[WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? - ตอนที่ 14 เอเลน่าที่หน้าดูเป็นแดงๆนะ?
- Home
- [WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?
- ตอนที่ 14 เอเลน่าที่หน้าดูเป็นแดงๆนะ?
เช้าวันต่อมา
กิ๊ง ก่อง แก๊ง ก่ง
เสียงออดโรงเรียนดังประกาศสิ้นสุดคาบเรียนที่ 4 และเป็นเวลาพักเที่ยง
“ —อย่างนี้นี่เอง ลำบากน่าดูเลยนะ”
เบเรต์พูดขณะที่กำลังกินแซนด์วิชที่คนรับใช้ของเขาทำให้พร้อมกับนั่งฟังเอเลน่าเล่าปัญหาของน้องชายเธอ
“ไม่ใช่แค่ลำบากธรรมดานะ ตั้งแต่ฉันรู้ว่าน้องชายจะต้องรับหน้าที่ดูแลร้านใหม่ ฉันก็นอนดึกแทบทุกวันเลยนะ ไม่ว่าจะพูดยังไงเขาก็ไม่ยอมฟังฉันเลยเพราะงั้นถึงได้เป็นห่วงอยู่นี่ไง”
“อา เพราะงั้นเอเลน่าถึงได้ดูอิดโรยขนาดนี้สินะ”
“เอ๊ะ? รู้ด้วยเหรอ? ฉันว่าก็ไม่ได้แสดงออกชัดเจนขนาดนั้นนะ”
เอเลน่าเลื่อนนิ้วมือบางๆไปแตะที่ปากและกระพริบตาปริบๆ
“ก็ตอนเรียนอยู่ฉันเห็นเธอหาวไม่หยุดเลยนี่นา ก็แค่คิดว่าเธอคงจะนอนไม่พอแน่ๆเลยก็แค่นั้นเอง”
“นี่นาย…ขนาดตอนเรียนก็ยังคอยจ้องมองฉันอยู่ตลอดเลยงั้นเหรอ”
เธอพูดด้วยนํ้าเสียงล้อเลียน เมื่อผมหันหน้าไปหาเธอก็พบว่าเธอทำสีหน้าเหมือนกับจะพูดว่า ‘อะไรกันแอบปิ๊งฉันอยู่นี่เอง’
“ ‘จ้องมองอยู่ตลอด’ อะไรของเธอกันล่ะนั่น ก็เธอเล่นหาวหวอดๆซะขนาดนั้น เป็นใครก็ต้องเหลือบไปมองกันมั่งแหละ”
“พูดจาเสียมารยาทกับสุภาพสตรีซะจริงนะ เดี๋ยวก็ไม่เนื้อหอมหรอก”
“ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่เนื้อหอมหรือไม่เนื้อหอมสักหน่อย แต่ฉันก็ไม่สนใจหรอก เดิมทีตัวตนของฉันมันก็เลวร้ายขนาดนี้จะเอาอะไรไปเนื้อหอมก่อน”
“…อะ อุฟุฟุฟุ~ อย่าว่าแต่ดึงดูดเพศตรงข้ามเลย ดึงดูดคนปกติให้เข้ามาคุยด้วยยังยากเลยนี่เนอะ”
“ก็ตามนั้นแหละ”
“น่าเสียดายนะ หน้าตาดีแท้ๆแต่กลับไม่มีใครมาชอบเลย”
ถึงจะดีใจที่โดนชมว่าหน้าตาดีก็เถอะ แต่ถ้ายังออกทะเลอยู่แบบนี้ล่ะก็ได้หมดเวลาพักกลางวันก่อนแหง
ผมคิดและเริ่มกลับเข้าสู่หัวข้อหลักอีกครั้ง
“ถึงจะพึ่งมาถามเอาตอนนี้ก็เถอะ แต่ว่าน้องชายของเอเลน่าเนี่ยอายุเท่าไหร่งั้นเหรอ? จริงๆแล้วฉันไม่ค่อยมีข้อมูลเท่าไหร่เพราะไม่เคยเจอหน้ากัน”
“อาร๊า งั้นหรอกเหรอ? น้องชายของฉันเป็นเด็กนักเรียนปี 2 น่ะ อายุน้อยกว่าเรา 1 ปี”
“อะ อายุแค่นี้แต่ก็ต้องไปบริหารร้านใหม่แล้วเหรอ พอจะเข้าใจแล้วล่ะว่าทำไมเอเลน่าถึงเป็นห่วง”
“ใช่มั้ยล่ะ? ท่านพ่อนี่ใจร้อนจริงๆ ให้ตำแหน่งผู้บริหารกับเด็กอายุแค่นี้เอง แล้วยังกระทันหันขนาดนี้อีก ทำไมไม่คิดให้รอบคอบกว่านี้กันนะ?”
เอเลน่ากอดอกทำสีหน้ากังวลและเริ่มบ่นอีกครั้ง
เธอพยายามระบายความในใจที่อัดอั้นอยู่ข้างใน กลับกันมันก็บ่งบอกว่าตัวเธอนั้นเป็นห่วงน้องชายแค่ไหน
ท่าทางของเธอแบบนี้มันชวนอมยิ้มจริงๆ
“แล้วสุดท้ายแล้วที่พูดมานี่ต้องการอะไรกันแน่เหรอ? รู้ใช่ไหมแค่พูดมาอย่างนั้นมันก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้หรอกนะ?”
“ฉ- ฉันรู้อยู่แล้วล่ะน่า ฉันก็แค่มีเรื่องจะขอเรื่องนึง แค่อยากรู้ว่านายมีคำแนะนำอะไรดีๆบ้างไหม ”
เอเลน่ายื่นหน้าเข้ามาใกล้ผมที่กำลังกินแซนด์วิชแสนอร่อยอยู่
ใบหน้างดงามหมดจดอย่างกับตุ๊กตาเลยแน่ะ
(โฮ่ยๆ ใกล้….ใกล้ไปแล้ว จะยื่นหน้าเข้ามาใกล้อะไรขนาดนี้เนี่ย..)
ถึงเธอจะทำโดยไม่รู้ตัว แต่มันไม่ดีกับใจผมเลยนะ ขอร้องล่ะช่วยหยุดที
ผมขยับถอยห่างจากเธอเล็กน้อยขณะที่เธอปล่อยกลิ่นหอมมะลิอ่อนๆเข้ากระแทกจมูกผมอย่างต่อเนื่อง
“คำแนะนำแบบไหนล่ะ?”
“อ เอ่อ อย่างเช่น นายคิดว่าน้องชายฉันควรทำยังไง…ล่ะมั้ง”
“ล่ะมั้ง? แบบนั้นฉันว่าคงไม่ไหวหรอกมั้ง ฉันรู้แค่เศษเสี้ยวเรื่องที่เธอเล่ามาเท่านั้นเองนะ อีกอย่างฉันไม่รู้ด้วยซํ้าว่าน้องชายเธอมีความคิดแบบไหน”
ถ้าน้องชายเอเลน่ามาปรึกษากับผมโดยตรงมันก็อีกเรื่องนึง แต่ถ้าอิงตามที่เอเลน่าเล่าคงจะไม่ไหวจริงๆนั่นแหละข้อมูลที่มีน้อยเกินไป
นอกจาก ‘พยายามเข้าล่ะ’ ในหัวผมก็ไม่มีคำแนะนำอื่นอีกแล้ว
“ช- ช่วยไม่ได้นี่นา ก็วิชาบริหารธุรกิจมันยากอะ ฉันก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลยอธิบายแบบละเอียดๆไม่ได้ ”
“ก็เข้าใจว่าอยู่ว่าเป็นห่วงน้อง แต่อย่างน้อยๆแค่จดเนื้อหาที่คุยกันเมื่อคืนมาก็ไม่น่ายากเกินไปมั้ง?”
“..อุ ยะ อย่าเอาความจริงมาพูดสิ”
เอเลน่าหรี่ตาสีม่วงของเธอ และทำสีหน้าบูดบึ้ง
ผมไม่เคยเห็นเธอเป็นแบบนี้มาก่อน ระยะห่างระหว่างเราที่ใกล้จนแทบจะหายใจรดกันอยู่แล้ว
ผมเดาว่ายิ่งเวลาผ่านไปนิสัยที่แท้จริงของเอเลน่าก็จะยิ่งเผยออกมาให้เห็น
“บ่นเป็นเด็กน้อยเลยนะ”
“บ่นนิดบ่นหน่อยไม่ได้รึไง อย่ามาทำเหมือนฉันเป็นเด็กน้อยนะ!”
“ไม่ๆ ก็มันจริงนี่นา”
“เฮ้ออ มันก็จริง ถ้าอยากได้คำแนะนำดีๆทำตามที่นายบอกอาจจะดีกว่าจริงๆน่ะแหละ”
เธอถอนหายใจและก็ฟุบหน้าลงซบไหล่ตัวเอง
ผมก็ไม่ได้อยากจะทำให้เธอรู้สึกไม่ดีหรอกนะ แต่มันจำเป็นจริงๆ
“ก็นะโลกนี้น่ะมันไม่ได้ง่ายอย่างที่คิดหรอกนะ แต่ว่าเดี๋ยวอะไรๆมันก็ดีขึ้นเองแหละ ในระยะยาวน่ะนะ”
“…ระยะยาวเหรอ?”
“สุดท้ายแล้วน้องชายเธอก็ต้องทำหน้าที่นั้นอยู่ดี แต่ข้อดีอย่างหนึ่งคือเขาอายุยังน้อย ปล่อยให้เขาได้เรียนรู้จากประสบการณ์และสัมผัสความล้มเหลวด้วยตัวเอง เดี๋ยวอะไรๆมันก็ดีขึ้นเอง ส่วนตัวฉันคิดว่าไม่มีสภาพแวดล้อมไหนจะดีไปกว่านี้แล้วล่ะ”
“ร เรื่องนั้นไว้หลังเรียนจบแล้วก็ยังไม่สายไม่ใช่รึไง ไว้หลังเรียนจบหรือตอนเข้ามหาลัยก็น่าจะยังทันนี่นา”
“ฉันเข้าใจสิ่งที่เอเลน่าจะสื่อนะ แต่ว่ามันมีมุมมองที่จะเห็นได้เฉพาะตอนอายุยังน้อยเท่านั้นด้วยนะ การไล่ตามอุดมคติในตอนที่อายุยังน้อยๆโอกาสสำเร็จมันก็มากกว่าด้วย ฉันคิดว่าพ่อของเอเลน่าค่อนข้างจะคาดหวังในเรื่องนั้นไว้สูงนะ ”
เรื่องทั้งหมดที่ผมพูดเป็นเพียงแค่การคาดเดาเท่านั้น เพราะถ้าพูดถึงครอบครัว เลคเลอร์ ซึ่งเป็นตระกูลขุนนางระดับเอิร์ล อย่างที่รู้ๆกันคือตระกูลเขาได้ครอบครองธุรกิจเกี่ยวกับร้านอาหารมากมายทุกคนต่างก็รู้กันดี
ไม่มีทางที่ผู้บริหารสูงสุดของธุรกิจจะมอบหมายภารกิจส่งเดชโดยไม่ได้เตรียมตัวมาก่อนแน่ๆ
“เบเรต์…ช่วยอธิบายให้เข้าใจง่ายกว่านี้หน่อยสิ มันงงอะ”
“น..นั่นสินะ…”
ผมอดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วให้กับคำพูดของเธอ
ผมไม่ได้ตั้งใจจะพูดให้มันฟังดูคลุมเครือหรอกนะ แต่ว่ามันอธิบายให้เป็นรูปธรรมค่อนข้างลำบาก เหนือสิ่งอื่นใดคือผมมีข้อมูลน้อยเกินไป
“ถ้างั้นฉันจะยกตัวอย่างคร่าวๆนะ …ถ้าเอเลน่าอยากจะใช้พลังงานของดวงอาทิตย์ เธอจะทำยังไง?”
“ด..-ดวงอาทิตย์? นั่นมันไม่น่าเป็นไปได้หนา? มนุษย์อย่างเราๆบินไม่ได้นี่นา จะไปให้ถึงดวงอาทิตย์ได้ยังไงเล่า”
“ประเด็นคือ เมื่อเธอคิดถึงเหตุผลนั้นเธอก็ล้มเลิกความคิดที่จะใช้พลังงานของดวงอาทิตย์แล้วใช่ไหมล่ะ?”
“นั่นสินะ ก็มันเป็นไปไม่ได้นี่นา”
“แล้วถ้าเธอลองคิดแบบไม่สนความจริงข้อนั้นล่ะ?”
“เอ๊ะ…”
แน่นอนว่าการใช้พลังงานของดวงอาทิตย์นั้นเป็นไปไม่ได้ เอเลน่าที่ค่อนข้างหัวไวก็ใช้เวลาสองถึงสามวินาทีในการตอบคำถามของผมพร้อมกับเอียงหัว
“ฉ ฉันก็จะลองคิดดูว่ามีวิธีไหนที่จะใช้งานมันได้ ถึงแม้ว่าจะต้องใช้กำลังก็ตาม..เหรอ?”
“ใช่ๆ ประเด็นหลักคือ การหาทางทำอะไรสักอย่างก่อนที่จะยอมแพ้ ถ้าหากเธอคิดไปแล้วว่าวิธีนี้มันเป็นไปไม่ได้ บางทีเธอก็อาจจะปิ๊งไอเดียใหม่ขึ้นมาก็ได้ ตัวอย่างเชน จะทำยังไงถึงจะเข้าใกล้ดวงอาทิตย์ได้มากขึ้น? หรือจะทำยังไงถึงจะใช้งานมันได้โดยไม่ต้องบินขึ้นไปหามัน ”
“……”
“ฉันคิดว่าการบริหารธุรกิจก็คล้ายๆกัน แต่ว่านี่ก็เป็นครั้งแรกของฉันเหมือนกันอาจจะอธิบายได้ไม่ครอบคลุม แต่ในเมื่อไม่สามารถขี่ม้าไปทางตรงเพื่อให้ถึงจุดหมายได้ ก็หาแค่หาทางขี่อ้อมไปแทน สุดท้ายแล้วก็ถึงจุดหมายเหมือนกัน ประมาณนั้นแหละ และถ้าเจอปัญหาระหว่างทางก็ต้องพยายามหาไอเดียใหม่ๆมาแก้ปัญหา และในระหว่างทางนั้นก็จะได้ประสบการณ์อันลํ้าค่ามากมาย ”
ผมอาจจะไม่ได้พูดตรงประเด็นมากนัก แต่ว่านี่ก็เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่ผมจะแนะนำให้ได้แล้ว
“มันก็ประมาณนั้นแหละ แต่ที่พูดนี่แค่ในทางอุดมคติเท่านั้นนะ ฉันพูดในสมมติฐานที่ว่าเขาจะสามารถลุกขึ้นยืนได้ใหม่ทุกครั้งไม่ว่าเขาจะล้มเหลวกี่ครั้งก็ตาม แต่ถ้าเขาเป็นคนที่มีความพยายามไม่กลัวความล้มเหลว ถ้างั้นก็เหมาะเลยที่จะเริ่มทำธุรกิจด้วยอายุประมาณนี้ เพราะต่อให้เดินไปผิดทางก็ยังแก้ไขได้ และก็มีทั้งพ่อและก็เอเลน่าคอยช่วยสนับสนุนด้วย”
“…..อะ”
“อะ?”
“…อะ ใช่แล้ว! ท่านพ่อเองก็คงจะยื่นมือเข้ามาช่วยแน่นอนอยู่แล้วใช่มั้ย?”
“ฉันเองก็ไม่รู้จักท่านพ่อของเอเลน่าเป็นการส่วนตัวก็คงพูดไม่ได้เต็มปาก แต่ว่าถ้าเอเลน่ามีนิสัยแบบนี้เขาเองก็น่าจะเป็นคนใจดีไม่ใช่เหรอ?”
“อื้อ เขาค่อนข้างจะเข้มงวดให้ความสำคัญกับงานเป็นอันดับแรก แต่ว่าเขาเป็นคนใจดี”
เพราะเอเลน่าไม่พอใจกับการตัดสินใจของพ่อตั้งแต่แรกเลยไม่คิดจะให้พ่อของเธอยื่นมือเข้ามาช่วย
หลังจากอธิบายไปประมาณนึง สีหน้ามีความสุขของเอเลน่าก็ปรากฎออกมาให้เห็นพร้อมกับนํ้าเสียงที่ฟังดูโล่งอก
“ถ้างั้นฉันก็คิดว่าไม่เป็นไรหรอก ฉันว่าถ้ายังเป็นนักเรียนอยู่ก็โฟกัสเรื่องเรียนไปก่อนก็ได้ แต่คิดว่าที่พ่อของเธอตัดสินใจเลือกแบบนั้นเพราะเขาเชื่อใจในตัวน้องชายเธอนะ เอเลน่าเองก็ไม่ลองเชื่อในตัวน้องชายดูบ้างล่ะ? เชื่อในตัวน้องชายและก็เชื่อในตัวพ่อของเธอ”
“อ อื้อ!”
จากนั้นเมื่อผมสบตาเอเลน่า เธอก็พยักหน้าหงึกๆอย่างเชื่อฟังยิ้มแป้นพร้อมกับสายตามีความหวัง
“….”
“….”
ไม่มีการสนทนาต่อจากนั้น ความเงียบได้เข้าปกคลุม สายตาของเราประสานกัน
นี่เราสบตากันนานแค่ไหนแล้วนะ
แก้มสีขาวนวลของเอเลน่าค่อยๆเปลี่ยนเป็นสีแดง
สายตาเลิ่กลั่กมองซ้ายทีขวาที
“อะ.. อะ อืออ น-นายนี่พูดจาอวดดีจังนะ….พูดเหมือนมองลงมาจากที่สูงกว่าอย่างนั้นแหละ! ”
“เดี๋ยวนะ แล้วเธอจะโมโหทำไมเนี่ย”
ขณะที่ผมกำลังอ้าปากค้าง เอเลน่าก็รีบหันหลังและยืนพรวดขึ้นอย่างฉุนเฉียว
“น น น-หนวกหูน่า! พอแล้ว! ฉันจะไปโรงอาหารละ เชิญนายกินแซนด์วิชนั่นไปคนเดียวเถอะ! ”
ท่าทีของเอเลน่าแปลกไปอย่างชัดเจน เธอดูกระสับกระส่ายไม่ยอมมองหน้ากันตรงๆ และต้นคอของเธอก็แดงขึ้นไปจนถึงใบหู
“อ๊ะ หรือว่ากำลังเขินอยู่เหรอ?”
“!! ม..ไม่ใช่สักหน่อย ตาบ้า!! ”
“เอ๋….”
หลังจากที่เธอพูดอย่างนั้น เอเลน่าก็รีบบึ่งตรงออกจากห้องไป
(ทำให้โกรธเข้าซะแล้วสิ… เอาเถอะ ไว้ขอโทษทีหลังก็แล้วกัน)
เมื่อคิดได้อย่างนั้นผมก็เริ่มกินแซนด์วิชคนเดียวต่อไป
หลังจากกินมื้อเที่ยงเสร็จ ผมก็หยิบหนังสือนิยายที่อ่านจบแล้วมุ่งหน้าไปยังห้องสมุด