[WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? - ตอนที่ 33 เอเลน่าและเหตุผลของเธอ
- Home
- [WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?
- ตอนที่ 33 เอเลน่าและเหตุผลของเธอ
เมื่อแยกกับเชียแล้ว ผมก็นั่งเหงาอยู่ในห้องเรียนอย่างเหม่อลอยเช่นเคย
“นี่ๆ”
“เหวออ! ”
ผมได้ยินเสียงเรียกพร้อมกับโดนจิ้มไหล่จึ๋งๆไปด้วย เมื่อหันไปก็เจอกับเอเลน่า
ผมแดงเพลิงยาวสลวยจนถึงช่วงเอว นัยน์ตาสีม่วง จมุกโด่งได้รูป ริมฝีปากอวบอิ่มอมสีแดงชมพู
เมื่อใบหน้าอันงดงามของเธอที่อยู่ๆก็โผล่มาประชิดผมอย่างกระทันหัน ใจผมแทบจะตกไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“อ๊ะ ขอโทษทีนะ ที่ทำให้ตกใจ”
“ไม่เป็นไร แล้ว มีอะไรงั้นเหรอ?”
“นั่นควรจะเป็นคำพูดของฉันต่างหาก นายทำอะไรกับเชียไปล่ะ?”
“อะไรที่ว่านี่มันอะไร…..?”
ต่างฝ่ายก็ต่างตอบคำถามด้วยคำถามกันไปมา
“ก็เมื่อเช้าตอนฉันเห็นเชียโดนผู้คนรุมล้อมเต็มไปหมดเลยน่ะสิ”
“เอ๊ะ!? อย่าบอกนะว่าพวกผู้ชายงั้นเหรอ!? ”
“สาวใช้เหมือนกับเธอต่างหากเล่า แถมคุยกันอย่างดี้ด้ามีความสุขกันใหญ่เลยด้วย”
“อะ อาา ถ้างั้นก็โล่งอกไปที”
พอรู้ว่าเรื่องนี้คงไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเอง ผมก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา
“ถ้าเชียเกิดถูกพวกผู้ชายล้อมขึ้นมาจริงๆ ฉันก็จะเข้าไปช่วยแน่นอนอยู่แล้วล่ะย่ะ…. แต่ในสายของนายฉันคงจะเป็นพวกที่ยอมปล่อยให้เพื่อนลำบากอย่างงั้นสินะ”
“มะ ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย”
เอเลน่าใช้สองมือยืนเท้าเอวบางๆของเธอและมองมาอย่างเคืองๆนิดๆ ผมโบกมือข้างหนึ่งปฏิเสธอย่างขอไปที
“งั้นแล้วทำไมนายถึงคิดว่าเป็นพวกผู้ชายล่ะ”
“จริงๆแล้วฉันให้ของขวัญกับเชียไปเมื่อวันก่อนน่ะ แต่ไม่คิดเลยว่าเธอจะใส่มันมาโรงเรียนด้วย….”
“อะไรกันเรื่องแค่นั้นเองไม่ใช่เหรอ? โรงเรียนก็ไม่ได้มีกฎห้ามใส่เครื่องประดับนี่ ดูสิขนาดฉันยังใส่โช้คเกอร์นี่มาเลย?”
เอเลน่าวางมือเรียวยาวของเธอลงบนโช้คเกอร์ที่คออย่างแผ่วเบา คิดไปเองรึเปล่านะ ทุกอิริยาบถของเธอมันดูดีมีระดับมากเลย
“เรื่องนั้นฉันก็รู้อยู่หรอก แต่ว่า..ของขวัญที่ฉันให้เชียคือกิ๊บติดผมกับสร้อยคอนี่นา เธอเข้าใจสิ่งที่ฉันพยายามจะสื่อใช่มั้ย?”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลย”
เห้ออ ไม่เข้าใจซะงั้น
“อืมม ก็สมมติอย่างตอนก้มตัวถ้าใส่สร้อยมันก็จะห้อยต่องแต่งมาขวางหน้าไม่ใช่เหรอ? ยิ่งถ้าเป็นตอนเรียนก็คงจะเกะกะไม่มากก็น้อยแหละ บางทีอาจจะโดนมองด้วยสายตาแปลกๆด้วยก็ได้นะ”
“มันก็จริงที่เอาไว้นอกเสื้อมันก็จะเกะกะแน่ๆแต่แค่เอาใส่เข้าไปในปกเสื้อก็หมดปัญหาแล้วนี่ แล้วอีกอย่างเรื่องเล็กน้อยแค่นี้จะไปโดนมองด้วยสายตาแปลกๆได้ยังไง”
“นะ…นั่นมันก็จริง…”
ผมรู้สึกโล่งใจขึ้นมาเมื่อได้ยินเอเลน่าพูดแบบนั้น
“เดิมที่แล้วคนที่ผิดมันก็นายนั่นแหละ ให้ของขวัญทั้งๆที่ไม่รู้ว่าเชียเป็นคนแบบไหยเนี่ยนะ แน่นอนว่าถ้าเธอได้ของขวัญจากเจ้านายสุดที่รักก็คงจะใส่มันทั้งวันทั้งคืนเลยล่ะ”
“ไม่ใช่สัก— อะ…เอ่อ…อื้อ”
ในขณะที่กำลังจะปฏิเสธก็รีบกลืนลิ้นตัวเองกลับมา พอคิดดูดีๆแล้วผมก็ผิดเต็มๆจริงๆนั่นแหละ
“ด้วยเหตุนั้นเอง เชียก็เลยเอาเรื่องที่นายให้ของขวัญพร้อมกับหลักฐานไปอวดชาวบ้านเค้าไปทั่วเฉยๆ ไม่ใช่ว่าเธอโดนล้อหรือโดนรังแกอะไรแบบนั้นหรอก”
“อะ อะฮ่าๆๆ ถ้าเป็นงั้นก็ดีแล้วล่ะ”
ถึงจะรู้สึกจั๊กจี้หัวใจนิดหน่อยที่รู้ว่าเชียเอาเรื่องของผมไปพูด แต่ขอแค่เชียมีความสุขก็ดีแล้วล่ะ
“ชื่อเสียงของนายก็เริ่มดีขึ้นเรื่อยๆเลยด้วยนะ โดยเฉพาะคลาสเรียนของเมด นายค่อนข้างจะเป็นคนดังเลยล่ะ”
“คะ คนดัง?! มะ ไม่หรอกมั้งฉันไม่ได้ทำอะไรเลยนะ? ”
ผมจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยทำเรื่องอะไรที่สุดยอดถึงขั้นที่จะกลายเป็นคนดังไปได้ หรือว่ามีคนในปล่อยข่าวลือ?
“ก็มีอยู่คนเดียวไม่ใช่รึไง คนที่จะเอาเรื่องของนายไปโฆษณาไปทั่วน่ะ”
“เชียงั้นเหรอ? จะ..จะว่าไปเชียก็อยู่คลาสเรียนของเมดนี่นา…….”
ความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว…
ไม่ผิดแน่ๆ! คนร้ายก็คือ….เชียจังนั่นเอง
“ถูกต้อง เพราะนายมีชื่อเสียงไม่ดีเป็นทุนเดิมอยู่แล้วพอมีเรื่องอะไรที่หักล้างกันแบบนั้นก็ย่อมเป็นที่สนใจอยู่แล้วไม่ใช่รึไง? ยิ่งเด็กคนนั้นเป็นคนพูดเองเลยด้วยยิ่งแล้วใหญ่ เห็นว่าพอพูดถึงเรื่องนายก็มีบรรดาสาวเมดมาล้อมวงฟัง 10 กว่าคนเลย”
“อะ อะไรล่ะนั่น….ฉันว่าที่เธอได้ยินมานั่นมันโอเวอร์เกินไปหน่อยรึเปล่า……”
ใบหน้าผมกระตุกเกร็งขึ้นมาทันที
แค่จินตนาการว่าเชียเอาเรื่องของผมไปพูดด้วยท่าทีแบบไหนก็แทบอยากจะมุดแผ่นดินหนีอยู่แล้ว
“เธอก็แค่ภูมิใจในตัวเจ้านายเอง ไม่เห็นจะเป็นอะไรเลยนี่นา…”
“มะ มันมองในมุมแบบนั้นได้ก็จริง แต่ว่า…..”
ผมเกาหัวแกรกๆ เพื่อซ่อนความเขินอาย
‘งั้นก็สั่งให้เธอหยุดทำแบบนั้นก็ได้ไม่ใช่รึไง?’ ก็จริงที่มีบางคนอาจจะคิดแบบนั้น แต่ว่าเชียก็ไม่ได้ทำเรื่องไม่ดีนี่นา
‘หยุดเอาเรื่องของฉันไปป่าวประกาศไปทั่วได้แล้ว! ’ ถ้าพูดไปแบบนั้นจริงๆ ผมจินตนาการถึงใบหน้าที่เศร้าหมองของเชียได้ไม่ยากเลย
เมื่อรู้แบบนั้นแล้ว ผมก็เลยเลือกที่จะปล่อยมันไว้แบบนี้แหละดีแล้วนั้น
“ตรงจุดที่ขี้อายหน่อยๆนั่นของนาย ถึงแค่จะนิดหน่อย…..แต่ก็มีมุมน่ารักแบบนี้เหมือนกันสินะ ”
“โฮ่ย? ”
“อ่าร๊า อุฟุฟุ~ โกรธแล้วเหรอจ๊ะ? สมนํ้าหน้าใครใช้ให้นายชอบแกล้งฉันบ่อยๆกันล่ะ”
เอาจนได้นะยัยนี่…
เอเลน่ายิ้มกรุ้มกริ่มอย่างอารมณ์ดีและจิ้มแก้มผมจึ๋งๆไม่หยุด ผมเองก็ไม่ได้ต่อต้านอะไร ทำได้เพียงเหล่มองเธออย่างไม่สบอารมณ์
“อ๊ะ…..จะไม่แกล้งนายแล้วก็ได้ แต่ว่ามีเรื่องหนึ่งที่ฉันสงสัยน่ะ ช่วยตอบฉันหน่อยได้มั้ย?”
“ครับๆ”
ในขณะที่ผมสงสัยว่าเอเลน่าจะจิ้มแก้มผมไปอีกนานแค่ไหนเธอก็เอ่ยขึ้นมาว่าอย่างนั้น
“เมื่อวันก่อนนายให้ของขวัญกับเชียใช่ไหม?”
“อ่า”
“ —พอพูดถึงเมื่อวันก่อนแล้ว นั่นมันวันที่นายไปเดทกับคุณหนูลูน่าไม่ใช่รึไง? แต่นายก็ซื้อของขวัญกลับมาให้ผู้หญิงคนอื่นด้วยเนี่ยนะ?”
“นั่นมันเป็นคำแนะของลูน่าด้วยนะ แน่นอนว่าถ้าไม่ได้คำแนะนำจากเธอฉันก็เลือกไม่ได้หรอกว่าจะซื้ออะไร”
เป็นผมเองแหละที่ยกประเด็นเรื่องของเชียขึ้นมาพูด แต่ลูน่าก็ช่วยให้คำปรึกษาเป็นอย่างดีแถมยังแนะนำให้ซื้อของขวัญให้เชียด้วย นั่นช่วยผมได้มากเลยล่ะ
“หืมม…. ใจดีจังเลยเนอะ คุณหนูลูน่าน่ะ ถ้าเป็นฉันล่ะก็…แค่พูดถึงผู้หญิงคนอื่นระหว่างที่กำลังเดทกันอยู่ฉันคงจะซัดเข้าให้สักป้าบบแน่นอน”
“ฮ่าๆๆ ก็ดูสมกับเป็นเอเลน่าดีนะแบบนั้น”
“น่ะ..หนวกหูน่า… ก็ใช่ซี้ฉันมันเป็นพวกใจแคบนี่”
“ฉันไม่ได้หมายความแบบนั้น”
แทนที่จะบอกว่าเธอเป็นคนจำพวกใจแคบ เธอน่าจะเป็นพวกชอบทำอะไรร้ายๆเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของแบบสุดโต่งมากกว่า
แต่ถ้ามองในมุมมองของแฟนหนุ่มล่ะก็มันก็น่าจะรู้สึกดีใช่เล่นเลยล่ะมั้ง
แต่ก็นะ มันก็มีแค่แฟนของเธอเท่านั้นล่ะนะที่จะได้เห็นมุมมองแบบนั้นได้
“อุ๊บบ อุฮ่าๆๆๆ”
“หัวเราะอะไรกันยะ! นี่กำลังคิดอะไรแปลกๆอยู่ใช่มั้ยบอกมาเดี๋ยวนี้เลยนะ!”
“โทษทีๆ ฉันแค่กำลังจินตนาการว่าเอเลน่าทำอะไรที่ใจร้ายๆอยู่น่ะ ”
“…..หืมม–ม อะไรที่ใจร้ายๆงั้นเหรอ งั้นฉันจะแสดงอะไรให้ดูสักอย่างนึงก็แล้วกัน”
“เอ๊ะ?”
ทันใดนั้น บรรยากาศที่ดูสบายๆก็พลันเปลี่ยนไป
นํ้าเสียงของเอเลน่าไม่เหมือนเดิม แม้แต่สีหน้าก็กลายเป็นจริงจัง
เมื่อผมกำลังคิดว่านี่เธอจะทำอะไรกันแน่ เธอก็ดึงจดหมายออกมาหนึ่งฉบับจากในกระเป๋าของเธอ
“อ่ะนี่ ตามคำเรียกร้อง ฉันจะทำอะไรที่มันร้ายกาจจนนายไม่สามารถไปคิดถึงคนอื่นได้เลยล่ะ ”
เธอหยิบมันออกมาอย่างคล่องแคล่วและยื่นมันให้กับเขา บางทีนี่อาจจะเป็นหัวข้อหลักของเอเลน่าอยู่แล้ว
สิ่งนั้นโผล่พ้นเข้ามาในสายตา
จดหมายที่ปิดผนึกอย่างแน่นหนา ประทับด้วยครั่งรูปตราสัญลักษณ์ของตระกูลเลคเลอร์
เป็นจดหมายคำเชิญไปยังคฤหาสน์ของตระกูลเลคเลอร์
ผู้ส่งคือท่านเคานต์อิลเชสตัส ท่านพ่อของลูน่า
จดหมายจ่าหน้าซองถึง…ตัวผมเอง
“เอ๊ะ อะไรกันเนี่ยย! …..ทำไมล่ะ?”
“การตอบสนองแบบนั้นแหละที่ฉันอยากเห็น”
“……”
ถึงจะเป็นแค่จดหมาย แต่ผมสัมผัสอะไรไม่ได้เลยนอกจากความกลัวในตอนนี้ แค่ได้อ่านชื่อของผู้ส่งแรงกดดันมหาศาลก็ถาโถมเข้ามาในใจ
—เมื่อไม่นานมานี้ ขณะเดียวกันกับช่วงเวลาที่เบเรต์กับลูน่ากำลังกินมื้อเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย
‘ คุณเปลี่ยนไปมากจริงๆสินะคะ เรื่องอย่างที่ลูกชายของมาร์ควิสจะชอบทำอาหาร ฉันไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยจริงๆค่ะ พูดแบบนี้อาจจะฟังดูไม่ดีเท่าไหร่ แต่ว่าการทำอาหารมันถือเป็นงานสำหรับคนที่มีฐานะทางสังคมค่อนข้างตํ่า ถ้าหากเป็นคนที่มีฐานะรํ่ารวยอาจจะไม่ชอบหรือไม่ก็ถึงขั้นเกลียดไปเลยก็ได้ ’
‘ ฉันไม่ได้คิดว่าการทำอาหารจะเป็นงานของคนที่มีฐานะทางสังคมตํ่าหรอก มันเป็นงานที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะ เป็นงานที่สามารถยืดอกภูมิใจได้อย่างเปิดเผยเลยล่ะ ’
‘ เอ่อ ทำไมคุณถึงทำอาหารล่ะคะ ’
‘ ถ้าหากฉันมีทักษะการทำอาหารติดตัวอยู่บ้าง ในบางโอกาสก็อาจจะช่วยเหลือคนรับใช้ของตัวเองได้ใช่มั้ยล่ะ อย่างเช่นตอนกำลังไม่สบายอะไรทำนองนั้นล่ะมั้ง? ก็นะหรือก็คือมีทักษะลับติดตัวไว้ก็ไม่เสียหาย! ’
‘ ถ้าเป็นในกรณีนั้น ฉันคิดว่าน่าจะเป็นการเลิกจ้างคนรับใช้คนนั้นแทนนะคะ ถ้าหากทำให้เจ้านายเดือดร้อนโดยปกติแล้วก็เป็นเช่นนั้น ’
‘ แต่มันก็ไม่มีใครเกิดมาสมบูรณ์แบบนี่นา แม้แต่ฉันเองก็อดไม่ได้ที่จะก่อปัญหาในบางครั้งเลยทั้งที่ไม่ได้ตั้งใจด้วยซํ้า เพราะงั้นแหละ ไม่ว่าจะดูแลร่างกายตัวเองดีแค่ไหนมันก็ต้องมีสักครั้งแหละที่พลาดขึ้นมา ’ //TN: Copy&paste time! ╮ (¯▽¯) ╭
นี่คือบทสนทนาที่เกิดขึ้น ณ ร้านเอฟีลซึ่งเป็นร้านของคุณพ่อของเอเลน่า
“อะ เอ่อ…คือว่า พ่อของเอเลน่าเนี่ยรู้ด้วยเหรอว่าหน้าตาฉันเป็นยังไง….?”
“แน่นอนอยู่แล้วสิ อย่างน้อยๆก็จำใบหน้าและชื่อของขุนนางชื่อดังได้แทบทั้งหมดล่ะนะ”
เขาจำฉันได้
“ขอถามต่ออีกหน่อย คือว่าเมื่อสองวันก่อนนี่เธอก็อยู่ที่ร้านเอฟีลเหรอ? หรือว่าไม่ใช่นะ….”
“สองวันก่อนเหรอ…..นั่นสินะ วันนั้นเป็นวันที่ฉันจะไปคุยธุระกับอลันตั้งใจว่าจะไปหลังร้านปิดน่ะ แต่พอรู้ว่าเขาก็มีงานที่เอฟีลเหมือนกันฉันก็เลยไปอยู่เป็นเพื่อเขา ”
“งะ งั้นเหรอ….”
ท่านเคานต์อิลเชสตัสเองก็อยู่ที่ร้านนั้นด้วย
“ขอบอกไว้ก่อน จดหมายนั่นมันเป็นการเชิญอย่างเป็นทางการถึงขนาดมีตราประทับของตระกูลด้วย ที่พูดนี่ไม่ได้มีความหมายในทางไม่ดีๆหรอก เพราะงั้นอย่าปฏิเสธเลยจะดีกว่านะ ”
“นะ นั่นสินะ…. เรื่องนี้มันคงถูกกำหนดไว้แล้วสินะ”
“ฟุฟุ~ เป็นนายที่ไม่ดีเองจะมาโทษฉันไม่ได้น้า? ก็ใครใช้ให้นายไปทำตัวสะดุดตาท่านพ่อแบบนั้นกันล่ะ” //TN: ก็ทั้งพี่ทั้งน้องอย่างหล่อนเองไม่ใช่เรอะตัวการน่ะ!!
“……ฉันไม่ได้หวังให้มันเป็นแบบนี้สักหน่อย เห้อ..ให้ตายสิ”
เอเลน่าพึงพอใจเป็นอย่างมากกับการตอบสนองของเบเรต์ในตอนนี้
“เอาเถอะพยายามเข้าแล้วกันนะ …….ถ้าเป็นนายได้จริงๆ ฉันจะดีใจมากๆเลยล่ะ”
“พูดให้ถูกคือฉันทำอะไรไม่ได้แล้วนอกจากพยายามให้ดีที่สุดต่างหาก ว่าแต่….”
หลังจากคำพูดให้กำลังใจของเอเลน่าท่อนหลังๆมันดูจะเป็นการพึมพำซะมากกว่า มันเบาจนผมแทบไม่ได้ยินเลยต้องเอ่ยถามกับเธออีกครั้ง
“เอ๊ะ? ดีใจที่ว่านี่ เธอหมายความว่าไง?”
เมื่อละสายตาจากจดหมาย เอเลน่าก็ไม่อยู่ตรงนั้นอีกแล้ว…