‘ความทรงจำดีๆในช่วงฤดูใบไม้ผลิ’
พอพูดถึงหัวข้อนี้ทุกคนจะตอบยังไง
ความรัก? การเรียน? หรือว่าช่วงเวลาดีๆที่ได้ใช้ร่วมกับเพื่อน
ผมมั่นใจเลยละว่าคำตอบที่ดาษดื่นพวกนี้จะต้องโผล่มาบ้าง
แต่ยังไงก็ตามสิ่งพวกนี้ก็แทบจะไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับผมเลย
เช่นความรัก ถึงผมจะไม่มีแฟนมันก็ไม่เห็นจะเป็นไรเลย
หรือจะเป็นการเรียน ผมแทบจะต้องเรียนซ้ำชั้นอยู่แล้วเพราะเก็บหน่วยกิตไม่ครบไหนจะเรื่องทำงานพาร์ทไทม์อีก
ส่วนเพื่อนน่ะเหรอ อันดับแรกเลยนะ ‘เพื่อน’ คืออะไร
และนี่แหละคือสิ่งที่ผมเป็น
สำหรับคนอย่างผมเรื่องความรักคงเป็นไปไม่ได้และผมเองก็ไม่ได้อยากมีด้วยถ้าหากผมมีผมก็จะต้องเจอแต่เรื่องจู้จี้จุกจิกแหงๆ เพราะงั้นไม่มีไปซะยังจะดีกว่า
ไม่ใช่ว่าผมมีปมด้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้หรอกนะ นี่น่ะเป็นใจจริงของผม
แต่ถ้ายังยืนยันจะเอาคำตอบเกี่ยวกับเรื่องความทรงจำในช่วงฤดูใบไม้ผลิจากผมให้ได้แล้วละก็ผมคงตอบได้เพียงแค่ ‘งานพาร์ทไทม์’ นั่นเพราะผมใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับงาน
เรื่องชมรมไม่ต้องไปพูดถึงเลยเพราะพอผมเลิกเรียนผมก็ไปทำงานและนี่แหละคือชีวิตของผม โทคิวากิ โทวะ
“พลาดซะแล้ว…”
ผมแหงนหน้ามองท้องฟ้าในขณะที่รอสัญญาณไฟจราจรซึ่งแสงแดดของช่วงย่างเข้าหน้าร้อนมันโคตรจะสยดสยองเลย
“เฮ้ออ~~…”
ผมถอนหายใจออกมา
ถ้าผมรู้ว่าหลังสอบเสร็จแล้วสามารถกลับบ้านได้เลยผมก็คงจะเลื่อนการเข้ากะของตัวเองให้เร็วขึ้นกว่านี้ บ้าจริงเราเสียเวลาโดยใช่เหตุ
ผมน่ะเป็นพวกชอบทำงานพาร์ทไทม์ครับ
แน่นอนว่ามันอาจจะฟังดูงี่เง่า แต่การที่เรา จะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้สำเร็จเราก็ต้องเสียสละเวลาให้กับสิ่งนั้นแล้วสิ่งนั้นก็จะให้ผลตอบแทนเราเสมอ
หรือก็คือสิ่งที่เราได้รับไม่ใช่ความสำเร็จแต่เป็นผลตอบแทนที่สมน้ำสมเนื้อประมาณว่าเป็นความสัมพันธ์แบบ WIN-WIN อ่านะ จริงๆผมแค่ทำแล้วสบายใจแค่นั้นแหละ
บางคนอาจจะบอกว่าไปใช้เวลากับเพื่อนๆในช่วงที่ยังทำได้ดีกว่าไหมอย่าเอาเวลาช่วงวัยรุ่นไปทุ่มกับการทำงานเลย
ผมขอบอกอะไรกับคนเหล่านั้นหน่อยนะ
พวกคุณมันงี่เง่า..
ก่อนอื่นเลยถึงผมจะเป็นนักเรียนจริงๆก็เถอะ แต่คนที่สามารถใช้ชีวิตแบบโลดโผน สนุกไปวันๆ โดยไม่ต้องคิดอะไรก็มีแค่บางจำพวกเท่านั้นแหละ มันเป็นไปไม่ได้สำหรับผมหรอกที่จะทำแบบนั้นเนื่องจากวรรณะชนชั้นในโรงเรียนของผมมันสุดแสนจะต่ำต้อยซึ่งมันอยู่ในกลุ่ม C ไม่ก็ D เลยด้วยซ้ำมั้ง
ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ได้มีความรู้สึกอิจฉาใดๆและผมก็ไม่อยากถูกกล่าวหาว่าเป็นพวก ‘เรียจู’ ด้วยสิ
(** ‘リア充’ (เรียจู) คนที่ใช้ชีวิตแบบปกติทั่วไปประมาณว่า มีเพื่อน มีแฟน คำนี้มักจะถูกใช้โดยโอตาคุ)
แต่ก็มีบางคนที่มักจะมองคนอื่นด้วยความอิจฉา ผมละอยากจะบอกพวกนั้นจริงๆว่า
เลิกเพ้อ
ถึงคุณเมิงจะอิจฉาไปมันก็ได้แค่นั้น
ก็เหมือนกับสำนวนที่ว่าหญ้าจากอีกด้านหนึ่งของรั้วก็มักจะดูเขียวกว่า
(**คนเรามักจะไม่พอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีอยู่เพราะอาจคิดว่าคนอื่นดีกว่าเรา)
เพราะงั้นการที่ภูมิใจในสิ่งที่ตัวเองมีน่ะดีที่สุด
ส่วนตัวผมก็พอใจในสถานการณ์ของตัวเองอยู่แล้วและก็ไม่คิดที่อยากจะเลื่อนวรรณะชนชั้นในโรงเรียนของตัวเองให้สูงขึ้นเลย
สมมุติว่าผมสามารถเลือกที่จะเข้าไปกลุ่ม A ได้แต่ถึงยังไงผมก็คงจะเลือกแบบเดิมอยู่ดี
เพราะผมไม่ต้องการชีวิตที่ต้องมาคอยใส่ใจความต้องการของคนอื่นหรอก
“..หืมม”
ในขณะที่ผมเดินตามทางเดิมๆที่เดินเป็นประจำ….ผมก็สังเกตเห็นอะไรบางอย่างที่ผิดแปลกไป ผมจึงเอียงศีรษะด้วยความสงสัย
ผมค่อยๆเดินเข้าไปใกล้สิ่งที่ดึงดูดสายตาผมทีละนิดจากที่ไม่ค่อยแน่ใจตอนนี้ผมมั่นใจเต็มร้อยเลย
“…..วาคามิยะ ริน”
ซึ่งในตอนนี้เธอก็ได้นั่งอยู่บนม้านั่ง ตัวเธอนั้นมีผมสีบรอนซ์ที่ยาวตรงถึงเอวและด้วยสายลมที่พัดผ่านมาก็ทำให้ผมของเธอปลิวไสวไปตาม ส่วนแสงแดดที่ส่องผ่านต้นไม้มายังเธอก็ราวกับสปอตไลท์
ในตอนนี้เธอดูเหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ยังไงอย่างงั้นแหละ
หลังจากที่ผมยืนยันว่าเธอเป็นใคร ใบหน้าของผมก็แข็งทื่อไปในทันที
ทำไมต้องมาเจอกับหนึ่งในคนที่สามารถใช้ชีวิตได้ตามใจที่นี่ด้วยฟระเนี่ยย..
วาคามิยะ ริน เธอเรียนอยู่โรงเรียนเดียวกันกับผมแต่ว่าพวกเราไม่ได้อยู่ห้องเดียวกันและไม่เคยคุยกันมาก่อนเลยแล้วผมเองก็มั่นใจเป็นอย่างมากว่าเธอไม่รู้จักผม
แต่ที่ผมรู้จักเธอก็เพราะ วาคามิยะ ริน เธอเป็นคนที่มีชื่อเสียงในโรงเรียนเป็นอย่างมากขนาดที่ว่าไม่มีใครในโรงเรียนไม่รู้จักเธอ
ในวันปฐมนิเทศเธอได้ขึ้นไปพูดสุนทรพจน์บนเวทีในฐานะตัวแทนเพราะเธอสอบเข้าด้วยคะแนนเต็มอีกทั้งด้านกีฬาเธอเองก็ไม่ใช่เล่นๆทำให้ชมรมกีฬาต่างๆเข้ามาทาบทามตัวเธอ
และเหนือสิ่งอื่นใด รูปร่างหน้าตาของเธอได้ดึงดูดสายตาผู้คนเป็นอย่างมาก เธอมีทุกอย่างเพียบพร้อมจนทำให้ผมอยากจะพูดว่า “นี่เธอเป็นลูกรักพระเจ้ารึไงกันฟระะะ”
ตัวเธอนั้นมีความสามารถทั้งเรื่องการเรียนและกีฬาอีกทั้งรูปร่างหน้าตาก็เป็นที่ดึงดูดใจเรียกได้ว่าเป็นหญิงสาวที่มีทั้งความเฉลียวฉลาดและความงดงาม
ซึ่งต่างจากผมราวฟ้ากับเหว ผมขอจัดให้เธออยู่ในกลุ่ม SSS สิ่งมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ..ไม่สิ ควรจะเป็นสิ่งมีชีวิตที่โคตะระสมบูรณ์แบบที่สุดซึ่งหาที่เปรียบมิได้ เรียกได้ว่าเทพธิดาคนนี้ประสบความสำเร็จทางสังคมอย่างไม่ต้องสงสัย
แล้วไหงคนดังขนาดนั้นถึงมานั่งแถวนี้ได้ละ มันไกลจากโรงเรียนมากเลยนะ…เอาเถอะ ยังไงมันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับผมอยู่แล้ว มิติที่เธออาศัยอยู่มันแตกต่างจากผมมากเกินไป
ผมถอนหายใจออกมาและเดินผ่านหน้าเธอไป
“โครกกก…”
ทันทีที่ผมเดินผ่านผมก็ได้ยินเสียงท้องร้องเบาๆบางทีผมอาจจะคิดไปเองก็ได้
“โครกกกกกกก…”
“เฮ้ออออ..”
คราวนี้วากามิยะถอนหายใจออกมาด้วย ดูทรงแล้วเราไม่ได้คิดไปเองแหงๆ จากนั้นเธอก็พูดออกมาเบาๆว่า
“ทำไมฉันถึงลืมมันเอาไว้นะ…”
จริงๆผมจะเมินแล้วเดินจากไปก็ได้นะแต่ถ้าทำแบบนั้นความรู้สึกผิดได้ถาโถมเข้ามาหาผมแน่ๆ
อ่าาาา…บ้าจริง..ช่วยไม่ได้ละนะ
ผมวิ่งไปที่ทำงานพาร์ทไทม์ของผมและกลับมาพร้อมบางสิ่งเพื่อเอามาให้วาคามิยะ
“หืมม..อะไรอ่ะ?”
“เบิ่งตาดูสิ มันฝรั่งอบไง”
วาคามิยะซังเหลือบมองมาที่ผมจากนั้นเธอก็พูดด้วยน้ำเสียงเฉยเมย
“ฉันไม่ต้องการ”
เสียใจนะเนี่ย ถึงเธอจะไม่ผิดอะไรก็เถอะเพราะจู่ๆก็มีผู้ชายแปลกหน้าที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนยื่นอาหารให้แบบนี้เป็นใครก็ปฏิเสธนั่นแหละนะ
เธออาจจะคิดว่าผู้ชายคนนี้ต้องมีอะไรแอบแฝงแน่ๆหรือไม่ก็วางยาพิษอะไรทำนองนี้ละมั้ง
เธอมองผมด้วยความสงสัยแต่ถึงอย่างงั้นเธอก็ไม่ได้แสดงความรู้สึกที่ไม่สบายใจออกมาอย่างโจ่งแจ้งซึ่งมันแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้ใหญ่ในตัวเธอหรือไม่ก็เธออาจชินกับสถาณการณ์อะไรแบบนี้แล้วก็ได้
มันคงไม่แปลกอะไรหรอกเพราะ วาคามิยะเองก็เป็นสาวสวยด้วยเธออาจจะเจอกับเรื่องแบบนี้บ่อยๆ
เพราะงั้นผมจึงตัดสินใจวางถุงกระดาษที่ใส่มันฝรั่งอบเอาไว้ข้างๆเธอ หลังจากที่เธอสังเกตเห็นท้องของเธอก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง
พอเธอรู้ตัวเธอก็กดท้องของตัวเองเอาไว้ส่วนหูของเธอก็ถูกย้อมไปด้วยสีแดงพอผมเห็นแบบนั้นผมก็เผลอยิ้มแห้งๆออกมา
“ขอบอกไว้ก่อนนะ ฉันไม่ต้องการคำขอบคุณจากเธอหรอกฉันแค่ไม่อยากทำเมินต่อเธอที่กำลังนั่งท้องร้องโครงครามอยู่แค่นั้นเอง และอีกอย่างนะฉันกะจะทิ้งมันไปอยู่แล้ว…แต่ดันมาเจอเธอซะก่อน…ใช่แล้วละ เธอแค่โชคดีที่ได้รับมันโดยบังเอิญ เพราะงั้นเธอไม่ต้องคิดมากหรอก”
“บังเอิญ?..”
“ใช่”
“แต่มันยังอุ่นอยู่เลยนะ”
“อันนั้นก็บังเอิญเหมือนกัน กินๆไปเถอะคิดซะว่าตัวเองดวงดีละกันถ้าไม่อยากจริงๆก็เอาไปทิ้งก็ได้ บาย”
“อืม!”
ผมหันไปมองวาคามิยะที่เหมือนจะพูดอะไรบางอย่างออกมาก่อนที่ผมจะรีบเดินออกไปจากที่นั่นอย่างรวดเร็ว
นี่คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายเพราะพวกเราอาศัยอยู่ในโลกที่แตกต่างกันเกินไปและผมก็ไม่จำเป็นจะต้องไปเกี่ยวข้องกับเธอมากกว่านี้อีกแล้ว
แต่ว่านานๆทีการที่ได้ช่วยเหลือคนอื่นเล็กๆน้อยๆแบบนี้ก็รู้สึกไม่เลวเหมือนกันนะเนี่ย และในตอนนี้ผมก็เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองทำไปมันไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร
ใช่ครับนี่คือสิ่งที่ผมเชื่อ
**********
ตรงคำบรรยายผู้แปลจะขอใช้คำว่า ‘ผม’ นะครับ
จุดเริ่มต้นของความรักคือ มันฝรั่งอบ สินะ
MANGA DISCUSSION