When I Made The Cheeky Childhood Friend Who Provoked Me With “You Can’t Even Kiss, Right?” Know Her Place, She Became More Cutesy Than I Expected - ตอนที่ 5.1 ช่วงเวลาที่สิ้นหวังกับมิตรภาพที่ขาดสะบั้น
- Home
- When I Made The Cheeky Childhood Friend Who Provoked Me With “You Can’t Even Kiss, Right?” Know Her Place, She Became More Cutesy Than I Expected
- ตอนที่ 5.1 ช่วงเวลาที่สิ้นหวังกับมิตรภาพที่ขาดสะบั้น
คืนวันหนึ่ง ขณะที่ฉันกำลังเดินกลับจากโรงเรียน
ฉันสังเกตเห็นถึงสิ่งที่ผิดปกติบางอย่าง
มีใครบางคนกำลังแอบตามฉันมาอยู่…
พวกสตอกเกอร์หรอ? คนน่าสงสัย? พวกวิตถารโรคจิต? ผี? วิญญาณเจ้าที่? หรือพวกโยไค? ความเป็นไปได้ทุกๆอย่างวิ่งเข้ามาในหัวของฉัน
…ฉันส่ายหน้าเบาๆ
คงแค่คิดไปเองแหละม้างง
ใครคนนั้นอาจจะแค่บังเอิญต้องเดินไปทางเดียวกับฉันแหละ
แค่เดินผ่านหัวมุมนั้นไปได้ก็คงไม่เป็นไรแล้ว…
ด้วยความคิดนั้นในหัว ฉันเดินเลี้ยวผ่านหัวมุมทันที
แต่ไม่ว่ายังไง สิ่งที่ตามติดหลังมาก็ยังไม่หายไป แถมยังรู้สึกว่ามันเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆอีกด้วย
หัวใจของฉันเริ่มเต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ—ความรู้สึกอยากจะวิ่งหนีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
แต่ถ้าฉันเริ่มวิ่งแล้วมันเริ่มไล่ฉันล่ะ? ถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงได้รู้แน่ๆว่าสิ่งที่ตามมาอยู่นั้นเป็นผีหรือคนวิตถารกันแน่
แต่ถ้าเกิดลางสังหรณ์ของฉันเป็นจริง ฉันก็ไม่มั่นใจว่าจะสามารถหนีมันได้
น่ากลัว อยากจะวิ่งหนีเป็นบ้า แต่รู้สึกไม่มั่นใจในตัวเองเลย
ด้วยความคิดนั้นทำให้ขอบตาเริ่มสั่นไหว
“ฉันผิดเอง เพราะงั้น…” “ช่วยฉันด้วย…”
เขาจะกลับบ้านพร้อมฉันตลอด อยู่เคียงข้างฉันเสมอ คอยปกป้องฉัน…ฉันภาวนาให้เพื่อนสมัยเด็กคนนั้นโผล่มาตรงหน้าฉัน
แต่อิบุกิคุงก็ไม่ได้โผล่มา…
สิ่งที่อยุ่ข้างหลังฉัน มันค่อยๆลดระยะห่างเข้าใกล้ขึ้นเรื่อยๆ ทีละนิดทีละน้อย…
มันใกล้เข้ามาแล้ว โดนจับได้แน่ๆ…!
ฉันตั้งรับพร้อมกุมกระเป๋าในมือไว้แน่น…
※
วันหนึ่ง ช่วงพัก ณ โรงเรียนพิเศษ
“คะแนนของชั้นดีขึ้นหล่ะ”
“ฉันด้วย!”
ผม—คาซามิ อิบุกิ และเพื่อนสมัยเด็กของผม ไอริ กำลังไฮไฟว์กันอยู่
“เหมือนว่าคู่สามีภรรยาคู่นั้นจะได้คะแนนดีขึ้นหล่ะ” เด็กผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้าผมเอ้ยขึ้นด้วยความขมขื่น
เด็กผู้ชายคนนั้นมีผมสีน้ำตาล แพร่ออร่าความฉูดฉาดออกมา มีชื่อว่า คาซึฮาระ โซตะ
แม้ว่าสีผมอาจจะเหมือนถูกย้อมมา แต่ความจริงนี่คือสีผมธรรมชาติของเขา
“ทั้งคู่ยังสนิทกันเหมือนเคยเลยนะ” เด็กสาวที่นั่งตรงข้ามกับไอริเอ้ยขึ้น พร้อมยิ้มอย่างมีเลศนัย
เธอมีสีผมสีน้ำตาลอ่อน ให้อารมณ์เงียบสงบ ฮาซึกิ ฮินะ
สีผมของเธอเหมือนจะถูกย้อมมา
พวกเราสี่คนย้ายมาจากโรงเรียนมัธยมต้นเดียวกัน ถึงตอนนี้เราจะเรียนอยู่คนละห้อง แต่ยังไงเราก็ยังเรียนพิเศษที่เดียวกันอยู่ เพราะฉะนั้นพวกเราเลยค่อนข้างสนิทกัน
“ช่วยเลิกเรียกพวกเราว่าสามีภรรยาได้ไหม?”
ไอริกล่าวต่อ “เราไม่ได้คบกันด้วยซ้ำ…แถมเราก็ไม่ได้มีความรู้สึกเชิงนั้นต่อกันสักหน่อย”
คาซึฮาระกับฮาซึกิเบิกตากว้างหลังได้ยินเช่นนั้น
“พวกนายเลิกกันแล้วหรอ?”
“แต่ก็ไม่เห็นมีไรเปลี่ยนไปเลยนี่หน่า”
…เจ้าพวกนี้นี่มัน
สองคนนี้คิดว่าผมกับไอริคบกันจริงๆ
เพราะงั้น ถึงเราจะปฏิเสธไปว่า ‘พวกเราไม่ได้คบกัน’ ไปเท่าไหร่ สุดท้ายก็ไม่ยอมฟังกันหรอก
“เลิกกันบ้าอะไรล่ะ ชั้นว่าชั้นพูดไปหลายรอบแล้วนะว่าเราไม่ได้คบกันตั้งแต่แรกแล้ว”
“ก็นะ มีหลายๆเรื่องเกิดขึ้นด้วย แต่นั่นก็ยืนยันได้แล้วว่าระหว่างเราไม่ได้มีความรู้สึกเชิงชู้ต่อกันเลยแม้แต่นิด”
คาซึฮาระกับฮาซึกะจ้องมองกันพร้อมซุบซิบอะไรบางอย่าง
“(…ปกติก็คงเป็นอย่างงี้กันล่ะมั่ง…?)”
“(…อื้ม ก็คงงั้นแหละ)”
“…ทั้งคู่ ได้พูดอะไรกันรึเปล่านะ?” ไอริกับผมขมวกคิ้วเองโดยไม่ได้ตั้งใจ
“ถ้าอยากจะพูดอะไรก็พูดออกมาตรงๆเถอะ”
ทั้งสองยิ้มตอบกลับ และส่ายหน้าเป็นการปฏิเสธ
“ปล่าวๆ ไม่มีอะไรหรอก ก็แค่สงสัยว่าทำไมต้องปฏิเสธว่าไม่ใช่คนรักกันด้วย…”
“ก็ ทั้งคู่ดูใกล้ชิดกันเกินเพื่อนไปนี่นา อธิบายเรื่องนั้นได้มั้ยล่ะ?”
ทั้งสองจ้องมาด้วยรอยยิ้มฉาบพร้อมชี้นิ้วมาทางพวกเรา
““เพราะเราคือเพื่อนสมัยเด็กกันไง”” ไอริกับผมตอบกลับทั้งคู่ไปพร้อมกัน
เพราะเราเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันก็เป็นปกติอยู่แล้วรึเปล่าที่เราจะสนิทใกล้ชิดกัน แค่สนิทใกล้ชิดกันไม่ได้หมายความว่าพวกเรากำลังคบกันสักหน่อยหนิ
“ถ้าใช้ตรรกะที่ว่าแค่ชายหญิงใกล้ชิดกันแล้วต้องเป็นแฟนกันเนี่ย ก็หมายความว่าพวกนาย…”
“หมายความว่าคาซึฮาระคุงกับฉันเป็นแฟนกัน?”
“…ชั้นไม่ติดอะไรหรอกนะ เต็มใจด้วยซ้ำ”
“อะ…ขอโทษนะ…ฉัน…ไม่ได้หมายความอย่างน—”
“เห้ย อย่าปฏิเสธจริงจังแบบนั้นสิ ชั้นแค่ล้อเล่นเอง!”
“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า!!”
“พวกนายจะหัวเราะมากเกินไปแล้ว!”
ฮาซึกิกับผมตบมือพร้อมหัวเราะออกมาสุดตัว
ซึ้งตอนนี้คาซึฮาระดูแสดงท่าทีไม่ค่อยพอใจออกมา
ผมถอยหายใจเฮือกนึงหลังหยุดหัวเราะ และกำลังจะเปลี่ยนหัวข้อพูดคุย แต่…
“ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าแค่พวกนายใกล้ชิดกันไม่ได้หมายความว่าพวกนายคบกันอยู่”
หลังหัวเราะมาพักนึง ฮาซึกิก็ยกมือเช็ดน้ำตาที่เล็ดออกมานิดๆ แล้วพูดเรื่องเดิมซ้ำด้วยรอยยิ้ม
“แต่ที่สำคัญคือนายน่ะรู้จักอีกฝ่ายในฐานะเพศตรงข้ามมากแค่ไหน…ง่ายๆก็คือ นายน่ะรู้สึกถูกดึงดูดทางเพศรึเปล่า? นายรู้สึกยังไงกับเรื่องนี้ล่ะ?”
ด้วยคำพูดของฮาซึกิ ทำให้ผมใจสั่นนิดหน่อย…
ว่ากันตามความจริงแล้ว การที่ผมจะบอกว่าผมไม่ได้รู้สึกอะไรกับไอริเลยก็คงเป็นการโกหก
แต่ไม่อาจให้ไอริหรือแม้แต่ฮาซึกิล่วงรู้เรื่องนั้นได้
“ตอนชั้นมองไอริ…ชั้นก็คิดว่าเธอเป็นคนสวยนะ แต่ก็นะ…ชั้นเห็นหน้าเธอบ่อยกว่าพ่อแม่ซะอีก ก็แค่รู้สึกสบายใจตอนอยู่ด้วยกันน่ะ”
ผมตอบพร้อมจ้องไปที่หน้าของไอริ และพยายามสงบจิตสงบใจ
“ช่วยใช้เวลาร่วมกับพ่อแม่ของนายให้เยอะกว่านี้เถอะ” ไอริตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่ข่มขื่น ก่อนจะหันมองหน้าผมพร้อมพยักหน้า
“ก็ตามนั้นแหละ ฉันก็แค่รู้สึกปลอดภัยตอนอยู่ด้วย เหมือนเป็นบ้านหลังที่สอง ประมาณนั้นมั้ง”
…ไอริพยายามข่มใจตอบเหมือนผมรึเปล่านะ? หรือเธอรู้สึกแบบนี้จริงๆกัน?
“ช่วยอยู่บ้านตัวเองให้บ่อยกว่านี้เถอะ” ผมตอบด้วยรอยยิ้มเบี้ยวๆ ซึ่งไอริก็ยักไหล่ตอบนิดๆ
“ฉันอยู่บ้านอิบุกิคุงบ่อยกว่าบ้านของฉันเอง…”
“…ชั้นก็ใช้เวลาร่วมกับเธอมากกว่าพ่อแม่”
ผมกับไอริพยักหน้าพร้อมกัน เราทั้งคู่ใช้เวลาร่วมกันมากกว่าสิ่งอื่นใด
“หืมม—”
“ทั้งคู่จู๋จี๋กันตลอด…ถ้าให้เดา ทั้งคู่คงไม่สามารถก้าวข้ามขอบเขตของคำว่า ‘เพื่อน’ ได้สินะ”
“ก็คงงั้นแหละ” คาซึฮาระกล่าวเห็นด้วย “ก็ไม่เคยเห็นคนนั้นทำอะไรเกินคำว่าเพื่อนเลยสักครั้งนี่เนอะ เช่นจูบหรืออะไรแบบนั้น”
คาซึฮาระกับฮาซึกิพยักหน้าด้วยความเห็นชอบ
ผมเผลอตอบสนองกลับโดยไม่ยั้งคิด
“ชั้นไม่คิดว่าการจูบเป็นการล้ำเส้นนะ”
“ค-แค่จูบกันมันไม่ได้หมายความว่าต้องเป็นแฟนกัน…ใช่มั้ยล่ะ?”
ไอริยืนกรานตามผม
ในชั่ววิต่อมา ผมก็ฉุกคิดขึ้นได้ว่าผมนั้นตอบสนองแบบโอเวอร์เกินไป…
“ทั้งคู่จูบกันไปแล้วหรอ?”
ทันทีที่เห็นความลุกลนของเรา ฮาซึกิก็ฉีกยิ้มกว้างออกมา
ไอริกับผมหันหน้าสบตากันโดยอัตโนมัติ
…ใบหน้าของไอริแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงสด
“แค่ครั้งเดียว แค่นั้นแหละ”
ในเมื่อไม่สามารถกลบเกลื่อนได้อีกแล้ว ผมเลยพยายามตอบกลับฮาซึกิอย่างสุขุมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ซึ่งไอริก็พยักหน้าตาม
“…มันก็แค่การทดสอบเฉยๆ เพื่อดูผลลัพธ์…ว่าถ้าเราจูบกัน แล้วรู้สึกใจเต้นอะไรแบบนั้น ก็จะได้รู้ไงว่าเราชอบกัน ใช่มั้ยล่ะ? แล้วสำหรับฉันก็ไม่ได้รู้สึกอะไรเลยสักหน่อย”
….‘แล้วสำหรับฉันไม่ได้รู้สึกอะไรเลยไม่ได้รู้สึกอะไรเลย’ คือสิ่งที่ไอริพูด
อย่างแรกเลยนะ ไม่มีทางที่ไอริจะไม่รู้สึกอะไรเลยแน่ๆ
ผมก้ไม่รู้หรอกว่าเธอใจเต้นหรืออะไรขนาดไหน แต่ตอนนั้นเธอหน้าแดงแถมยังเขินอายสุดๆ
“แต่ชั้นจำได้ว่าเธอเขินสุดๆเลยไม่ใช่หรอ?”
“ห-ห๊ะ? ไม่ได้เขินสักหน่อย! ช่วยหยุดโกหกสักเดี๋ยวจะได้ไหม? หรือนายอยากให้คนอื่นเข้าใจไปทางนั้นกัน?”
ใบหน้าของไอริตอนนี้แดงอย่างกับไฟลุก
…ถ้าเธอบอกว่าเรื่องที่ผมพูดนั่นผมโกหก งั้นผมก็จะทำให้เธอยอมรับออกมาให้ได้
“พูดแบบนั้นทั้งๆที่ไม่กล้าแม้แต่จะสบตาชั้นงั้นเหรอ? แถมตอนนั้นเธอยังดูเลิ่กลั่กสุดๆเลยรึเปล่านะ? ตอนที่ชั้นแกล้งบอกว่าจะจูบอีกรอบน่ะ”
“อ-ไอคนที่เลิ่กลั่กมันนายนั่นแหละอิบุกิคุง…เข้าใจแล้วล่ะ! จริงๆแล้วนายอยากจะจูบฉันแต่แค่ทำครึ่มเหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรใช่มั้ยล่ะ?…แล้วนายก็เคยเข้าใจผิดว่าฉันชอบนายด้วยรึเปล่านะ?”
“หา—!? ม-ไม่ใช่แล้ว!! ไอตอนนั้นน่ะ ตอนนั้นมัน…”
“เอาเถอะ ก็รู้ซึ่งถึงความน่ารักและเปี่ยมเสน่ห์ของตัวเองอยู่ ก็ช่วยไม่ได้ใช่มั้ยล่ะที่ไอเวอร์จิ้นอย่างนายจะมาตกหลุมรักฉัน ก็เป็นวัยรุ่นแล้วหนิเนอะ”
“งั้นก็ตอบชั้นมาหน่อยสิ…ว่าตอนนั้นใครกันที่เขินหน้าแดงแถมยังแทบล้มทรุดไปแบบนั้น? …คนนั้นไม่ใช่เธอเหรอ? หรือที่ชั้นพูดมันผิดตรงไหนรึเปล่า?”
“หว่า—นายนี่มันหลงตัวเองเกินไปรึเปล่า? ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดหมดแล้วเนี่ย”
“นั้นมันคำพูดของชั้นต่างหาก ที่สำคัญกว่านั้นนะ เธอเนี่ยชอบแกล้งทำตัวใสซื่อ เรียบร้อย—อย่างกับคนบ้าเลย เธอนี่มัน Red flag เดินได้ชัดๆ บางทีชั้นก็อาจจะควรเลิกข้องแวะกับเธอนะ”
“หา!? จริงๆแล้วนายรู้สึกแบบนั้นหรอ? ก็ได้ พอแค่นี้แหละ อย่ามาคุยกับฉันอีกแล้วกัน เราไม่ใช่เพื่อนกันอีกแล้ว!” ไอริประกาศกล่าวออกมา พองแก้มแล้วหันหลังหนี
“ได้ โอเค—จะเอางี้ใช่มั้ยล่ะ งั้นชั้นก็จะไม่คุยกับเธออีก”
ผมตะคอกพร้อมหันหลังให้ไอริ
“ทุกอย่างจบลงที่การทะเลาะกันของคู่สามีภรรยาสินะ?”
“นี่ก็คงเป็นปกติของสองคนนั้นละมั้ง เราคงห่วงอะไรเกินเหตุไปแล้วแหละ”
““พวกเราไม่ได้คู่สามีภรรยากันสักหน่อย!!””
※
หลังเรียนพิเศษเสร็จ ดวงอาทิตย์ก็ได้ลับฟ้าไปแล้ว รอบตัวปกคลุมด้วยความมืด ผมเดินไปหาไอริตามปกติ
“ไอริ กลับบ้านกันเถอะ”
“…”
ไม่ว่ายังไงไอริก็ไม่ยอมตอบผมเลย กลับกันเธอมองผมด้วยความไม่พอใจ
เหมือนว่าจะยังโกรธเรื่องก่อนหน้าอยู่…
“ยังโกรธอยู่หรอ?”
ไอริหันหน้าหนีแถนคำตอบของเธอ พร้อมมองออกไปที่ไหนสักแห่ง แสดงออกชัดเจนว่าพยายามเลี่ยงไม่คุยกับผมให้นานที่สุดเท่าที่ทำได้
“เราไม่ใช่เพื่อนกกันอีกแล้ว เพราะฉะนั้นฉันก็จะไม่คุยกับนาย! …แต่ถ้านายยอมขอโทษดีๆ ให้เหมือนว่าชีวิตกำลังแขวนอยู่บนเส้นด้ายล่ะก็ ฉันก็ไม่ได้บอกว่าจะไม่ยกโทษให้หรอกนะ” เธอพูดพร้อมแสยะยิ้ม
ตามคาด สถานการ์ณตอนนี้ไม่เหมือนที่ผ่านๆมา ถ้าเป็นแต่ก่อนเธอคงจะเมินเฉยแล้วติดเล่นนู้นนี่แทนที่จะมานั่งทำอารมร์บูดบึ้งอย่างนี้
จริงๆเธอก็แค่กำลังแกล้งผมเล่นนั้นแหละ
ไม่ใช่ว่าไอริพึ่งทำอะไรแบบนี้เป็นครั้งแรกหรอก ถ้าเป็นปกติผมคงยอมแพ้แล้วขอโทษออกไปดีๆ แล้วทุกอย่างก็คงกลับสู่สภาวะปกติ
“ขอโทษนะไอริ เป็นความผิดของชั้นเอง”
“ให้ตายสิ ช่วยไม่ได้เลยนะ—”
“—ที่ชั้นแค่พูดความจริง”
พอเห็นไอริทำท่าที่กวนโอ้ยอย่างงี้แล้วมันทำให้ผมอยากกวนเธอกลับ ผมเลยเติมเชื้อไฟลงไปเพิ่ม
ไอริแสดงสีหน้าตกใจ จากนั้นก็…
“…เช๊อะ”
ไอริพองแก้มแล้วหันหน้าหนี เหมือนพยายามจะสื่อว่า ‘ฉันโกรธอยู่นะ’
ผ่านไปสักพัก เธอยังคงแอบลอบมองมาทางผมคล้ายกำลังสังเกตท่าที
‘แค่อีกนิดเดียวเอง! …รีบๆขอโทษฉันได้แล้วสิ!’
…นั้นคงเป็นที่สีหน้าของเธอแสดงออก แต่จนกว่าเธอจะเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน ผมก็ไม่คิดจะขอโทษหรอก
“รีบกลับบ้านกันเถอะ” ผมพูดพร้อมก้าวเท้าออกเดิน
“…เช๊อะ”
ไอริส่งเสียงออกมาโดยตั้งใจแน่ๆ แล้วเริ่มเดินตามผม
…ถ้าไอริไม่พอใจขนาดนั้น เธอคงเลือกจะเดินกลับบ้านเองคนเดียว
แต่ยังไงผมก็ไม่อาจปล่อยให้เธอเดินคนเดียวตอนฟ้ามืดแบบนี้ได้หรอก ถ้าเธอทำแบบนั้นจริงๆผมก็คงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากขอโทษเธอตรงๆ
“…เช๊อะ!”
…เธอคงพยายามเรียกร้องความสนใจจากผม เธอส่งเสียงเรียกร้องแบบนั้นมาตลอดทาง
“ได้พูดอะไรรึเปล่า?”
พอผมกล่าวถามออกไป…
“…”
…แต่รอบนี้เธอเงียบไม่พูดอะไรใดๆ
ระหว่างทางไม่ได้มีบทสนทนาใดๆ เรานั่งรถไฟและได้ลงสถานีที่อยู่ใกล้กับบ้านของเราที่สุด ซึ่งเป็นชนบทที่อยู่ไม่ไกลจากเมืองใหญ่มากนัก เพราะฉะนั้นหหลังเดินออกจากสถานีมาไม่ไกลรอบข้างก็มืดสนิทแล้ว
“…”
ก่อนผมจะรู้ตัว ไอริก็เคลื่อนตัวมาเดินข้างผมแล้ว เธอยังคงกลัวความมืดไม่เปลี่ยน
ถ้ากลัวขนาดนั้น ก็ไม่อยากให้ดื้อดึงขนาดนี้เลยน้า
“หว่า!”
ผมหยุดเดินพร้อมขึ้นเสียงนิดหน่อยคล้ายพึ่งนึกขึ้นได้ว่าลืมของสำคัญบางอย่าง
ไอริที่เดินอยู่ข้างผมก็หยุดเดินไปด้วย พร้อมมีสีหน้าสงสัยปรากฏบนใบหน้า
“พอดีชั้นลืมของน่ะ ช่วยรอแป้ปนึงได้ไหม?” ผมเอ้ยถามออกไป ก่อนจะกล่าวเสริมไปว่า “…ถ้าเหงาก็จะรอชั้นก็ได้”
“…เช๊อะ!”
ไอริหันหน้าหนี คล้ายจะบอกว่า ‘อยากจะทำอะไรก็ทำสิ’ แล้วเหลือบมองมาทางผมด้วยสีหน้าไม่สบายใจแปลกๆ
“แต่ถ้าอยากกลับไปก่อน ก็ล่วงไปก่อนเลยก็ได้”
ด้วยเหตุนั้น ผมปล่อยไอริที่กำลังกระวนกระวายไว้ข้างหลังแล้วออกตัวเดินไปทิศทางตรงข้าม
เอาหล่ะ ถ้าเป็นแบบนี้เธอจะตามผมมารึเปล่า? หรือเธอจะยังคงทำตัวดื้อดึงแบบนี้ต่อไป?
ไอริเลือกที่จะทำอย่างหลัง
ผมเดินเลี้ยวผ่านหัวมุมแล้วหยุดเดินเมื่อพ้นสายตาของไอริ
“…ฮื้ม แล้วชั้นควรเอาไงต่อดีนะ?”
หลังพึมพัมกับตัวเองสักพัก ผมก็ตัดสินใจว่าจะคอบแอบสังเกตการ์ณเธอจากไกลๆแบบนี้ไปเรื่อยๆ
ผมไม่ได้ลืมของจริงๆหรอก ผมแค่โกหกออกไปเพื่อหาจังหวะเอาคืนไอรินิดหน่อย
แผนของผมคือการปล่อยไอริอยู่คนเดียวสักพัก แล้วคอยแอบคอยสังเกตว่าเธอจะทำยังไงเมื่อเธอเริ่มรู้สึกเหงา ถ้าให้เดาก็คงส่งข้อความมาหาผมแล้วถามว่า ‘จะกลับมาเมื่อไหร่?’
แต่ยังไงก็ตาม
“…ไอริทนได้นานกว่าที่คิดแหะ”
ไอริเริ่มออกเดิน ซึ่งมันตรงข้ามกับสิ่งที่ผมคิดไว้
แน่นอนว่าผมจะไม่ปล่อยให้เธอเดินคนเดียว…ฉะนั้นผมจึงแอบค่อยๆติดตามเธอไปเรื่อยๆ
มันคงจะรู้สึกแปลกๆถ้าผมเดินไปบอกเธอตรงๆว่าจริงๆแล้วผมโกหก ฉะนั้นการค่อยๆแอบตามไปโดยที่ไอริไม่รู้ตัวนั้นจะเป็นการดีที่สุด แต่ในขณะที่กำลังแอบตามเธอไปอยู่นั้น ก็มีความปราถนาบางอย่างที่ชั่วร้ายก่อตัวขึ้นในห้วงลึกของจิตใจ ผมอยากรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดผมแอบเข้าใกล้เธอไปทีละนิดแล้วเซอร์ไพรส์เธอจากด้านหลัง…
ผมรู้สึกขัดแย้งในใจนิดหน่อย ในแง่นึงผมก็รู้สึกไม่ดีแต่ในอีกแง่เธอก็เป็นที่คอยแกล้งผมมาตลอดเหมือนกัน ดั้งนั้นคงไม่เป็นไรถ้าผมแกล้งเธอกลับบ้าง
(…เอาหล่ะ)
ผมเลือกอย่างหลัง
ผมค่อยๆเข้าใกล้ไอริทีละนิดๆ
ก่อนจะเดินผ่านหัวมุมที่แสงไฟรอบข้างค่อนข้างมืด…
“แฮ่…!”
“ไม่นะ—!! อิบุกิคุง! ช่วยฉันด้วย!!”
“อ-อั่กกก!!!”
รู้สึกเหมือนมีบางอย่างตบเข้าที่หน้าผมอย่างแรง
ก่อนผมจะรู้สึกตัว ตอนนี้ผมก็ล้มลงกับพื้น
พอความเจ็บปวดเริ่มทุเลาลง ผมก็ค่อยๆเงยหน้าขึ้น
ไอริยืนกำกระเป๋าอยู่ในมือด้วยท่าทีงุนงง
“…อ-เอ๋? อิบุกิคุง?”
ผมทำให้เธอตกใจสำเร็จ แต่ผมก็โดนโต้กลับเต็มแรงเหมือนกัน
ความรู้สึกผิดเริ่มคืบคลานเข้ามาในใจผม ผมทำได้เพียงส่งรอยยิ้มฝืดๆให้ไอริด้วยความอึดอัดใจ
“อ-อ่า ชั้นเอง”
“อย่าทำให้กลัวฉันแบบนั้นสิ…”
ไหล่ของไอริค่อยๆคลายลง เธอจ้องมองมาที่ผมก่อนจะค่อยๆลดระยะห่างระหว่างเรา
“ข-ขอโทษ…ชั้นติดเล่นมากไปหน่อยน่ะ”
“…”
“ขอโทษ…ขอโทษจริงๆ…ขอโทษจากใจจริงๆ ชั้นรู้สึกผิดแล้ว”
“…”
ไอริยกมือขึ้น ไม่กล่าวอะไรใดๆ ผมคงไม่มีทางเลือกอื่นแล้วนอกจากรอรับแรงกระแทกและเตรียมใจโดนเธอเฆี่ยน แต่ว่า…
“….ให้ตายสิ”
กำปั้นของไอริกระแทกเข้ามาที่หน้าอกของผมเบาๆ
ก่อนจะซุกหัวเข้ามาอย่างอ่อนโยน เธอใช้มือจับไหล่ของผมทั้งสองข้าง แล้วกดหน้าผากลงกับตัวผม
“…ไอริ?”
“ *ฟุดฟิดๆ* …”
ผมได้ยินเสียงดมอะไรบางอย่างจากตัวไอริ
“ฉันกลัวมากเลยนะ…”
เธอค่อยๆเงยหน้าขึ้นมา
ดวงตาชุ้มไปด้วยน้ำตา
“…ฉันไม่ได้ร้องไห้”
ไอริขยี้ตาตัวเอง
ไม่ว่าจะมองยังไง เธอก็ร้องไห้อยู่ชัดๆ
ผมไม่ได้โง่ขนาดจะหยอกเธอไปอีกว่า ‘ไม่อะ เธอร้องไห้อยู่ชัดๆ’ แล้วผมก็ไม่ได้อยากจะแกล้งเธอไปมากกว่านี้แล้ว
“อ่า…”
“…อื้ม”
“เออ…ไอริ”
“…หึ ว่าไง?”
“ชั้นเล่นแรงไปหน่อยน่ะ…ขอโทษนะ”
ผมทำให้ไอริเจ็บปวด….ผมทำให้เพื่อนสมัยเด็กคนสำคัญร้องไห้
ในอกของผมถูกบดขยี้ไปด้วยความเสียใจและรู้สึกผิด
ผม…อยากจะให้ไอริยกโทษให้ผม
“อยากจะให้ยกโทษให้รึเปล่า?” ไอริถามผมก่อนจะยิ้มเบาๆ
“อื้ม ชั้นอยากให้เธฮยกโทษให้”
“จะยอมทำทุกอย่างรึเปล่า?”
“ชั้นจะยอมทำทุกอย่างเลย”
“จริงหรอ?”
“จริงสิ จริง”
“หื้มม…งั้นก็…”
ไอริยกมือสัมผัสคางครุ่นคิดสักพัก ก่อนจะยิ้มออกมา
“ซื้อไอศกรีมให้ฉันหน่อย”
“เข้าใจแล้ว”
“…ห๊ะ ทำจริงหรอ?”
…ไม่รู้เพราะอะไร ทั้งๆที่เป็นคนขอ ทำไมต้องตกใจขนาดนั้นกันนะ?
อาจจะเพราะเธอแค่หยอกเล่นเฉยๆ…แต่ผมดูจริงจังตอนผมพูดว่าผมจะยอมทำอะไรก็ได้
“ถ้าทำให้เธอยกโทษให้ชั้นก็เต็มใจ”
“…งั้นฉันซื้ออันที่แพงได้สินะ”
“แน่นอน”
“ฮิฮิ แจ็คพ็อตแตกล่ะ”
ไอริยิ้มออกมาอย่างมีความสุข
※
พวกเราเดินอ้อมเล็กน้อยเพื่อไปยังร้านสะดวกซื้อ ไอริเลือกหยิบไอศกรีมที่มีราคาแพงที่สุดโดยไร้ความปราณี
“อื้มม~ ไอศกรีมที่เพื่อนสมัยเด็กซื้อให้นี่มันอร่อยจริงๆ~”
ไอริกินไอศกรีมอย่างมีความสุขขณะเราทั้งคู่กำลังนั่งอยู่บริเวณลานจอดรถ กว่าจะรู้ตัว บรรยากาศที่แสนกระอั่กกระอ่วมก่อนหน้าก็ได้มลายสลายหายไปหมดแล้ว
ผมรู้สึกขอบคุณที่เธอยอมปล่อยผ่านเรื่องก่อนหน้าทั้งหมด
“รีบกินเร็วๆสิ”
“ค้าบ ค้าบ”
ไอริเคลื่อนไอศกรีมเข้าไปใกล้ๆปากแต่แทนที่จะจ้องที่ไอศกรีม เธอหันมามองหน้าของผมแทน
“มีอะไรหรอ?”
“เออ…”
หลังลังเลอยู่สักพัก ไอริก็หันหนีผม
“…ขอโทษที่ทำตัวดื้อดึงนะ” ไอริพึมพัมเบาๆ
“ถ้าเกี่ยวกับเรื่องนั้น…ชั้นเองก็เหมือนกัน”
“งั้นก็ ถือว่าหายกันแล้วนะ”
หลังพูดแบบนั้น ไอริตักไอศกรีมขึ้นมาแล้วหันมามองผม
“อิบุกิคุง”
“ว่าไ—อั่ม”
ไอริยื่นช้อนเข้าปากผมตอนผมกำลังเปิดปากพูด กลิ่นหอมหวานของวานิลลาแผ่กระจายไปทั่วปากของผม
“อร่อยมั้ย?”
“อร่อย แต่…”
ไม่ใช่ว่านี่คือการจูบทางอ้อมหรอ…?
(Tl/ มาห่วงอะไรตอนนี้น้ออ)
ความคิดนั้นแวบเข้าหัวมาชั่วครู่ แต่เหมือนไอริก็จะไม่ได้สนใจเรื่องนั้น เธอยิ้มออกมาชื่นมื่น
“สัญลักษณ์แห่งคำขอโทษของฉันไง”
“…แต่ว่านั่นมันเงินของชั้นนะ”
ด้วยคำพูดของผม ไอริหัวเราะออกมาเบาๆ ด้วยความภูมิใจเพราะเหตุบางอย่าง
“ในเมื่อฉันได้มาแล้ว มันก็เป็นของฉันแล้วสิ…เรื่องนั่นมันแปลกตรงไหน?”
“เปล่า ที่เธอพูดก็ถูกแหละ”
พวกเราหัวเราะออกมาพร้อมกัน
หลังไอริกินไอศกรีมเสร็จเราก็เริ่มออกเดินกลับบ้านอีกครั้ง—แต่ครั้งนี้เราเดินด้วยกัน
“นี่ อิบุกิคุง”
“ว่าไง?”
“ขอบคุณสำหรับตลอดมานะ”
“…จู่ๆพูดอะไรเนี่ย เป็นอะไรรึเปล่า?”
พอผมถามกลับ ไอริก็จับมือผมเบาๆอย่างอ่อนโยน
ความอบอุ่นจากมือที่ซีดเซียวของเธอค่อยแผร่กระจายเข้าสู่มือของผม
“ไม่มีอะไรหรอก ก่อนหน้าฉันแค่ เข้าใจความรู้ของการสูญเสียสิ่งที่สำคัญของฉันมากๆไปน่ะ”
“…”
แม้จะเป็นเพียงชั่วขณะ แต่การเดินกลับบ้านคนเดียวตอนกลางสำหรับไอริก็เป็นประสบการ์ณที่น่าหดหู่ใจ
ความรู้สึกผิดเริ่มถาโถมเข้ามาในตัวผมอีกครั้ง
“ฉะนั้นแล้ว…ขอบคุณเหมือนเคยนะ แล้วก็ไปกันเถอะ”
“อ่า เข้าใจแล้ว”
ผมตอบรับด้วยการพยักหน้าอย่างแรง
มันอาจจะหลุดคาแรคเตอร์ผมไปหน่อย แต่ผมรู้สึกจากห้วงลึกภายในจิดใจว่าผมต้องเป็นคนที่จะปกป้องไอริ
“อย่าทำให้ฉันกลัวแบบนั้นอีกนะ” ไอริร้องขอ
“…จะเก็บไปคิดนะ”
“หลังแต่งงานฉันก็ยังจะพึ่งพานายนะ”
“อ่า เข้าใจ—”
ผมเกือบพยักหน้าโดยไม่ไต่ตรองซะแล้ว
“…นี่เธอหมายความว่าไงกัน?”
หมายความว่าต่อให้ใครสักคนนึงแต่งงานไปแล้ว เราจะยังคงเป็นเพื่อนสมัยเด็กกันหรอ…?
หรือว่า…
“ฮ่าฮ่าฮ่า”
ไอริหัวเราะอย่างมีความสุข
เธอปล่อยมือผมแล้วเดินนำหน้าไปนิดนึง ก่อนจะหันหลังหลับมา
“แค่ล้อเล่น!”
แล้วส่งยิ้มที่แสนน่ารักให้กับผม
(Tl/ หายไปเกือบสองอาทิตย์เลยครับ มีเรื่องหงุดหงิดนิดหน่อยก็เลยไม่มีอารมณ์แปล 55555555
ตอนนี้ชนอิ้งค์นะครับ เขายังแปลถึงบท 5 น่าจะอีกสักพักกว่าบทที่เหลือจะตามมา ผมก็คงจะหยุดรอเหมือนกันเพราะถ้าจะให้ไ ปแปลจากนิฮงโกะล่ะก็คงไม่ไหวครับ 55555555
ระหว่างนี้ผมกะจะไปแปลอีกเรื่องรอ คงยังไม่ได้อัพลง Neko ถ้าแปลไปได้สัก 4-5 บทจะมาไล่ลงครับ
เหมือนเดิมครับ งานแปลนี้แปลจาก Eng FTL: Fungus Translations นะครับ)