[WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? - ตอนที่ 36 สิ่งที่เล็งไว้ของลูน่า
- Home
- [WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?
- ตอนที่ 36 สิ่งที่เล็งไว้ของลูน่า
“เป็นเรื่องใหญ่เลยนี่คะ แล้วคุณพ่อของคุณหนูเอเลน่าก็ร่วมทานอาหารเย็นด้วยสินะคะ”
“มันก็บังเอิญเกินไปจริงๆนั่นแหละ….”
หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จผมก็มุ่งหน้าไปที่ห้องสมุดและกำลังคุยกับลูน่าเรื่องจดหมายเชิญของเอเลน่า
โดยปกติแล้วตอนเธอคุยกับผมเวลาอ่านหนังสือจะคุยไปด้วยแล้วก็อ่านไปด้วย แต่ตอนนี้เธอกลับหยุดอ่านและหันมาคุยกับผมแทน
“ที่เรียกฉันไปนี่เขาอยากจะคุยอะไรกับฉันกันแน่นะ คุณพ่อของเอเลน่าน่ะ”
“อาจจะเกี่ยวกับเรื่องที่ปรึกษากับ ‘เขา’ ก็ได้นะคะ”
“เขา? อ๋า..หมายถึงอลันคุงสินะ”
ถ้าเป็นงั้นจริง นี่ไม่ใช่ว่าผมต้องไปนั่งคุยเรื่องธุรกิจกับขาใหญ่ตัวเบ้งหรอกเหรอเนี่ย
“เห้ออ…..”
“ตระหนักได้ถึงภาระอันหนักอึ้งแล้วสินะคะ ”
“มันก็ไม่เชิงหรอก ฉันก็แค่อยากจะใช้ชีวิตอย่างสงบสุขไปวันๆก็เท่านั้นเอง ก็พวกมีอำนาจมันน่ากลัวนี่นา”
“ลูกชายของมาร์ควิสอย่างคุณนี่พูดได้ด้วยเหรอคะ”
ลูน่าตอบกลับด้วยสีหน้าเรียบเฉยดั่งเช่นเคย
“น่าเสียดายจังเลยนะคะ ถ้าคุณเห็นแก่ตัวกว่านี้อีกสักหน่อย เรื่องราวมันก็น่าจะต่างออกไปอยู่นะคะ”
“อา…อะฮ่าๆ แต่ว่าเรื่องนั้นลูน่าเองก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ ”
“ฉันไม่ได้เฟรนด์ลี่เหมือนกับคุณสักหน่อย”
“เหรอ…แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นนะ”
“ฉันก็แค่ชอบผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพก็เท่านั้นเอง”
“มันก็เหมือนกันไม่ใช่เหรอ? สุดท้ายเธอก็พยายามยื่นมือช่วยนี่นา นั่นมันก็บ่งบอกเลยว่าลูน่าเป็นคนใจดี”
“…เหรอคะ ถ้าคุณจะคิดอย่างนั้นก็ตามใจค่ะ”
“อืมๆ”
ลูน่าที่พยายามอ่านหนังสือบริหารธุรกิจที่ดูเข้าใจยากและกำลังโน้ตจุดสำคัญลงในสมุดอย่างตั้งใจ เธอตระหนักได้ถึงความรับผิดชอบที่ต้องแบกรับดี
เพราะงี้แหละผมถึงได้บอกว่าลูน่าเป็นคนใจดีไง
“อะ ขอนอกเรื่องหน่อยนะ คือว่าฉันมีเรื่องจะถามลูน่าหน่อย ฉันนั่งคิดไม่ตกมาพักใหญ่ๆแล้ว”
“เชิญเลยค่ะ”
“เธอคิดว่า ‘มาร์คกิ้ง’ เนี่ยมันหมายความว่าไงอะ?”
“จู่ๆมาถามอะไรคะเนี่ย?”
“อะ เอาน่าๆ ช่วยบอกที”
แถมเป็นคำพูดพร้อมกับรอยยิ้มมีเลศนัยอีกต่างหาก นี่มันหมายความว่ายังไงกันแน่
“มีสองอย่างที่ฉันนึกออกค่ะ อย่างแรกคือการทำเครื่องหมายตามปกติกับอย่างที่สองคือเหมือนพฤติกรรมของพวกสัตว์ที่ปล่อยกลิ่นเพื่อสร้างอาณาเขตของตัวเอง”
“น่ะ–นั่นสินะ…อย่างที่คิด”
“ดูเหมือนคุณก็น่าจะเข้าใจอยู่แล้วนี่คะ ถ้างั้นแล้วจะมาถามฉันทำไมล่ะคะ?”
“คือว่า เอเลน่าพูดกับฉันมาแบบนี้น่ะ ‘แค่มาร์คกิ้งเองยอมๆให้ทำหน่อยเถอะน่า’ พอฉันงง ไม่เข้าใจความหมายก็โดนโกรธมาน่ะสิ”
“อะ”
ทันทีที่ผมบอกลูน่าไปแบบนั้น ดวงตาที่ดูง่วงนอนของลูน่าก็เบิกโพลงขึ้นมา
เป็นการตอบสนองที่ไม่ปกติสำหรับเธออย่างเห็นได้ชัด
“….เอ่อ ช่วยเล่ารายละเอียดมาหน่อยได้มั้ยคะ”
“รายละเอียดเหรอ? เอ…ถ้าจำไม่ผิด ก็คือหลังจากที่เข้าไปพบกับคุณพ่อของเอเลน่าเสร็จ ฉันก็สัญญากับเอเลน่าว่าจะไปเล่นกับเธอหน่อย แต่มันกลับไม่ใช่ที่ห้องนั่งเล่นหรือห้องรับแขกแต่เป็นห้องส่วนตัวของเธอแทนน่ะสิ พอถามหาเหตุผลเธอก็บ่ายเบี่ยงอย่างที่ว่าเลย”
“งั้นเหรอคะ พูดอีกอย่างก็คือ พอเธอพูดกับคุณแบบนั้นคุณก็ตอบสนองเธอแบบแปลกๆสินะคะ”
“อา ก็ประมาณนั้นแหละ”
ถึงผมจะอธิบายไปแค่พอประมาณแต่ลูน่าก็เข้าใจได้ในทันที แต่ดูเหมือนว่าเธอจะดูหงุดหงิดยังไงชอบกล?
“—เหมือนกับคิสมาร์ครึเปล่านะ? แต่มันก็ดูเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นเลยนะ..”
“……กลายเป็นเรื่องยุ่งยากขึ้นมาแล้วสิแบบนี้”
มีเสียงพึมพำเบาๆออกมาจากปากลูน่า เพราะเป็นห้องสมุดที่เงียบสงบจึงสามารถได้ยินอย่างชัดเจน
“เอ๊ะ? ยุ่งยาก? เธอหมายความว่าไงเหรอ?”
“ก็นะ แต่ก็ไม่ฟันธงไม่ได้หรอกนะคะ”
“ลูน่ารู้อะไรสินะ ช่วยบอกหน่อยได้ไหม?”
ผมมองไปที่ลูน่าอย่างคาดหวัง แต่กลับได้คำตอบที่ไม่คาดคิดมาแทน
“ฉันไม่ชอบเลยค่ะ”
“เอะ!?”
“ค่ะ นี่เป็นเรื่องที่ฉันไม่สามารถให้คำแนะนำคุณได้จริงๆ”
“งะ งั้นเหรอ…แย่จัง ถ้างั้นฉันก็คงฝืนใจให้เธอพูดไม่ได้”
ผมอยากรู้มากจริงๆ แต่ก็รู้ว่าไม่ควรบังคับให้เธอพูดจึงได้แต่ยอมถอยอย่างไม่เต็มใจ
“เพื่อเป็นการชดเชย ฉันจะบอกข้อมูลอื่นให้แทนค่ะ”
“จริงเหรอ? ถ้างั้นก็ขอรบกวนด้วยนะครับ”
คำถามของเบเรต์เมื่อครู่ ลูน่าก็เข้าใจในระดับหนึ่ง
“เมื่อสองชั่วโมงก่อนเชียซังมาหาฉันที่ห้องสมุดด้วยค่ะ”
“ปะ เป็นงั้นเหรอ!? เอ่อ….แล้วเชียได้สร้างปัญหาอะไรให้ลูน่ารึเปล่า?”
“คิดว่าไงล่ะคะ?”
“อะ อะไรน่ะ ทำไมถามแบบนั้น มันน่ากลัวนะ….”
เชียเมดสาวตัวน้อยใสซื่อบริสุทธิ์ ถึงโดยปกติแล้วเธอจะเป็นเด็กเรียบร้อยไม่สร้างปัญหาให้เจ้านาย
แต่มันก็มีความเป็นไปได้ที่จะไม่ใช่แบบนั้นอยู่
“หรือว่านี่เชียสร้างปัญหาให้เธอจริงๆเหรอ?”
“ไม่ใช่หรอกค่ะ เธอแค่มาขอบคุณอย่างเป็นทางการแค่นั้นเองค่ะ”
“โอ๊ะ งั้นเหรอ ถ้างั้นก็ดีแล้วล่ะ”
“ถึงจะโดนเธอพูดจาโอ้อวดอย่างร้ายกาจด้วยใบหน้าใสซื่อมาด้วยก็เถอะ”
“……อะ ดะ เดี๋ยวๆ ช่วยเล่ารายละเอียดมาหน่อยได้ไหม ”
ในขณะที่กำลังโล่งใจได้ไม่ทันไรก็พลันต้องชะงักให้กับสิ่งที่ลูน่าบอก
“เธอพูดเรื่องที่ได้รับของขวัญจากคุณเหมือนกัน แล้วยัง….ถูกลูบหัวด้วย แถมพูดด้วยสีหน้ามีความสุขสุดๆอีกต่างหาก”
“หะ….”
“ทั้งที่ฉันไม่ได้อวดเธอก่อนแท้ๆแต่เธอกลับทำแบบนั้น ฉันบอกได้เลยว่าเธอน่ะ ‘ร้ายบริสุทธิ์’ ของแท้เลยล่ะค่ะ”
“จะ จะว่าไงดี ขอโทษจริงๆนะ เวลาที่เชียมีความสุขกับอะไรสักอย่างเธอจะแสดงมันออกมาตรงๆแบบนั้นแหละ”
เรื่องมันเกิดไปแล้วยังไงก็ไม่สามารถแก้ไขได้ ต่อให้เชียระวังแค่ไหนแต่ผมก็จินตนาการว่าเชียจะหลุดนิสัยที่แท้จริงของตัวเองออกมาได้ไม่ยากเลย
ความจริงแล้วนิสัยแบบนี้ไม่เหมาะจะเป็นสาวใช้ส่วนตัวสักเท่าไหร่
“เธอมีปฏิกิริยาแตกต่างไปแต่ละการกระทำอย่างชัดเจนและไม่ใช่แค่ครั้งหรือสองครั้ง …บางทีเธออาจโดนลูบหัวมากกว่าหนึ่งครั้งก็เป็นได้ พอได้เห็นฉันก็เดาได้ถึงขนาดนั้นเลยล่ะค่ะ”
“อะ อือ….มันก็ถูกต้องตามนั้น”
เชียคงเป็นอัจฉริยะด้านการแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าล่ะมั้ง? …เธอที่เป็นแบบนั้นกลับมีผลการเรียนเป็นอันดับหนึ่งของชั้น
“เอ่อ ฉันก็มีคำถามเหมือนกันค่ะ คุณมีแนวคิดสนับสนุนความเท่าเทียมกันใช่มั้ยคะ?”
“ก็ใช่แหละ….ฉันไม่ใช่พวกเหยียดเชื้อชาตินี่นะ”
“ถ้าอย่างนั้น ฉันคิดว่ามันน่าจะสมเหตุสมผลนะคะ ที่ฉันควรจะได้รับการปฏิบัติแบบเดียวกัน พอได้ยินเรื่องนั้น ฉันรู้สึกด้อยกว่ามากเลยค่ะ”
ลูน่าส่งสายตามาด้วยความรู้สึกแรงกล้าอย่างบอกไม่ถูก
“ไม่สิ แบบนั้นมันก็….. ก็อย่าง นั่นไงเชียก็เป็นเหมือนครอบครัวเดียวกันอะไรประมาณนั้น แต่กับลูน่ามันต่างออกไปใช่มั้ยล่ะ? ฉันหมายถึง จู่ๆจะให้ไปลูบหัวผู้หญิงคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวเดียวกันมันก็ยังไงๆอยู่”
“ถ้าฉันบอกว่าฉันอนุญาตล่ะคะ? กฎข้อนั้นมันก็ไม่มีผลแล้ว”
“มะ..มันก็ใช่อยู่หรอก….”
(ท้ายที่สุดแล้วลูน่าก็ยังคงเป็นสาวน้อยบริสุทธิ์อยู่ดีสินะ….ถึงขนาดที่เชื่ออย่างสนิทใจว่าพวกที่เขาไปแอบหนีไปเที่ยวตอนกลางคืนแค่จับมือเฉยๆ….)
การลูบหัวมันไม่ได้มีปฏิกิริยาต่อต้านทางสรีรวิทยาอะไรหรอก
แต่ว่า ถ้ายอมทำตามที่เธอบอก ด้วยความใสซื่อของลูน่าผมกลัวว่าเธอจะไปขอสกินชิพแบบนี้กับคนอื่นด้วยน่ะสิ …ซึ่งนั่นมันค่อนข้างจะน่ากังวลจริงๆ
อย่างที่คิด เพื่อปกป้องความบริสุทธิ์ของลูน่า ไม่ทำตามที่เธอบอกดูจะเข้าท่ากว่า
เมื่อตระหนักได้ดังนั้นจึงเริ่มคิดหาข้ออ้าง
“อ๊ะ! แต่ฉันไม่ได้จับมือกับเชียเหมือนลูน่าเลยนะ”
“อะ”
ไม่รู้เพราะว่าเธอเข้าใจผิดคิดว่าผมจับมือกับเชียเหมือนเธอหรือยังไง ลูน่าจึงอ้าปากหวออยู่อย่างนั้น
“รูปแบบการสกินชิพมันก็แตกต่างกันไปแล้วแต่บุคคลนะ สำหรับลูน่าก็คงเป็นการจับมือ สำหรับเชียก็เป็นลูบหัวอะไรประมาณนั้น แต่กลับกันฉันไม่เคยจับมือกับเชียเลยนะ เพราะงั้นแหละไม่ต้องน้อยใจไปหรอก”
“…..จะยอมรับก็ได้ค่ะ”
“ดีแล้วๆ”
ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่ลูน่ากลับทำปากมุบมิบโดยไม่ให้เขาสังเกตุเห็น
‘ไม่เห็นจะยุติธรรมเลยค่ะ’
มาร์คกิ้งที่เอเลน่าพูด ลูน่านั้นเข้าใจความหมายของมันดี
–เมื่อวาน พวกเขาก็กลับบ้านพร้อมกันและเธอคนนั้นก็พยายามควบคุมเขาด้วยวิธีการแบบนี้
สิ่งยืนยันคือเธอคนนั้นได้ชวนเบเรต์ไปที่ห้องของตัวเอง
ลูน่าเพียงแค่อยากให้เขาลูบหัวเพราะว่าอยากจะสนิทกับเขาให้มากขึ้นกว่านี้ แต่เขาก็หลีกเลี่ยงเธอได้สำเร็จ
‘แบบนี้มันขี้โกงที่สุดเลยค่ะ…. แค่ลูบหัวแค่นี้เองทำให้ฉันหน่อยไม่ได้รึยังไงกันคะ เธอคนนั้นมีฐานะที่สามารถเลือกผู้ชายคนไหนก็ได้ตามใจชอบ แต่ว่าฉันไม่นี่คะ’
ลูน่าตกอยู่ในภวังค์แห่งความสับสน ตกอยู่ในห้วงแห่งความอิจฉาที่ไม่อาจควบคุม
คราวนี้เธอยังสามารถทนมันได้อยู่…ทุกครั้งที่ดูที่คั่นหนังสือที่ได้รับมาเป็นของขวัญเธอก็เริ่มสงบใจลงได้
แต่ทว่าสักวันหนึ่ง… ความรู้สึกนี้มันอาจเอ่อล้นจนไม่อาจยับยั้งก็เป็นได้—