[WN]ในโลกที่ค่านิยมทางเพศสลับกัน อัตราส่วนชายหญิงคือ 1:5 ผมหวังว่าตัวเองจะได้ใช้ชีวิตตามปกติ - ตอนที่ 10 เด็กสาวมอปลายผู้ชื่นชอบวรรณกรรมมีความเอเลแกนท์ล่ะ
- Home
- [WN]ในโลกที่ค่านิยมทางเพศสลับกัน อัตราส่วนชายหญิงคือ 1:5 ผมหวังว่าตัวเองจะได้ใช้ชีวิตตามปกติ
- ตอนที่ 10 เด็กสาวมอปลายผู้ชื่นชอบวรรณกรรมมีความเอเลแกนท์ล่ะ
แต่ตั้งที่ผมมาโลกนี้ก็ผ่านไปแล้ว 2 เดือน
ตอนที่มาครั้งแรก ผมก็กังวลหลาย ๆ อย่าง แต่น่าแปลกที่ทุกอย่างกลับเข้าที่เข้าทางซะงั้น
นอกเหนือจากค่านิยมทางเพศของผมที่เริ่มแปลกไปนิดนึง อย่างอื่นก็เหมือนเดิม
ถ้าอยู่ ๆ ผมโดนวาร์ปมายังโลกนี้ แล้วถูกบอกว่าตัวเองคือผู้กล้า แบบนั้นน่ะแย่แน่ ๆ แต่โลกนี้กลับใจดีกับคนธรรมดาแบบผมจนน่าตกใจเลยล่ะ
“เฮ้อ..ง่วงชะมัด”
วันนี้เป็นวันเสาร์ เลยไม่มีเรียน
จริง ๆ ก็มีคอร์สที่เรียนวันเสาร์อยู่หรอก แต่โคมิไม่ได้ลงสักคอร์สเลย แถมผมเองก็อยากมีวันหยุดพักผ่อนบ้าง
ผมมองนาฬิกาที่แขวนตรงผนัง ตอนนี้ 10 โมงครึ่งแล้ว
ถ้าดูจากที่ผมทำงานจนดึกดื่น เวลานี้ถือว่าตื่นเช้าไปด้วยซ้ำ
“วันนี้ถ้าจำไม่ผิด บ่าย 3 สินะ งั้นทำข้าวเที่ยงก่อนดีกว่า”
วันนี้ตอนบ่าย 3 ผมมีแผนแล้ว ผมขยี้ตางัวเงีย และลุกออกจากเตียง
ขณะที่ทำแบบนั้น ผมหยิบมือถือที่อยู่บนโต๊ะข้างเตียงขึ้นมา แล้วดูแจ้งเตือน
<โคมิ>[น่าสนใจจัง ฮะๆ]
<โคมิ>[แล้ว งานพาร์ทไทม์ที่มาซาโตะทำเป็นงานอะไรเหรอ?]
“…เอ เราพูดถึงเรื่องอะไรนะ?”
ตั้งแต่ที่ได้แลกข้อมูลติดต่อกับโคมิมา เธอมักจะส่งข้อความแบบนี้ 2-3 ครั้งทุก ๆ วันเลย
ก็นะ ถือว่าเป็นการสื่อสารรูปแบบหนึ่งเหมือนที่โลกเดิมนั่นแหละ ผมเลยตอบกลับไป
“แต่คงบอกเรื่องที่ทำงานในบาร์ไม่ได้หรอก”
ผมปฏิเสธคำชวนของโคมิ เธอเลยรู้ว่าผมทำงานคืนวันศุกร์
แต่ถ้าผมบอกไปตรง ๆ ว่า “อ๋อ ทำงานที่บอยบาร์น่ะ” เธอคงตอบกลับมาว่า “อี๋ หยะแหยง” ไม่ก็ “ในชุดที่ดูจืดชืดแบบนั้นเหรอ…?” อะไรแบบนี้แน่ ๆ
ผมไม่ได้ซื่อขนาดนั้นนะ
ผมมีแผนสองอยู่
“โอเค! แบบนี้คงได้”
ผมพิมพ์มือถือ
<มาซาโตะ>[ชั้นทำงานเป็นติวเตอร์ส่วนตัวน่ะ]
แบบนี้ไม่น่ามีปัญหา
ใช่ ผมทำงานเป็นติวเตอร์ส่วนตัวด้วย
เริ่มทำงานช่วงบ่าย 3 วันเสาร์
ถ้าพิมพ์ไปแบบนี้ คงไม่มีปัญหาอะไร ก็แค่งานพาร์ทไทม์ธรรมดา ๆ นั่นแหละ
ผมปิดหน้าจอ และเดินไปที่ครัว
ถ้าจำไม่ผิดน่าจะมีไข่ 2 ฟอง แล้วก็เบคอนอีกนิดหน่อย… งั้นทำข้าวผัดละกัน
ข้าวผัด เมนูจานเด็ดของชายโสดที่อยู่คนเดียว
ติ๊ง
ติ๊ง
…?
ขณะที่ผมกำลังจะเช็คข้าวที่เหลือในหม้อหุงข้าว เสียงแจ้งเตือนก็ดังขึ้น
แปลกแหะ ปกติโคมิจะตอบกลับประมาณ 3-4 ชั่วโมงนี่นา คนอื่นเหรอ?
ผมหยิบมือถือที่วางไว้ขึ้นมาดู เป็นข้อความจากโคมิ
…ตอบเร็วจังแหะ?
<โคมิ>[เอ๊ะ ติวเตอร์ส่วนตัวเหรอ?]
<โคมิ>[หวังว่าคนที่ติวให้จะไม่ใช่ผู้หญิงนะ ใช่มั้ย?]
…? แปลกยังไงล่ะนั่น?
ก็ตามที่โคมิสงสัยนั่นแหละ นักเรียนที่ผมติวให้เป็นผู้หญิง
<มาซาโตะ>[ก็ตามนั่นแหละ? เป็นนักเรียนหญิงมอปลายน่ะ]
พอตอบกลับ ผมก็เดินไปที่หม้อหุงข้าว
แปลกขนาดนั้นเลยเหรอ? สงสัยนักศึกษาที่ทำงานเป็นติวเตอร์ส่วนตัวคงมีน้อยมั้ง..
ขณะที่ผมตักข้าวที่อยู่นั่นเอง..
มือถือที่ตั้งโหมดเงียบวางไว้บนโต๊ะ ก็สั่นขึ้นมา
ไม่ใช่ข้อความแจ้งเตือน แต่เป็นสายเรียกเข้าพร้อมหน้าจอที่ขึ้นคำว่า “โคมิ”
…เอ๊ะ? น่ากลัวแหะ
ตอนนี้บ่าย 2 แล้ว
ผมออกจากบ้านมุ่งหน้าไปที่บ้านของคนที่ผมต้องสอน
“ให้ตายสิ อยู่ ๆ ทำไมถึงเป็นแบบนั้นนะ”
พอผมรับสายก็ต้องสั่นเทา เพราะน้ำเสียงของโคมิ
ปกติเธอจะให้ความรู้สึกน่ารักไร้เดียงสา เรียนกับเธอก็เป็นอาหารตาชั้นดีด้วย แต่ถ้าสับสวิตซ์เมื่อไหร่ เธอจะเปลี่ยนไปเหมือนเป็นคนละคนเลย…แถมน่ากลัวด้วย
ผมก็ระวังแล้วนะ แต่ผมไม่รู้จริง ๆ ว่าสวิตซ์โดนสับตอนไหน
แต่สุดท้ายผมก็อธิบายให้ฟังจนเธอใจเย็นแล้วยอมวางสาย
ผมบอกว่าผมจะเล่าให้ฟังวันจันทร์ เธอตอบตกลงถึงน้ำเสียงจะดูไม่ค่อยเต็มใจก็เถอะ
ผมจอดจักรยาน และขึ้นรถไฟ บ้านของนักเรียนที่ผมจะติวให้อยู่ห่างไปประมาณ 5 สถานี ผมเริ่มติวให้เธอตั้งแต่เดือนที่แล้ว
ผมทำงานที่บาร์อย่างเดียว แถมตอนนั้นยังไม่มีลูกค้าประจำอย่างคุณเซระด้วย ผมเลยรู้สึกว่ารายได้ยังน้อยไป (ถึงตอนนี้ผมจะฟุ่มเฟือยได้นิดนึง เพราะเธอเปย์ให้ผมก็เถอะ)
ตอนที่ผมทำงานที่บาร์ช่วงแรก ๆ ผมเข้ากะทุกวันยกเว้นวันศุกร์ ผมคิดว่าคงไม่เป็นไรหรอก แต่คุณไอกะบอกว่า “ไม่ได้ ทำงานประเภทนี้มากไปมันไม่ดี” ผมเลยเปลี่ยนมาทำแค่วันศุกร์อย่างเดียว
คนที่ผมติวให้เป็นลูกสาวของคนรู้จักกับคุณไอกะในที่ทำงาน ซึ่งเธอเล็งเข้ามหาลัยผมอยู่
เธอเลยอยากได้คนช่วยสอน ผมเลยติวให้เธอได้ประมาณเดือนนึงแล้ว
วันก่อน ตอนที่คุณไอกะบอกผมว่า “ชั้นโอนค่าติวให้แล้วนะ” พอผมไปเช็คยอด ผมตกใจมากเลยล่ะ
ทำไมล่ะ? จำนวนมันไม่มากไปหน่อยเหรอ? ผมคิดขณะที่คุณไอกะยิ้มกรุ้มกริ่ม
เอาเถอะ คุณไอกะคงแอบเพิ่มให้ผมนิดนึงด้วยมั้ง ผมจะได้ใช้ชีวิตง่ายขึ้น
ช่วยผมไว้มากเลย ผมมองหน้าเธอไม่ติดจริง ๆ
“เอาล่ะ”
ผมออกจากรถไฟ และเดินสักพักมาจนถึงบ้านของนักเรียนคนนั้น
ประตูรั้วลวดลายกั้นไว้อยู่ พร้อมสวนหน้าบ้านที่มีทางเดินไปมาปูด้วยก้อนหินเล็ก ๆ ซี่งนับว่าเป็นบ้านที่ดูดีเลย
มาก่อนเวลา 10 นาทีแหะ แต่ไม่เป็นไรหรอกมั้ง จากนั้นผมก็กดกริ่งข้างประตู
“โทษนะครับ คาซาโตะ ติวเตอร์ของคุณชิโอริครับ”
“ค่าาา!”
ได้ยินเสียงที่ร่าเริง จากนั้นก็ได้ยินเสียงประตูปลดออก
พอเปิดเข้าไป แม่ของชิโนมิยะ ชิโอริก็ยืนอยู่ตรงนั้น
“สวัสดีมาซาโตะคุง ขอบคุณนะ ตอนนี้ชิโอริคงรออยู่ที่ชั้นสองแล้ว ขึ้นไปได้เลยจ้ะ”
“ได้ครับ ผมจะพยายามเต็มที่”
ผมถอดรองเท้าจัดเรียงดี ๆ และเข้าไปในบ้าน เดินขึ้นบันไดไปที่ห้องของชิโอริ จากนั้นก็เคาะห้องสองครั้ง
“ชิโอริจัง? นี่คาตะซาโตะนะ ขอเข้าไปได้มั้ย?”
“ดะ-ได้ค่ะ”
ผมได้ยินเสียงสูงชัดเจน ชิโอริจังน่ะมีเสียงที่ไพเราะและชัดเจน
เมื่อผมเปิดประตูเข้ามา ก็เจอกับสาวน้อยผอมเพรียว ผมสีดำเงางาม เธอมัดผมครึ่งหัวโดยใช้โบว์สีฟ้าอ่อนผูกไว้
เธอน่ะเหมากับคำว่า “งดงาม” สุด ๆ เลยล่ะ
“สวัสดีคาโอริจัง”
“เอ่อ สวัสดีค่ะ”
จะว่าไปแล้ว วันนี้ไม่ใส่ชุดนักเรียนแหะ
จนถึงตอนนี้เธอมักจะใส่ชุดนักเรียนตลอด มีเหตุผลอะไรหรือเปล่านะ?
“โอ้ วันนี้เธอไม่ได้ใส่ชุดเรียนนี่นา”
“ค-ค่ะ ชั้นว่ามันแปลก ๆ น่ะค่ะ วันหยุดแท้ ๆ แต่กลับใส่ชุดนักเรียน”
เธอสวมเสื้อเบลาส์สีดำแขนสั้น ทับด้วยเดรสสีเบจ ซึ่งเข้ากับความงดงามของเธอเป็นอย่างดี
“โห ดูดีมากเลย ชั้นเคยเห็นเธอใส่แต่ชุดนักเรียน นี่น่ะถือว่าแปลกใหม่สำหรับชั้นเลย”
“ฟุฟุฟุ…ขอบคุณค่ะ ชุดไปรเวทที่คุณใส่วันนี้ก็เท่เหมือนกันค่ะ คุณมาซาโตะ”
“ถึงชมกันแบบนี้ ก็ไม่ได้ทำให้การบ้านน้อยลงหรอกนะ รู้มั้ย?”
ผมวางกระเป๋าลงแล้วหยิบหนังสือติวขึ้นมา
ตอนที่ผมเจอเธอครั้งแรก เธอใส่แว่นตา ถักผมเปียทั้งสองข้าง ไม่รู้เหมือนกันว่านึกอะไรถึงเปลี่ยนลุคตัวเอง แต่พอมาครั้งถัดไป เธอก็เปลี่ยนผมเป็นทรงนี้แล้ว และหันมาใส่คอนแทคเลนส์แทนด้วย
เหมือนว่าตอนมาครั้งแรก แม่เธอน่าจะปิดเรื่องที่ติวเตอร์เป็นผู้ชายล่ะมั้ง พอรู้เข้าก็กังวล…เป็นแม่ที่แย่ชะมัด
“เอาล่ะ…จริง ๆ ควรเริ่มเลย แต่ยังมีเวลาอีก 5 นาที”
“นั่นสินะคะ แล้วเราจะทำอะไรดีล่ะ?”
“งั้นมาคุยกันมั้ย?”
ผมไม่อยากเคร่งมากหรอก ถึงจะมาเป็นครั้งที่สี่แล้ว แต่เธอยังดูเกร็ง ๆ อยู่ผมเลยอยากให้เธอรู้สึกชิลมากกว่านี้ เธอเป็นผู้หญิงที่ใจเย็นสุด ๆ ในบรรดาผู้หญิงที่ผมเจอตั้งแต่โดนย้ายมาที่นี่ อย่างยูกะก็ชอบเกร็งพูดติด ๆ ขัด ๆ ตลอด ถ้าเธอใจเย็นบ้างคงดีกว่านี้
ผมมองไปที่โต๊ะของชิโอริจัง เห็นหนังสือปกอ่อนเล่มหนึ่งวางไว้ อืม ก็เธอชอบวรรณกรรมนี่นะ
“อะ วันนี้เธออ่านเรื่องอะไรเหรอ?”
“เอิ่ม คือ..เรื่องนี้คุณทาซากะเป็นคนแต่งค่ะ”
“โอ้ น่าสนใจนะ เรื่อง ‘คิมหันต์ที่ร่วงหล่นจากชั้นสอง’…ต้องผ่านเรื่องราวอะไรมาบ้างนะ ถึงได้ตั้งชื่อเรื่องแบบนั้น”
ผมไม่ได้อ่านหนังสือบ่อยนักหรอก แต่ผมก็พออ่านเรื่องที่ดัง ๆ อยู่บ้าง โชคดีที่มีหนังสือที่ผมรู้จักอยู่ด้วย ถ้าเป็นแบบนี้น่าจะคุยกันได้ ชิโอริน่าจะอ่านหนังสือเยอะนะเนี่ย ความรู้รอบตัวผมอาจจะเทียบเธอไม่ติดด้วยซ้ำ
“อะ ฮะฮะฮะ นั่นสินะคะ…”
หืมม ดูไม่ค่อยสนใจเลยแหะ..? คงดูออกว่าผมไม่ค่อยอ่านอะไรมั้ง
ผ่านไป 1 ชั่วโมง
“ตรงนี้เสียงจะเปลี่ยนไป สัญลักษณ์มาอยู่ตรงนี้แทน มันเลยอ่านออกเสียงว่า…”
ผมอยู่คณะมนุษยศาสตร์ วิชาที่ผมติวให้ชิโอริจังคือภาษาญี่ปุ่น สังคมศึกษา แล้วก็ภาษาอังกฤษ แต่ละวิชาจะใช้เวลาติวชั่วโมงนึง รวมแล้วก็สามชั่วโมง พอติวภาษาอังกฤษเสร็จแล้ว เราก็ติวภาษาญี่ปุ่นต่อ
“เอิ่ม..หืมม?”
เหมือนว่าเธอจะไม่เข้าใจแหะ
อ๊ะ งี้นี่เอง งงตรงนี้สินะ
พอคิดได้แบบนั้น ผมเลยลุกขึ้นย้ายไปอยู่ข้างหลังชิโอริจัง
“เห็นมั้ย? ชิโอริจัง ชั้นจะใช้นิ้วลากจากตรงนี้นะ มาอ่านพร้อมกันนะ”
โอเค แบบนี้คงเข้าใจง่ายขึ้น
แต่มือของชิโอริจังก็นิ่งไป
เอ๊ะ?
“..อุฟุ”
อาเร๊ะ?
ตะกี้เสียงอะไรน่ะ?
ชิโอริจังเหรอ?
จู่ ๆ เธอก็รีบลุกขึ้น
“ขอไปเข้าห้องน้ำนะคะ”
“อ่า อืม โทษทีนะ”
ชิโอริจังเดินไปที่ห้องน้ำโดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ เอ๊ะ ผมทำให้เธอโกรธเหรอ? สงสัยใกล้เกินไปสินะ ถ้าให้ผู้ชายที่ไม่สนิทมาอยู่ใกล้ขนาดนี้ จะรู้สึกแย่ก็ไม่แปลกหรอก..เผลอไปซะได้ ขอโทษจริง ๆ นะ
สักพักชิโอริจังก็กลับมา
หน้าแดงนิดนึงด้วย เป็นอะไรเปล่าเนี่ย?
“ขอโทษนะ งั้นมาต่อดีกว่า”
“ค-ค่ะ”
เฮ้อ โล่งอกไปที เหมือนว่าไม่โกรธแหะ กังวลแทบแย่ว่าถ้าโกรธขึ้นมาจะทำไง
เพื่อไม่ให้พลาดอีกรอบ ผมนั่งข้าง ๆ เธอแทนละกัน
“เอ๊ะ?”
ชิโอริมองผมด้วยสีหน้างงงวย
เอ๊ะ?
“เอิ่ม..ไม่สิ จะอยู่ข้างหลังก็ได้นะคะ ขอรบกวนด้วยค่ะ”
เอ๊ะ?