[WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น? - ตอนที่ 29 เดทกับลูน่า (5)
- Home
- [WN]เกิดใหม่เป็นขุนนางสารชั่ว แต่ดันเป็นที่หมายปองของเหล่าสตรีสูงศักดิ์ซะงั้น?
- ตอนที่ 29 เดทกับลูน่า (5)
“ฉันพอใจมากเลยค่ะ”
“งั้นเหรอ ดีแล้วล่ะ”
เวลาประมาณช่วงเย็น
ผมกำลังคุยกับลูน่าอย่างสบายๆ ขณะที่นั่งรถม้าเคลื่อนผ่านหอสมุดหลวง
“ไม่เบื่อบ้างเหรอคะ? ฉันนั่งอ่านหนังสือไปหลายชั่วโมงเลย”
“ฉันก็ค่อนข้างสนุกเลยนะ?”
“…..งั้นเหรอคะ”
“อ่าา ก็นะ ในหอสมุดมันยังมีอะไรสนุกๆให้ทำนอกจากอ่านหนังสือด้วยนี่นา”
“อะไรงั้นเหรอคะ”
“นั่นมันก็….”
ผมอดไม่ได้ที่จะยิ้มกริ่มเมื่อนึกถึงมัน
อาจเป็นเพราะที่หอสมุดหลวงมันมีหนังสือมากกว่าในห้องสมุดโรงเรียนล่ะมั้ง ผมเลยได้แอบเห็นท่าทางของลูน่าในแบบที่ต่างจากตอนปกติเยอะอยู่พอสมควร
“ก็อย่างเช่นแอบมองลูน่าที่กำลังดุ๊กดิ๊กไปมาอย่างตื่นเต้นต่อหน้าหนังสือมากมาย”
“อะ”
“หรือไม่ก็ตอนที่เจอหนังสือที่เลิกตีพิมพ์ไปแล้วจากนั้นก็รีบมารายงานฉันด้วยท่าทางมีความสุขสุดๆ ”
“……”
“หรือไม่ก็แอบดูตอนที่หอบหนังสือกองใหญ่มารีบอ่านทั้งๆที่ใกล้จะหมดเวลาแล้ว”
“……..”
“บางทีก็คิดนะว่าหนังสือพวกนั้นมันน่าสนใจขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงได้พยายามเอื้อมหยิบหนังสือบนชั้นซะขนาดนั้น ทั้งๆที่บันหยิบหนังสือก็อยู่ข้างๆแท้ๆ”
“………..คิดไปเองทั้งนั้นค่ะ”
ยิ่งเขาพูดเท่าไหร่แก้มของเธอก็ยิ่งร้อนขึ้นเท่านั้น เธอตอบกลับด้วยเสียงโทนตํ่า
เธอเป็นเด็กฉลาดคงรู้ได้ในทันทีว่าที่เขาพูดนั้นล้วนเป็นความจริง แต่ด้วยสถานการณ์แบบนี้จึงยากที่จะกลบเกลื่อน
“อาเร๊? นี่ฉันคิดไปเองงั้นเหรอเนี่ย”
“เพราะชอบแกล้งฉันแบบนี้ไงคะ เดี๋ยวก็มีข่าวลือแย่ๆผุดขึ้นมาอีกไม่รู้ด้วยนะคะ ช่วยทบทวนตัวเองให้มากกว่านี้ด้วยค่ะ”
“เอ๋? นี่ฉันหยอกแรงขนาดนั้นเลยเหรอ?”
“นี่คือคำขู่ค่ะ ถ้าไม่อยากให้มีข่าวลือเสียๆหายๆเพิ่มมาอีกอย่างล่ะก็ เรื่องในวันนี้เอาเป็นว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้นค่ะ คุณไม่เห็นหรือได้ยินอะไรทั้งนั้น”
“ฮ่าๆๆ สงสัยฉันคงต้องรูดซิปปากไว้แล้วสินะเนี่ย”
“เป็นการตัดสินใจที่ฉลาดมากค่ะ”
หลังจากการหยอกล้อเบาๆของเขาและเธอจบลง เสียงรถม้าก็กลับมาดังกังวานอีกครั้ง
จากนั้นลูน่าก็หันหน้ามาทางนี้
“เอ่อ…..”
“หืม?”
“ขอบคุณมากนะคะที่พาฉันไปที่หอสมุด ฉันไม่เคยบอกเรื่องนี้กับคุณเลย คือปกติฉันไม่ค่อยจะได้ออกมาข้างนอกเท่าไหร่ ฉันเลยสนใจหอสมุดหลวงนั่นมานานแล้วล่ะค่ะ”
“ไม่เห็นต้องเกรงใจกันเลยนี่นา”
“ก็ที่นั่นมันไม่เหมาะจะมาเที่ยวเล่นจริงๆนี่คะ แถมตอนอ่านหนังสือยังกินเวลามากด้วย”
ทิวทัศน์ยามเย็นโผล่เข้ามาในสายตาจากภายในรถม้าและเธอก็หันมาและก้มหน้าลงเล็กน้อย
“เพราะงั้น ขอบคุณมากเลยนะคะ”
“ไม่ใช่เรื่องที่น่าขอบคุณอะไรขนาดนั้นหรอกน่า ที่ไปนั่นก็ไม่ได้แค่เพื่อลูน่าคนเดียวด้วยเพราะฉันเองก็อยากไปหอสมุดนั่นเหมือนกัน มีหนังสือที่สนใจอยู่หลายเล่มเลย คราวหลังเดี๋ยวฉันก็คงมาอีก”
“หนีเก่งจังเลยนะคะ ฉันรู้นะว่าถึงคุณจะพูดแบบนั้น แต่คุณก็ให้ความสำคัญกับฉันก่อนเป็นอันดับแรกใช่มั้ยล่ะคะ”
“…..”
ไม่สามารถพูดอะไรไปได้มากกว่านี้เพราะลูน่าพูดจี้ตรงจุดผมจริงๆ
ผมพยายามกลบเกลื่อนโดยการหันไปทางอื่นพร้อมเกาจมูกแกรกๆ
“การออกไปเผชิญโลกภายนอกมันก็ดี แต่ว่าวิธีเอาอกเอาใจผู้อื่นแบบนั้น สักวันหนึ่งมันจะกลายเป็นคุณเองนะคะที่ต้องทุกข์ทนกับวิธีการของตัวเอง”
“เอ๊ะ? หมายความว่าไง?”
“นั่นสินะคะ ก็อย่างเช่น ‘ไว้มาหอสมุดนี่ด้วยกันอีกนะ’ ถ้าฉันพูดแบบนี้ขึ้นมาคุณจะทำยังไงคะ ไม่ว่ายังไงก็ต้องทนรอตั้งแต่เช้ายันเย็น เพราะคุณเป็นคนพูดขึ้นมาเองนี่คะ ว่าคุณเองก็คงจะมาอีกรอบแน่นอนเพราะมีหนังสือที่สนใจอยู่ ”
“อย่างนี้นี่เอง ถ้าในกรณีนั้น มันก็จะดูเสียมารยาทสินะถ้าปฏิเสธไปทั้งๆที่พูดแบบนั้นไปแล้ว ยังไงก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมมาด้วยล่ะนะ”
“ค่ะ”
คำพูดของลูน่าอธิบายได้อย่างชัดเจน
“แต่ก็นะ ถ้าเกิดลูน่าเป็นคนชวนล่ะก็ ไม่ว่าเมื่อไหร่ก็ยินดีมาด้วยความเต็มใจเลยล่ะ ”
“น….”
“ตั้งแต่เช้ายันเย็นเลยสิน้า ถ้างั้นฉันก็คงต้องเอาการบ้านมาทำด้วย พอถึงเวลากินข้าวก็ชวนเธอออกไปกินข้าวด้วยกัน และเพราะว่าเป็นการนัดเจอแบบส่วนตัวก็ยังสามารถคุยกับลูน่าได้ตลอดเลยด้วย ฉันเองก็อยากคุยกับลูน่าเยอะๆเหมือนกัน”
“……..”
ในขณะที่ฟังคำอธิบายของลูน่าเขาก็เริ่มคิดเรื่องนั้นขึ้นมา
การพูดแบบนั้นมันทำให้เขาคิดไปแบบนั้นแล้วจริงๆ อาจจะดีกว่าออกไปเที่ยวเตร่ข้างนอกก็ได้นะแบบนี้
แต่ทว่า ในมุมมองของเบเรต์ สิ่งที่เขาพูดนั้นมันไม่ได้มีความหมายพิเศษอะไรเลย
“แล้วอีกอย่าง เรื่องการออกไปท่องโลกกว้างฉันก็ไม่ได้ถนัดสักเท่าไหร่ด้วย”
“โกหกค่ะ”
“ฉันพูดจริงนา ฉันก็ไม่ได้ใจดีกับทุกคนหรอกนะโดยเฉพาะพวกที่จ้องจะเล่นงานฉัน ถ้าถูกชวนแล้วฉันไม่เอาด้วยก็จะบอกไปตรงๆเลยว่า ไม่ ”
“……”
“จะสนุกหรือไม่สนุกมันก็ขึ้นอยู่กับความเข้ากันได้ของแต่ละบุคคล ถ้าเธอไปกับคนอื่นแล้วรู้สึกอึดอัดครั้งต่อไปเธอก็ไม่อยากไปด้วยแล้วใช่มั้ยล่ะ? เพราะงั้นแหละฉันถึงบอกว่าถ้าไม่ใช่เพราะลูน่า ฉันคงจะไม่พูดว่า ‘ฉันอยากจะไปอีก’ แน่นอน ”
ผมไม่ได้อ่อนแอขนาดที่จะปฏิเสธคำชวนจากคนอื่นไม่ได้ มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่เหรอที่จะอยากเล่นแค่กับคนที่อยากเล่นด้วย
“…ถะ ถ้างั้นก็ไว้มาด้วยกันอีกมั้ยคะ สะ…สองคน……..ที่หอสมุด”
นี่มัน…เหมือนโดนจองตัวไว้ล่วงหน้าเลยแหะ ผมรวบรวมความกล้าผยักหน้าและให้คำตอบกับลูน่าที่มองมาด้วยสายตาคาดหวังว่า ‘แน่นอน’
“ส…สัญญาแล้วนะคะ ห้ามผิดสัญญาเด็ดขาดเลยนะคะ”
“ทางนี้ต่างหากที่อยากจะพูดแบบนั้น”
“แต่ฉันเป็นคนให้คำสัญญานะคะ”
“ไม่ๆ ฉันเป็นคนสัญญากับเธอก่อนนะ”
“ไม่ค่ะ ฉันพูดก่อนค่ะ”
การโต้เถียงกันอย่างไม่ยอมกันดำเนินต่อไปทั้งๆแบบนั้น ขณะเดียวกันคนขับรถม้าก็ได้ยินชัดเต็มสองหูทุกคำพูด เขานั่งคุมบังเหียนม้าพร้อมกับเบ้ปากไปด้วย
หลังจากบทสนทนาจบลง ลูน่าที่สงบลงแล้วก็เริ่มค่อยๆเขยิบมือของตัวเองไปทางมือของเบเรต์อย่างเงียบเชียบ…..
*********
“จะว่าไปแล้ว มื้อเย็นนี้เอาไงดีคะ”
“ฉันว่าจะไปร้านอาหารที่ชื่อเอฟีลน่ะ ได้ยินมาว่ามีชื่อเสียงค่อนข้างดีเลย”
“เป็นร้านของคุณพ่อของคุณหนูเอเลน่าสินะคะ”
“เอ๊ะ? เป็นงั้นหรอกเหรอ!?”
“ค่ะ เป็นหนึ่งในร้านสาขาย่อยของเขาน่ะค่ะ”
คนขับรถม้าเมื่อฟังการสนทนาดังกล่าว ก็หันมามองขณะที่มีรอยย่นปรากฎที่หว่างคิ้วของเขา
หลังจากที่ปลายนิ้วก้อยของเธอสัมผัสกับมือของเบเรต์เล็กน้อย เธอก็หรี่ตาลงด้วยความพึงพอใจ เมื่อเห็นสายตาของคนขับรถม้าเธอก็รีบดึงหมวกมาปิดใบหน้าด้วยความเขินอาย