[WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? - ตอนที่ 22 หลังจากที่เธอคนนั้นจากไป
- Home
- [WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?
- ตอนที่ 22 หลังจากที่เธอคนนั้นจากไป
“…เน่ เบเรต์”
“ว๊ากกก!? ตะ–ตกใจหมดเลย”
ทันทีที่ลูน่าเดินจากไป จู่ๆผมก็ถูกดึงชายเสื้อค่อนข้างแรงจากด้านหลังอย่างไม่ทันตั้งตัว เมื่อหันกลับไปก็พบกับเอเลน่าที่ทำสีหน้าน่ากลัวแปลกๆ ทำท่าทางเหมือนอยากจะพูดอะไรบางอย่าง
“นี่..ทำไมถึงได้ตกใจขนาดนั้นล่ะ…ไม่เห็นเขาใจเลย”
“ไม่ๆ ก็เล่นมาข้างหลังเงียบๆแบบนี้เป็นใครก็ตกใจกันทั้งนั้นแหละ”
“เหรอ ฉันว่านายหลงสเน่ห์คุณหนูลูน่าเข้าแล้วมากกว่ามั้ง เห็นจ้องเธอไม่หยุดเลยนี่ ก็นั่นน่ะสิน้า คุณหนูลูน่าทั้งน่ารักแล้วก็สุภาพ เรียบร้อยด้วยนี่เนอะ! ”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย…”
“หืมมม อ๋อเหรอ…เรื่องนั้นจะยังไงก็ช่าง”
หลังจากที่ผมหันหน้าเข้าหาเธอ เอเลน่าก็ปล่อยชายเสื้อของผมและจ้องมาที่ผมแทน
“…เธอเองก็รู้เรื่องของนายด้วยเหมือนกันสินะ ทั้งที่ฉันคิดว่าคนที่รู้มีแค่ฉันกับเชียสองคนแท้ๆ…”
“หืม? ที่ว่ารู้นี่หมายถึงเรื่องอะไร?”
“นั่นน่ะ ถ้าพยายามแกล้งถามทั้งๆที่รู้อยู่แล้วฉันจะโกรธจริงๆแล้วนะ”
“ก็เพราะว่าไม่รู้ถึงได้ถามอยู่นี่ไง…”
“โม่วว.…..”
เธอคงรับรู้ได้แล้วว่าผมไม่รู้เรื่องจริงๆ เอเลน่าจึงถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์เล็กน้อย และก็เริ่มบอกผมขณะที่บิดตัวไปมาเหมือนไม่ค่อยสบายตัว
“จะ…จะว่ายังไงดี…ก็เรื่องทะ -ที่นายเป็นคนดี?…..อะไรประมาณนั้น…ล่ะมั้ง… ”
“เป็น‘คนดี’ งั้นเหรอ อะฮ่าๆๆ ..แต่ฉันก็ไม่รู้ว่าลูน่าเธอคิดแบบนั้นจริงๆรึเปล่าหรอกนะ แต่ว่าสำหรับฉันแล้วเราเหมือนเพื่อนอ่านหนังสือกันมากกว่าอะนะ”
“หืมมม งั้นหรอกเหรอ แต่ตอนที่คุยกันนี่ดูท่าทางสนุกน่าดูเลยนะ ”
“ถ้าเกิดฉันเข้าไปคุยกับใครแล้วเขาทำท่าทางไม่สนุกด้วย ฉันก็ไม่พยายามฝืนเข้าไปยุ่งด้วยหรอกนะ แต่ว่าลูน่าไม่ใช่แบบนั้น แล้วเมื่อกี้เธอก็แค่มีธุระกับฉันนิดหน่อยก็เท่านั้นเอง”
ผมก็แค่บอกไปตามที่ผมคิด แต่เอเลน่ากลับปรากฎเครื่องหมายคำถามตัวโตๆอยู่บนหน้า
“หาา–? แต่จากเท่าที่ฉันเห็นเหมือนว่าเธอจะดูมีความสุขมากเลยนะที่ได้คุยกับนายน่ะ”
“ไม่ไม่ ไม่ใช่แล้วมั้ง จะเป็นไปได้ไง ไม่ใช่ว่าเอเลน่าตาฝาดไปเองหรอกเหรอ?”
“ไม่มีทาง ภาพที่ฉันเห็นเมื่อกี้ไม่มีทางมองผิดไปแน่ๆ! นี่หรือว่านายจะบอกว่าสายตาของฉันมันเน่าจนมองเรื่องแบบนี้ไม่ออกรึไง?”
“ไม่ใช่แบบนั้นสักหน่อย! ”
ใครมันจะไปกล้าพูดเรื่องแบบนั้นกับลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของท่านเอิร์ลกัน
ผมไม่ได้คิดแบบนั้นจริงๆเลยโบกมือปฏิเสธไปยกใหญ่
“ไม่สิ แต่นั่นมันคุณหนูลูน่าคนนั้นเลยนะ?”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ความจริงแล้วนายเองก็รู้ตัวใช่มั้ยว่าเธอกำลังคุยกับนายโดยที่มีความรู้สึกแบบไหนอยู่? …และแน่นอน ฉันหมายถึงลูน่าคนนั้นนั่นแหละ”
“ฉันจะไปรู้ได้ยังไงเรื่องแบบนั้น”
เอเลน่าถามคำถามที่คลุมเครือด้วยสีหน้าเรียบเฉย เมื่อผมปฏิเสธไปเธอเองก็ดูสับสนเช่นกัน
พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้ตั้งใจจะพูดจาหาเรื่องกันด้วยเรื่องแบบนี้
“เอ่อ แล้วเธอรู้ได้ยังไงว่าลูน่าเขาดูมีความสุขที่ได้คุยกับฉันน่ะ?”
“ก็เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ฉันเห็นเธอทำท่าทางแบบนั้นไงล่ะ คุณลูน่าเคยคุยกับฉันเมื่อนานมาแล้ว และคุณลูน่าที่ฉันรู้จักถ้าจะคุยธุระจริงๆ เธอก็จะรีบๆคุยให้จบแล้วก็รีบไป ไม่มีทางคุยเรื่องสัพเพเหระกับคนอื่นแบบนี้แน่ๆ”
“ปะ..เป็นงั้นหรอกเหรอ?”
—ผมรู้สึกตกใจกับสิ่งนี้
ผมนึกถึงสิ่งที่คุยกับลูน่าเมื่อกี้ขึ้นมา
‘ที่ฉันมาวันนี้เพราะมีธุระกับคุณน่ะค่ะ’
‘โอ๊ะ อะไรเหรอๆ?’
‘ขอโทษนะคะ ก่อนอื่นเลยขอถามอะไรสักเรื่องได้มั้ยคะ พอดีมันเป็นเรื่องที่กวนใจฉันอยู่น่ะค่ะ’
ลูน่าเองก็พูดอย่างที่เอเลน่าว่าไว้จริงๆ
“แล้วยังมีอีกเรื่อง คือเธออุส่าห์เดินมาหานายถึงห้องเรียนนี่ —และยิ่งไปกว่านั้นคือเธอก็ตอบรับคำชวนของนายอีก”
“อา..แต่ว่านะ ถ้าคิดดูดีๆมันก็เหมือนเป็นการบังคับเธอเลยไม่ใช่เหรอ..”
“บังคับ? ด้วยบุคลิกของนายตอนนี้ ฉันเห็นว่าดูไม่เหมือนจะเป็นอย่างนั้นได้เลยนะ?”
“มันเป็นเรื่องของฐานะทางครอบครัวมากกว่ารึเปล่า? ลูน่าอาจจะปฏิเสธทุกคนก็จริง แต่ถ้าเป็นคำชวนของฉันเธออาจจะไม่กล้าปฏิเสธก็ได้นะ? ถึงจะเห็นฉันเป็นอย่างนี้แต่ก็เป็นถึงลูกชายของมาร์ควิสเลยนะ ”
ลำดับฐานะของผมค่อนข้างจะต่างจากลูน่าเป็นอย่างมาก เพราะลูน่าเป็นขุนนางแค่ขั้นบารอน
“ก็นะ..คงจะปฏิเสธได้ยากก็จริง แต่เธอก็ไม่ใช่ผู้หญิงอ่อนแอขนาดที่จะปฏิเสธคำชวนของนายไม่ได้นี่?”
“ฉันมีข้อโต้แย้งอีกอย่างหนึ่ง คือฉันติดหนี้บุญคุณเธออยู่ แล้วที่ฉันชวนเธอก็เพราะสาเหตุนั้นแหละ ฉันว่าที่เธอตอบรับคำเชิญของฉันคงเพราะไม่อยากทำให้ฉันเสียหน้ามากกว่า ”
“ถ้าด้วยเหตุผลนั้นมันก็พอเป็นไปได้ ถ้านายพูดถึงขนาดนั้นฉันก็คงเถียงอะไรไม่ได้แล้วสินะ”
“ใช่มั้ยล่ะ? ถึงจะน่าขายหน้าแต่ฉันก็ได้เธอช่วยไว้จริงๆ”
มันมีเหตุผลอยู่ที่ว่าทำไมผมถึงสามารถหาเหตุผลมาโต้แย้งกับเอเลน่าได้ขนาดนี้
เมื่อตอนนั้น —หลังจากที่ให้คำปรึกษากับอลันแล้ว
‘ –ฉันเคารพคุณในฐานะมนุษย์คนนึงจริงๆค่ะ’ ด้วยคำพูดนี้ผมคิดว่าลูน่าไม่มีทางตอบรับคำชวนของผมด้วยจุดประสงค์อื่นแน่
“ยังไงก็เถอะ แต่ฉันก็ยังคิดว่าเธอกำลังสนใจนายอยู่อย่างแน่นอน”
“เหตุผลล่ะ?”
“ลางสังหรณ์ของผู้หญิงน่ะ ก็ตอนที่นายคุยกับเธออยู่ เธอก็จ้องเขม็งมาทางฉันอย่างไม่วางตาเลย ”
“เอ๋?”
“พะ –พวกนายไม่ได้กำลังพูดอะไรถึงฉันอยู่หรอกเหรอ? ก็จากที่ฉันเห็นเธอจ้องมาที่ฉันจริงๆนี่นา”
เอเลน่าม้วนปอยผมเล่น ผมคิดว่ามันคงเป็นนิสัยเธอสินะเวลาคุยกันบางทีเธอก็ชอบทำแบบนั้น
“อ๋าา จะว่าไปแล้วเธอก็ถามฉันนะว่า ‘ใกล้กันจังเลยนะ’ แล้วฉันก็ตอบไปว่า ‘ก็เพราะเป็นเพื่อนที่ดีที่สุด’ แบบนี้น่ะ”
“….อะ ทะ..ที่สุด ดีที่สุด….? ฉันเหรอ?”
“อือ”
“………..”
“เอ๊ะ?”
พอพูดไปแบบนั้นเอเลน่าก็ตัวแข็งทื่อด้วยเหตุผลบางอย่าง
ผมไม่รู้ว่าเอเลน่าคิดอะไรอยู่ เธอเอามือทั้งสองข้างขึ้นมานาบแก้มและถูไปถูมา แล้วจู่ๆก็ทำท่าเหมือนดึงสติกลับมาได้
เธอค่อนข้างจะสนิทกับเชีย ไม่น่าแปลกที่จะซึมซับพฤติกรรมแปลกๆมาจากเชียด้วย
“ยะ..อย่าเข้าใจผิดไปนะยะ! บอกไว้ก่อนเลยถึงจะพูดแบบนั้นฉันก็ไม่ได้ดีใจเลยสักนิดเดียว! ฮื๊มม! ”
“ร-เรื่องนั้นก็ขอโทษด้วยแล้วกัน”
จริงอย่างที่เอเลน่าบอก คือผมไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก
นอกจากเมดส่วนตัวอย่างเชียแล้วก็มีอีกแค่สองคนก็คือ เอเลน่ากับลูน่า
“ตะ..แต่ว่า อืมม จะไม่ซักไซ้เรื่องนั้นต่อแล้วก็ได้ นายคงคิดว่าฉันทำตัวงี่เง่ามากใช่ไหม? เอ่อ..จะว่าไงดี ถึงพูดไปเพราะหวังดีในฐานะเพื่อน(?)แค่ไหน แต่ถ้ามาพูดจู้จี้กันแบบนี้มันก็ทำให้นายรู้สึกแย่ใช่ไหมล่ะ”
“ฮะๆๆ ถ้าเอเลน่าคิดแบบนั้นจริงฉันก็ดีใจนะ แต่ว่าลูน่าไม่ใช่คนแบบนั้นหรอก ที่ลูน่าจ้องเธอมันก็คงเหมือนลางสังหรณ์ของผู้หญิงอย่างที่เอเลน่าทำแหละมั้ง ไม่ใช่เหรอ?”
“ม มันก็ใช่แหละ…..”
พอลองนึกถึงแววตาที่ดูง่วงนอนที่เธอใช้มองผม ผมก็นึกภาพไม่ออกเลยว่าเธอจะรู้สึกแนวๆนั้นกับผม
นอกจากนั้น พอนึกถึงนิสัยที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของลูน่าก็ยิ่งคิดว่าเป็นไปไม่ได้ใหญ่
เมื่อคิดได้ดังนั้นผมเลยตอบกลับเอเลน่าไป
“แล้วอีกอย่าง เธอเป็นถึงลูน่าคนนั้นเลยนะ? เธอคงจะอยากใช้เวลาว่างไปกับการนั่งอ่านหนังสือมากกว่าจะมานั่งสนใจเรื่องรักๆใคร่ๆมั้ง”
“ม มันก็ใช่อยู่หรอก แต่ว่า….”
“ —ไม่มีแต่หรอก มันต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ”
เมื่อผมพูดอย่างนั้นบทสนทนาของเราก็สิ้นสุดลงแต่เพียงเท่านี้
—แต่ว่ามันจะเป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆรึเปล่านะ
*******
ในการพบกันครั้งแรกลูน่าได้บอกกับเขาว่า
‘หนังสือที่ฉันแนะนำได้อย่างมั่นใจคือหนังสือแนวปรัชญากับนิยายรักแนวโรแมนติก’
มีหนังสือมากมายในห้องสมุดแต่เธอก็เลือกอ่านแค่สองแนวนี้
ถ้าถึงขั้นที่เธอสามารถแนะนำได้อย่างมั่นใจ แสดงว่าเธอเองก็ต้องอ่านแนวนั้นไปเยอะพอสมควร
ถ้าเขานึกถึงคำพูดในตอนนั้นของลูน่าออก เขาก็คงจะคิดต่างไปจากตอนนี้อย่างแน่นอน