[WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? - ตอนที่ 17 การหลบหนีของลูน่า
- Home
- [WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?
- ตอนที่ 17 การหลบหนีของลูน่า
“นี่ลูน่า ช่วยหันหลังไปสักเดี๋ยวได้ไหม”
ผมพยายามพูดชักจูงให้เธอเผยหนังสือที่ซ่อนอยู่ข้างหลังออกมา แต่ก็ไม่ได้ผลมากนัก
“จู่ๆก็พูดอะไรกันคะ หรือว่าจะพยายามจู่โจมฉันจากข้างหลังงั้นเหรอคะ”
“เปล่านะ ฉันไม่ทำแบบนั้นหรอกน่า”
“น่าสงสัยจังเลยนะคะ ขอปฏิเสธค่ะ”
เธอพูดด้วยสีหน้าจนตรอกเล็กน้อย อย่างที่คิด ตอนนี้เธอกำลังเป็นฝ่ายรับส่วนผมเป็นฝ่ายรุกสินะ?
เมื่อผมเข้าใจดังนั้น มันก็ไม่ยากแล้ว ก็แค่บอกใจจริงของผมออกไปก็จบ
“ขอโทษที ฉันจะบอกตามตรงนะ จริงๆแล้วคือฉันอยากจะดูหนังสือที่เธอซ่อนเอาไว้ข้างหลังหน่อยน่ะ”
“….”
ไม่มีเสียงตอบรับจากเลขหมายของลูน่า ซึ่งถือว่าผิดปกติมาก ผมเล็งเห็นจังหวะนั้นและยิ่งบุกทะลวงยิ่งขึ้นไปอีก!
“สังเกตุเห็นตั้งแต่เมื่อไหร่กันคะ ฉันว่าฉันก็ซ่อนมันไว้ดีแล้วนะ”
อาเร๊ะ ยอมง่ายกว่าที่คิดนะเนี่ย
“เมื่อกี้นี้เอง ตอนที่เธอหันไปทางโน้นอยู่แว๊บนึงไง”
“…งั้นเหรอคะ”
ลูน่ามองมาด้วยดวงตาที่ดูง่วงนอนและตอบอย่างไม่เต็มใจเท่าไหร่นัก
เธอนำหนังสือที่แอบไว้ด้านหลังออกมา
(ยะ อย่างที่คิด ใช่จริงด้วย…)
ผมไม่ได้มองผิดไป
เธอกำลังถือหนังสือการบริหารธุรกิจอยู่จริงๆแถมยังมีกระดาษโน้ตมากมายอยู่ในนั้นด้วย
“นี่สำหรับเขางั้นเหรอ?”
“ขอโทษค่ะ แต่ฉันบอกคุณไม่ได้หรอกค่ะ ไม่งั้นมันจะทำให้ฉันดูน่าสมเพช”
“…..”
พูดแบบนั้นมันก็เหมือนกับการบอกว่า ‘ใช่แล้วล่ะ ฉันเอามาให้เขาเอง’ แต่เมื่อดูจากรูปการณ์แล้วการหนีแบบนี้มันน่าจะยากกว่านา ลูน่าคุง
ผมเริ่มคลายข้อสงสัยได้บ้างแล้ว แต่ดูเหมือนว่าเธอจะไม่ยอมปริปากพูดอะไรเลย
“ลูน่า ฉันขอดูหนังสือนั่นหน่อยได้ไหม?”
“เนื้อหามันค่อนข้างยากนะคะ นี่น่ะ..”
“ไม่เป็นไรๆ อะ โน้ตนั่นก็เอาไว้อย่างเดิมนะ”
“…..มันไม่ได้มีอะไรน่าสนใจหรอกนะคะ”
“แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้นหรอกนะ”
ก่อนที่เธอจะยื่นหนังสือให้ผม ผมห้ามไม่ให้เธอดึงโน้ตที่แปะตามหนังสือออก
สิ่งที่ผมอยากเห็นจริงๆก็คือเจ้ากระดาษโน้ตพวกนี้นี่แหละ
เมื่อผมเปิดดูก็รู้ได้ในทันทีว่าโน้ตนั้นมีบทบาทแบบไหน
—ข้อแรก หนึ่งในทักษะที่จำเป็นสำหรับผู้เริ่มต้นทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มีวิสัยทัศน์กว้างไกลและแนวคิดการบริหารที่ชัดเจน
นี่คือสิ่งที่เขียนไว้ในหนังสือการบริหารธุรกิจ
และในกระดาษโน้ตที่มีลายมือบรรจงสวยงามก็คือความคิดเห็นของเธอ
‘หากคุณมีวิสัยทัศน์หรือแนวคิดการบริหารอยู่ในใจแต่คุณไม่มั่นใจกับแนวคิดนั้น คุณควรขอคำแนะนำจากคนที่คุณไว้ใจได้และนำแนวทางมาปฏิบัติเพื่อที่จะสามารถก้าวไปข้างหน้าได้ ’
—ข้อสอง ทักษะที่ขาดไปไม่ได้เลยสำหรับผู้บริหารธุรกิจ คือการมองการณ์ไกล
‘อนึ่ง การมองการไกลแม้ว่าคุณจะสามารถวิเคราะห์ได้อย่างแม่นยำ แต่ก็ยากที่จะลงมือทำ ถ้าเป็นในกรณีนั้น การรับฟังความเห็นจากพนักงานก็อาจจะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะถ้าคุณยังกังวลอยู่คนเดียว มุมมองของคุณจะแคบลง’
—ข้อสาม ทักษะที่ขาดไปไม่ได้เลยลำดับต่อไป คือทักษะของมนุษย์สัมพันธ์ระดับสูง
‘ทักษะของมนุษย์สัมพันธ์ระดับสูง ถ้าเป็นคุณก็คงจะไม่มีปัญหาอะไร ที่จริงแล้ว การมาปรึกษาฉันก็เป็นหนึ่งในทักษะนี้เช่นกัน’
โน้ตข้อสามนั้นของลูน่า เป็นความคิดเห็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว บางทีอาจเป็นเพราะไม่อยากให้เขากดดันตัวเองมากเกินไป
“….”
ผมอ่านและพิจารณาหัวข้อทั้งหมดอย่างใจเย็นจนผมอ่านครบทั้งหมด 12 หัวข้อ และโน้ตทั้ง 12 ของลูน่า
จากนั้นผมก็ปิดหนังสือดังปุบ และลูน่าก็เรียกผม
“….ยังไงก็เถอะ คุณนี่เป็นคนที่กล้าหาญจังเลยนะคะ”
“กล้าหาญเหรอ?”
“ค่ะ คุณไม่เพียงแค่ให้คำแนะนำเขาเท่านั้น ยังบอกเขาถึงความจริงอันโหดร้ายของเรื่องนั้นด้วย ฉันคิดว่าสิ่งที่คุณพูดนั้นถูกต้องอย่างแน่นอน แต่ถ้าหากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา คุณก็คงถูกลากให้มารับผิดชอบด้วยแน่ๆ ถึงคุณจะมีฐานะเป็นถึงมาร์ควิสแต่ก็ไม่สามารถเมินเฉยได้หรอกนะคะ ”
“เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ เด็กคนนั้นเป็นลูกคนใหญ่คนโตขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“พูดอะไรบื้อๆแบบนั้นกันคะ? ครอบครัวของเอิร์ลก็ต้องมีอำนาจมากแน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่รึไงคะ? ยิ่งเป็นตระกูลของเขาที่เป็นถึงสุดยอดท่านเอิร์ลในหมู่เอิร์ลยิ่งแล้วใหญ่ เรื่องนั้นคุณก็น่าจะรู้อยู่แก่ใจอยู่แล้วนะ”
“……………..”
(ป ป ปะเป็นอย่างนั้นเองหรอกเรอะ! แถมยังเป็นสุดยอดท่านเอิร์ลอีก…ชิบบละ แล้วไปให้คำแนะนำแบบนั้นกับเขาไปแล้วด้วย!? โธ่โว้ยยย อย่างน้อยๆก็ช่วยจำหน้าและก็ชื่อพวกระดับสูงรอบตัวไว้หน่อยเถ้ออ ไอ้เบเรต์คุงงง….)
เป็นเรื่องน่าขอบคุณที่ความทรงจำของเบเรต์ทำให้ผมสามารถเอาตัวรอดในโลกใบนี้ได้เรื่อยมา แต่กลับกันการที่ขาดชิ้นส่วนสำคัญในบางเรื่องนั้นค่อนข้างจะเลวร้ายมากถึงมากที่สุด
“….อะ เอาเถอะ วาจาที่ลั่นไปแล้วไม่สามารถเก็บกลับคืนได้ ถ้าจะต้องรับผิดชอบจริงๆ เมื่อถึงเวลานั้นฉันก็จะยืดอกรับด้วยความเต็มใจ…”
“ถึงจะได้ยินที่ฉันบอกไปก็ไม่เสียใจทีหลังสินะคะ”
“ถ้าเป็นเธอเองก็คงไม่อยากพึ่งพาคนประเภทที่ว่าเสียใจทีหลังที่ได้พูดอะไรแบบนั้นไปเหมือนกันใช่ไหมล่ะ”
“….ขอโทษนะคะ แต่ว่าถามอะไรโง่ๆแบบนั้นกันคะ เรื่องนั้นมันก็แน่นอนอยู่แล้วไม่ใช่รึไงกันคะ”
“อะฮ่าๆๆ เรื่องแบบนี้แค่คำขอโทษมันก็คงจะไม่พอสินะ”
ผมที่กำลังสั่นกลัวได้แต่หัวเราะแหะๆกลบเกลื่อนไปทั้งอย่างนั้น
“นี่เป็นแค่ความเห็นส่วนตัวของฉันนะคะ เบเรต์ เซนต์ฟอร์ด ตัวคุณน่ะเป็นคนที่มองการณ์ไกลมาก ความคิดเองก็ดูเป็นผู้ใหญ่มากเช่นกัน”
“เหรอ?”
“ค่ะ ‘มีผู้คนมากมายที่ชอบใช้ประโยชน์จากความหวังดีของผู้อื่น บนใบโลกนี้น่ะไม่ได้มีแต่คนดีหรอกนะ’ ตอนที่คุณให้คำปรึกษาเขาคุณพูดไว้แบบนี้สินะคะ ถ้าตามปกติแล้วฉันไม่สามารถให้คำแนะนำในมุมมองแบบนั้นได้หรอกค่ะ ”
“อะ อะฮ่าๆๆ…ฮา”
‘ที่พูดแบบนั้นได้เพราะผมกลับชาติมาเกิดน่ะครับ แหะๆ’ คงจะบอกไปแบบนี้ไม่ได้
ลูน่าที่มองผมด้วยแววตาที่ดูง่วงนอนนั่นต้อนผมจนมุมขนาดที่ว่าไม่สามารถโต้แย้งอะไรได้เลย
“ตัวคุณที่เป็นคนมองการณ์ไกลและมีหลักการที่ยึดในหลักความเป็นจริงกลับพูดว่า ‘ฉันไม่อยากเป็นคนประเภทที่สงสัยในนํ้าใจของผู้อื่น’ มันทำให้ฉันรู้สึกประหลาดใจมากจริงๆค่ะ ช่างเป็นคนงี่เง่าที่นิสัยดีจังเลยนะคะ ”
“อะ ครับ…?”
ถ้ามีคนอื่นเห็นสถานการณ์ตอนนี้เข้าคงได้รู้สึกเสียววาบไปจนถึงกระดูกดำแหง
ไม่สิ บางทีอาจจะพยายามอย่างสุดกำลังเพื่อทำให้ลูน่าก้มหัวขอโทษผมแน่ๆ
เบเรต์ซึ่งเป็นถึงบุตรชายเพียงคนเดียวของมาร์ควิสที่เต็มไปด้วยข่าวลืออันน่าหวาดผวามากมาย ณ ตอนนี้ กำลังถูกสาวน้อยหนอนหนังสืออัจฉริยะจากตระกูลบารอนวิพากย์วิจารณ์ในระยะเผาขนอยู่
แต่ว่า ถ้าได้ฟังจริงๆก็จะรู้ได้เอง ว่าถ้อยคำที่เธอพูดมานั้นไร้คำเสียดสีใดๆโดยสิ้นเชิง แถมยังพูดได้ตรงประเด็นจนน่ากลัวอีกต่างหาก
“แต่ว่า ตัวคุณที่พูดอย่างที่ตัวเองคิดได้อย่างสง่าผ่าเผยขนาดนั้น ฉันคิดว่าตัวคุณที่เป็นแบบนั้น มันเท่มากเลยล่ะค่ะ”
“…..”
“แล้วอีกอย่าง เมื่อต้องเจอกับการให้คำปรึกษาที่อาจส่งผลร้ายแรงถึงขั้นรับผิดชอบไม่ไหว แต่คุณกลับแสดงความคิดเห็นของตัวเองอย่างตรงไปตรงมาเพื่อช่วยคลี่คลายปัญหาให้เขาอย่างจริงจัง โดยปกติแล้วคนส่วนใหญ่ก็คงจะพูดแค่ว่า ‘ เป็นความคิดที่วิเศษไปเลยล่ะครับ! ’ พยายามพูดเอาอกเอาใจเขาก็เท่านั้นเองค่ะ”
“มะ ไม่น่าเป็นแบบนั้นหรอกมั้ง?”
“ไม่หรอกค่ะ นั่นถือเป็นเรื่องปกติของสังคมชนชั้นแบบนี้ มันน่าทึ่งมากเลยนะคะ ที่คุณทั้งคิดและก็ลงมือทำด้วยแบบนี้ …ฉันเคารพคุณในฐานะมนุษย์คนนึงจริงๆค่ะ”
ลูน่าถ่ายทอดความรู้สึกที่แท้จริงของเธอโดยไม่ละสายตา
สีหน้าของเธอยังคงไร้อารมณ์อยู่เช่นเคย แต่คราวนี้ดูเหมือนแก้มของเธอจะกลายเป็นสีแดงจางๆ
“อะ ข ขอบคุณนะ ต –แต่ถ้าพูดอย่างนั้นลูน่าเองก็น่าทึ่งเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
“ไม่เห็นจะเข้าใจเลยค่ะ ฉันไม่ได้ทำอะไรที่สุดยอดเหมือนกับคุณสักหน่อยนี่คะ”
“ไม่หรอก ลูน่าเองก็พยายามค้นคว้ามาอย่างหนักเหมือนกันนี่ ถึงฉันจะไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่เธอเองก็พยายามช่วยเขาเหมือนกันไม่ใช่เหรอ”
ผมเคาะหนังสือการบริหารธุรกิจที่ยืมเธอมาดังกึกๆ
“มันก็เป็นได้แค่การกระทำที่ไม่มีความหมายเท่านั้นแหละค่ะ ฉันไม่ได้ปะติดปะต่อปัญหาและช่วยคลี่คลายได้แบบคุณ นี่ไม่อาจมองว่าเท่าเทียมกันได้หรอกค่ะ”
“จะใช่รึเปล่านะ ถึงแม้ว่าการได้ลงมือทำอะไรบางอย่างจะไม่ได้นำไปสู่ผลลัพธ์ตามที่หวังก็ตาม แต่ฉันไม่คิดว่ามันจะไม่มีความหมายเลยหรอกนะ”
“……?”
ลูน่าเอียงหัวอย่างงงงวย
“เมื่อเขาเริ่มธุรกิจของตัวเองและกำลังเจอปัญหาต่างๆมากมาย เมื่อนั้นสิ่งที่ลูน่าค้นคว้ามาอย่างยากลำบากมันจะต้องเป็นประโยชน์ต่อเขาอย่างแน่นอน เพราะเธอมีทั้งแนวคิดและข้อมูลที่จำเป็นสำหรับการเริ่มต้นธุรกิจหมดแล้วยังไงล่ะ”
“เอ๊ะ”
“ครั้งนี้เป็นเพราะจังหวะไม่ดี ผมเลยได้เป็นคนที่ให้คำปรึกษากับเขาก่อนแต่ถ้ามันกลับกันล่ะ? คำแนะนำที่เขาได้รับก็อาจจะต่างออกไป แต่ส่วนตัวฉันคิดว่าคำแนะนำของลูน่าจะเป็นประโยชน์กับเขาในระยะยาวเป็นอย่างมากเลยล่ะนะ”
“จะเป็นแบบนั้นจริงๆงั้นเหรอคะ….”
ชั่วขณะนั้น ใบหน้าของเธอที่จ้องมองผมมาสักพักใหญ่ๆก็เริ่มอ่อนลง ท่าทางของเธอที่ดูเหมือนจะตัวหดเล็กลงอย่างน่ารักราวกับจะขอคำยืนยัน
“อื้อ ไม่ผิดแน่ อย่างน้อยๆถ้าฉันเกิดเจอปัญหาในการให้คำปรึกษาเขาฉันก็คงจะมาพึ่งลูน่านี่แหละ เพราะคนเดียวที่ฉันพึ่งพาได้ก็มีแค่ลูน่าล่ะนะ และก็ไม่มีใครมีเหมาะมากไปกว่าเธอแล้วด้วย”
“…..”
“เพราะงั้นแหละ ถ้าเกิดถึงเวลานั้นขึ้นมาจริงๆก็ขอรบกวนหน่อยนะ พูดแบบนี้กับผู้หญิงอาจจะดูไม่ดีเท่าไหร่…แต่ว่า เธอเองก็เท่ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ ลูน่า”
เมื่อผมบอกว่าเธอเองก็เท่เหมือนกัน จากนั้นเธอก็ยิ้มน้อยๆอย่างน่ารัก
“…ข -ขอบคุณมากเลยค่ะ”
“เอะ เดี๋ยวๆ จู่ๆทำไมเธอถึงทิ้งระยะห่างไปแบบนั้นล่ะ”
ขณะเดียวกับที่เธอพูดขอบคุณ เธอก็ก้มหน้าและค่อยๆเดินถอยจากผมไปเรื่อยๆ
เมื่อผมพยายามเดินตามเธอไป เธอก็สุ่มหยิบหนังสือจากชั้นวางมาบังใบหน้าของเธอ
“ป เป็นอะไรรึเปล่า?”
“ฉันสบายดีค่ะ….”
“จริงเหรอ?”
“ได้โปรดอย่าใส่ใจเลยค่ะ”
(ถึงจะพูดอย่างนั้นแต่กลับซ่อนใบหน้าไว้หลังหนังสือนี่มันหมายความว่ายังไงกันนะ….)
พฤติกรรมแบบนี้มันหมายความว่าไงอะ ช่างเถอะคิดมากไปก็ปวดหัวเปล่าๆ
เมื่อผมเห็นลูน่าปล่อยบรรยากาศที่ไม่ยอมให้เข้าใกล้โดยเด็ดขาด ผมก็ไม่มีทางเลือกนอกจากเปลี่ยนเรื่องคุย
“อะ นี่ลูน่า วันหยุดนี้อยากไปเที่ยวเล่นกับฉันหน่อยมั้ย? อาทิตย์หน้าก็ได้นะถ้าไม่ว่าง”
“….ทะ ทำไมถึงกลายเป็นเรื่องนั้นไปได้ล่ะคะ! ”
“ก็ฉันยังไม่ได้ตอบแทนค่าแซนด์วิชเมื่อวานเลยนี่นา แต่ว่าถึงจะบอกว่าตอบแทนก็เถอะแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าฉันจำใจชวนเธอหรอกนะ”
“ก็เข้าใจเหตุผลอยู่หรอกค่ะ ถ้าตอบแทนเป็นเรื่องอื่นนอกจากไปเที่ยวก็น่าจะดีกว่ารึเปล่าคะ ถึงคุณไปเที่ยวกับคนอย่างฉันมันก็คงไม่น่าสนุกหรอกค่ะ”
“ไม่หรอก แค่ฉันได้คุยกับเธอยังสนุกขนาดนี้เลยนะ ถ้าได้ไปเที่ยวด้วยกันมันต้องสนุกมากแน่ๆ”
“อ..”
“เอ๊ะ? อะไรเหรอ?”
ลูน่าเริ่มถอยหลังไปอีกก้าว และกำหนังสือที่ปิดหน้าไว้อย่างแน่นหนา
นี่เธอเห็นผมเป็นสัตว์ประหลาดอะไรทำนองนั้นรึเปล่านะ
“ข…ขอเวลาคิดดูสักวันสองวันนะคะ”
“เข้าใจแล้ว ขอบคุณนะ”
“…..ถ ถ้างั้น ฉันขอตัวก่อนนะคะ”
“อะ เดี๋ยวก่อน หนังสือของเธออยู่นี่– อ๊ะ ร-เร็ว! วิ่งเร็วชะมัดเลยวุ้ยย….. ”
ลูน่าที่โกยแน่บไปอย่างรวดเร็ว จนผมไม่ทันได้คืนหนังสือที่ยืมเธอมาด้วยซํ้า…..