งขัดจังหวะเอาซะก่อน
ส่วนทางผมนั้นก็สูดหายใจเข้าแล้วเขมือบอาหารทั้งหมดภายในพริบตา
“งั้น แค่นี้ก่อนนะไปละ”
“เดี๋ยวโทวะเรายังคุยกันไม่–“
“เอาไว้ทีหลัง เดี๋ยวจะเข้าเรียนสายเอานะ”
“โทคิวากิซัง รอเดี๋ยว—“
วาคามิยะเรียกผมด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบาแต่ถึงอย่างนั้นผมก็เดินออกไปโดยไม่หันกลับมามอง
แล้วดูเหมือนว่าสีหน้าของเธอที่ผมเห็นแวบๆเมื่อกี้นี้เธอจะดูโกรธมากๆเอาซะด้วย
หรือว่าผมคิดไปเองกันนะ
——
ดูทรงแล้วตอนต่อไปคงจะได้เห็นคนโดนสวดแน่
MANGA DISCUSSION