Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1412 ไป๋เฉิน
คล้อยหลังรัศมีแสงสีขาวสลายหายไป เย่หยวนก็ค่อยๆลืมตาขึ้นอย่างแช่มช้า เจาะลึกในแววตาเผยถึงความตื่นเต้นสุดพรรณนาไม่
“มันได้ผล!”
ปัจจุบัน เย่หยวนไม่รู้สึกถึงเต๋าแห่งดินแดนนภาบรรพตที่ปฏิเสธเขาอีกต่อไป!
“นี่เจ้าคิดได้อย่างไร? ใช้หุบเขาถงเทียนจำลองสร้างรัศมีเลียนแบบกลิ่นอายของศาสตร์แห่งสวรรค์ในดินแดนนภาบรรพต!” หวูเฉินอุทานลั่นด้วยความประหลาดใจ
“เหอะ พิภพยุทธจักรถูกสร้างขึ้นโดยยอดเซียนที่บรรลุเต๋าจากหุบเขาถงเทียนอีกหนึ่ง ดังนั้นการที่พ่อแม่จะเลียนแบบกลิ่นอายลูกตัวเองย่อมมิใช่เรื่องยาก ข้าจึงพยายามสื่อสารกับหุบเขาถงเทียนจำลองให้สร้างรัศมีเลียนแบบขึ้นมาปกคลุมร่างกายของข้าอีกชั้นหนึ่ง แต่คาดไม่ถึงเช่นกันว่าจะได้ผลจริงๆ” เย่หยวนเอ่ยกล่าวขึ้นพร้อมท่าทีแสนตื่นเต้น
หวูเฉินพูดอะไรไม่ออก เจ้าเด็กคนนี้มักจะมีความคิดแปลกๆออกมาอยู่เสมอ และทำให้เขาประหลาดใจไม่รู้จบซึ่งนี่ก็เป็นอีกครั้งที่เย่หยวนทำให้เขาประหลาดใจได้สำเร็จ
ด้วยขุมพลังแห่งหุบเขาถงเทียนจำลองที่ปกป้องเขาอยู่นี้ ไม่ว่าดินแดนนภาบรรพตจักกว้างใหญ่ไพศาลเพียงใด เขาย่อมสามารถท่องทั่วยุทธภพได้อย่างอิสรเสรี! ต่อให้เซียนอาณาจักรบรรชนพระเจ้ายืนอยู่ตรงหน้าเย่หยวน แค่คนพวกนั้นก็ไม่มีทางจับผิดเขาได้เช่นกัน
เย่หยวนค่อยๆ เร่งพลังเข้ากดดันขุมพลังอาณาจักรพระเจ้าภายในร่างจนมันค่อยๆ จางหายไปในท้ายที่สุด ในไม่ช้ารัศมีกลิ่นอายเซียนอาณาจักรพระเจ้าทั้งหมดก็สลายโดยสิ้น เย่หยวนในตอนนี้ไม่ต่างอะไรจากคนธรรมดาทั่วไปคนหนึ่งเลย ด้วยเหตุนี้ เย่หยวนยิ่งมั่นใจเข้าไปใหญ่ว่า หากพบเจอเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้า แม้แต่เซียนระดับชั้นนั้นก็ไม่มีทางมองเขาออกแน่นอน หากต้องการทำตัวให้กลมกลืนกับดินแดนแห่งนี้ เป็นการดีที่สุดที่เขาแสร้งทำเป็นคนธรรมดาไร้ภูมิหลังอันใด
อันที่จริงแล้ว สถานศึกษาหวูเมิ่งเองก็มีข้อมูลเกี่ยวกับดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้น้อยมาก นี่จึงเป็นอีกสาเหตุสำคัญที่เย่หยวนจำต้องพรางตัวแบบนี้ ก่อนที่จะตามหาศิลาชีวิตนิจนิรันดร์ จำต้องรู้จักดินแดนนภาบรรพตให้มากกว่านี้เป็นอันดับแรก
เมื่อกล่าวจบเย่หยวนก็ใช้ก้าวพริบตาออกมา ร่างไสวอันตรธานหายไปจากจุดที่ยืนอยู่เมื่อครู่ทันที
ภายในป่าอันกว้างใหญ่ เย่หยวนยังคงเดินเล่นอยู่บริเวณทุ่งเปิดโล่ง แต่ในความเป็นจริงคำว่า‘เดินเล่น’ก็เร็วจนระดับสายตาของคนทั่วไปมองตามไม่ทันแล้ว!
ปราดทะยานห่างออกไปนับพันลี้
“หื้ม?”
ทันทีทันใด ร่างของเย่หยวนพลันหยุดชะงักลงทันที
เมื่อมาถึงดินแดนนภาบรรพตแห่งนี้ ญาณสัมผัสของเขาก็กลับมาทรงพลังแผดขยายกว้างไพศาลอีกครั้ง เสี้ยวพริบตาเขาก็สัมผัสได้ว่ามีกลุ่มคนจำนวนหนึ่งอยู่เบื้องหน้า ในขณะเดียวกัน เย่หยวนก็สัมผัสได้เช่นกัน คล้ายว่ามีอสูรระดับชั้นอาณาจักรพระเจ้าสุดแกร่งกร้าวตัวหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้เหมือนกัน
“อสูรปีศาจอยู่ทางนั้น! ท่านอาจารย์โม่หยุน ในครานี้ข้าจะต้องจับอสูรปีศาจตนนั้นและทำให้เชื่องได้แน่นอน! โปรดอย่าแทรกมือช่วยเหลือ!” เสียงชายหนุ่มดังขึ้น
“หุหุ โม่หยุนคนนี้เชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของนายน้อยไป๋เฉิน! หากไม่วิกฤติจริงๆ ข้าไม่ไปแทรกแซงแน่นอน!” โม่หยุนกล่าวขึ้นพลางหัวเราะเล็กน้อย
เขาตระหนักดีว่านายน้อยไป๋เฉินผู้นี้มีความสุขกับความภาคภูมิในตนเองแค่ไหน ทว่าไม่นานมานี้กลับต้องพ่ายให้แก่อสูรปีศาจตนนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า ซึ่งนี่ทำให้นายน้อยมุ่งมั่นฝึกปรือเป็นเท่าตัว อย่างไรก็ตามแต่ พรสวรรค์ของนายน้อยไป๋เฉินก็ช่างน่าทึ่งนัก ภายในระยะเวลาไม่ถึงหนึ่งปี นายน้อยไป๋เฉินก็แข็งแกร่งขึ้นอย่างมากภายใต้แรงกดดันที่อสูรปีศาจตนนี้มอบให้
“ท่านอาจารย์โม่หยุนคราวนี้ต้องไม่ซ้ำรอยดั่งคราก่อน ข้าได้สร้างบาดแผลให้มันไว้แล้ว เผด็จศึกไม่มีพลาด!” ไป๋เฉินกล่าวขึ้นพร้อมสายตาอันมุ่งมั่น
“ฮ่าๆ นายน้อยไป๋เฉินต้องทำได้แน่นอน! แต่หากเกิดอุบัติเหตุอันใดขึ้นที่เกี่ยวพันถึงชีวิต เกรงว่าข้าเองก็ต้องดำเนินการเช่นกัน!” โม่หยุนหัวเราะคำหนึ่งพร้อมเอ่ยตอบ
“นายน้อยต้องทำสำเร็จแน่นอน! คราวนี้ต้องเอาชนะเจ้าอสูรปีศาจนั้นให้ได้!”
“นายน้อยทำได้!”
“นายน้อยทำได้!”
…
พ่วงท้ายคล้อยหลังทั้งสองปรากฏเป็นเหล่านักสู้หลายคนที่กำลังตะโกนให้กำลังใจไป๋เฉิน ไป๋เฉินยิ้มอย่างภาคภูมิใจพร้อมพุ่งเข้าใส่อสูรปีศาจตนนั้นทันที
“โฮกกก!”
ขณะที่ไป๋เฉินกำลังปราดพุ่งเข้าใส่อสูรปีศาจ มันก็คำรามอย่างบ้าคลั่งและกระโจนใส่เย่หยวนราวกับต้องการขย้ำให้ตาย แต่เดิมก่อนหน้า เนื่องจากมีต้มไม้ใบหญ้าบดบังทัศนวิสัยจากระยะไกลอยู่จึงไม่ทันสังเกตเห็น ทว่าเมื่อไป๋เฉินตรงเข้ามาใกล้ก็พบว่ามีเยาวชนหนุ่มอีกคนยืนอยู่ และอสูรปีศาจตนนั้นก็กำลังพุ่งใส่เย่หยวน ไป๋เฉินพลันวิตกกังวลหนัก เขากลัวว่าอสูรปีศาจตนนี้จ้องจะตะครุบเย่หยวนอยู่
“หยุดเดี๋ยวนี้! ปล่อยเขาออกมาซะ!”
ไป๋เฉินคำรามลั่นเสียงกึกก้อง พร้อมพุ่งเข้าใส่ด้วยความเร็วประดุจสายฟ้า
ในอีกด้าน เย่หยวนยังคงฉงนใจนึกอยู่ สัตว์ประหลาดรูปร่างคล้ายสิงโตตัวนี้คือสิ่งมีชีวิตประเภทไหน ไฉนเขาถึงไม่รู้จักมันมาก่อน แม้พินิจจากรูปร่างลักษณ์ทางกายภาพจะคล้ายคลึงกับอสูรหรืออสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เขาเคยพบเจอ แต่กลิ่นอายของมันกลับมิได้จัดอยู่ในเผ่าพันธุ์อสูร มันช่างแตกต่างโดยสิ้นเชิง
ไป๋เฉินโหมกระหน่ำรีดเร้นระดมพลังเต็มสูบ กระชับทวนศักดิ์สิทธิ์เข้าปะทะกับอสูรปีศาจโดยไม่เกรงกลัว ยามนี้ศึกสัประยุทธ์เดือดระหว่างไป๋เฉินกับอสูรปีศาจก็เริ่มเปิดฉากขึ้นทันที
ทันทีที่สบโอกาส เขาเสียบทวนทะลวงร่างของอสูรปีศาจตนนั้นทันที ก่อนเร่งระดมพลังปราณผนึกเป็นทวนอีกอันซ้ำกระหน่ำใส่อย่างไม่ลดละซ้ำแล้วซ้ำเล่า เมื่อไป๋เฉินเห็นภาพฉากนี้ เขาก็รู้สึกตื่นเต้นอย่างมาประหนึ่งว่าตนได้เติบโตขึ้นไปอีกขั้นในขณะที่ต่อสู้
ในขณะนั้นเองโม่หยุนและคนอื่นๆเองก็เร่งตรงมายังจุดที่ทั้งสองฝ่ายต่อสู้อย่างดุเดือด ทันทีที่พวกเขาเห็นเย่หยวนยืนอยู่ตรงนั้น ทุกคนก็อดตะลึงมิได้ ก่อนหน้านี้พวกเขาสัมผัสได้เพียงกลิ่นอายสุดแกร่งกร้าวสองสาย ซึ่งนั้นมาจากไป๋เฉินและอสูรปีศาจ นอกเหนือจากทั้งสองก็ไม่มีใครรู้สึกได้ถึงกลิ่นอายใดๆ อีกแม้แต่ร่องรอยก็ไม่มีแม้สักนิด
แต่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อนเลยว่ายังจะมีอีกคนอยู่ที่นี่ซึ่งก็เป็น…คนธรรมดา
โม่หยุนเหลียวหลังมองเย่หยวนพร้อมปรับขนาดสายตาพินิจโดยละเอียด แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร เย่หยวนก็เป็นเพียงคนธรรมดาเท่านั้น
บูมมม!
จากนั้นไม่นาน ทวนยาวของไป๋เฉินก็เข้าปิดฉากอสูรปีศาจตนนั้นจนสิ้นฤทธิ์ล้มลงทันที เมื่อเหล่าศิษย์สาวกเห็นภาพฉากนี้ ทุกคนต่างปรบมือให้พร้อมเสียงชื่นชมมากมาย
“สุดยอด!”
“นายน้อยไป๋เฉินปิดฉากได้อย่างสวยงาม!”
“นายน้อยปิดฉากเลย!”
…
เมื่อคนเหล่านี้เห็นว่าเย่หยวนเป็นเพียงคนธรรมดา
พวกเขาก็มองข้ามมิได้สนใจอะไร ‘เจ้าหนุ่มคนนี้อยู่ที่นี่ตั้งแต่เมื่อใดกัน?’ คู่คิ้วของโม่หยุนพลันขมวดขึ้นเล็กน้อย ดูเหมือนว่าเขากำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่าง
ไป๋เฉินเปิดฉากโจมตีปิดโอกาสอสูรปีศาจมิให้ตอบโต้ได้เลยแม้แต่น้อย เขาอ้าปากกว้างกวาดเอาอากาศเข้าปากอย่างบ้าคลั่งเพราะเหนื่อยหอบ ทันใดนั้นปลอกคอสีทองคำก็ปรากฏขึ้นในมือของเขา
“อัญเชิญ!”
ไป๋เฉินขึ้นปลอกคอสีทองคำขึ้นมาพร้อมพึมพำอะไรบางอย่าง ก่อนจะโยนออกไปคล้องคออสูรปีศาจตนนั้นโดยตรงอสูรปีศาจในตอนนี้ไร้ซึ่งเรี่ยวแรงแม้แต่จะขัดขืน มันทำได้เพียงนอนสิ้นท่าเฝ้ามองไป๋เฉินอย่างสิ้นหวัง
“ฝากมันไว้กับพวกเจ้าด้วย”
ไป๋เฉินเอ่ยสั่งเสียงดังกับเหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามมา แต่แล้วก็หันไปหาเย่หยวนพร้อมตบไหล่เบาๆและยิ้มกล่าวว่า “เจ้าหนูคงหวาดกลัวมาใช่ไหม? ไม่เป็นไร นายน้อยปราบมันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว! แต่หากเมื่อครู่ข้ามาช้ากว่านี้ เกรงว่าเจ้าคงกลายเป็นอาหารในท้องมันไปแล้ว!”
เย่หยวนยิ้มตอบเล็กน้อยและกล่าวว่า “ขอบคุณอย่างยิ่งที่นายน้อยไป๋เฉินช่วยชีวิตข้า”
‘ข้าก็มิได้แสดงอาการตื่นกลัวอันใดเสีย? กลับกันเลยข้ากำลังจะศึกษาว่าสัตว์ประหลาดเมื่อครู่คือตัวอะไรกันแน่? ตอนนี้เจ้านั้นกลับตีตัวเองว่าเป็นผู้ช่วยชีวิตไปเสียแล้ว?’
แต่แน่นอนว่าเย่หยวนมิได้เอ่ยกล่าวอะไรออกมา เพียงตามน้ำอีกฝ่ายมิให้เป็นที่สงสัย
ไป๋เฉินโบกมือปัดไปมากลางอากาศและกล่าวว่า “ไม่จำเป็น ไม่จำเป็น นี่นับเป็นเรื่องเล็กน้อยนักไม่ควรค่าจะเอ่ยถึง! แต่นายน้อยผู้นี้เองขอนับถือในความกล้าของเข้าเลยจริงๆ กลางป่าพฤกษารกร้างแห่งนี้เต็มไปด้วยอันตรายหลายหลาก แม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้ายังไม่อยากจะเข้าใกล้มากนัก แต่เจ้าเป็นเพียงคนธรรมดาแท้ๆ ทว่าหาญกล้าไม่กลัวตาย!”
เย่หยวนเพียงยิ้มตอบแต่มิได้กล่าวอะไร
ไป๋เฉินที่สุดท้ายก็สามารถจัดการอสูรปีศาจตนนี้ได้สำเร็จ จึงทำให้ตอนนี้เขาอารมณ์ดีอย่างมากและกล่าวต่อว่า“ช่างเถอะ นายน้อยผู้นี้อารมณ์ดีมิใช่น้อย เช่นนั้นข้าจะพาเจ้าออกไปด้วยกัน! มาเถอะ!”
เย่หยวนประสานมือกล่าวขอบคุณว่า “เช่นนั้นต้องรบกวนนายน้อยไป๋เฉินแล้ว”
“ฮ่าๆ เจ้าเด็กนี่โชคดีจริงๆ! ดันวิ่งมาเจอนายน้อยไป๋เฉินในวันที่ออกมาฝึกพอดี! มิฉะนั้นเจ้าคงเหลือแต่กระดูกแล้ว!”
“หลังออกจากป่าพฤกษารกร้างได้ เจ้าอย่าลืมขอบคุณนายน้อยไป๋เฉินเสียล่ะ!”
“เจ้ายังโชคดีมากนัก คนที่พบเป็นนายน้อยไป๋เฉิน หากเป็นคนอื่นพวกนั้นคงไม่แยแสเจ้าแน่นอน!” เหล่าศิษย์สาวกที่ติดตามไป๋เฉินมาเร่งตรงปรี่มาพูดคุยกับเย่หยวนอย่างสนุกสนาน พวกคนต่างรู้สึกว่า เย่หยวนคนนี้เป็นพวกดวงแข็งนักที่รอดชีวิตออกมาได้อย่างเฉียดฉิวเช่นนี้
…………………………………………………