Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1751 ได้มาเปล่าๆ
“เจ้าได้ยินไหม? ข่าวว่านักบวชฝึกหัดหน้าใหม่จัดการส่งหูเฟิงและพวกไปนอนส้วมตั้งแต่วันแรกที่มาเลย”
“จริงหรือหลอก? หน้าใหม่จะเก่งกาจได้ขนาดนั้น?”
“หึ เจ้าจะคิดว่ามันสุดยอดไหมล่ะ? ในเรื่องการคุมไฟ สามรุมหนึ่งกลับไม่สามารถต้านทานมันได้ ในการต่อสู้จริง สามรุมหนึ่งกลับรับไม่ได้แม้สักกระบวนท่า”
“บ้าบอน่า? สามคนนั้นรวมหัวกัน ในหมู่นักบวชฝึกหัดจะยังมีใครกล้าไปท้าทายอีก!”
“หึ ไม่เชื่อก็ลองไปดูสภาพน่าสมเพชของพวกมันในส้วมสิ แล้วเจ้าจะได้รู้ว่าถึงตอนนี้พวกนั้นมันก็ยังนอนอยู่ในส้วมอยู่!”
…
ข่าวเรื่องที่ว่าเย่หยวนชนะพวกหูเฟิงนั้นโด่งดังไปทั่วในหมู่นักบวชฝึกหัดด้วยกันอย่างรวดเร็ว
แต่เจ้าตัวนั้นไม่ได้สนใจใดๆ เขาเข้านอนอย่างสบายใจและมุ่งหน้าออกไปยังศาลาสวรรค์หลวง
ศาลาสวรรค์หลวงนั้นคือสถานที่ที่วิหารนักบวชใช้จัดเก็บศาสตร์ สูตรโอสถ วิธีการหลอม ศาสตร์การควบคุมไฟ เรื่องราวพื้นฐานต่างๆ นาๆ มากมาย ทุกสิ่งอย่างที่คนๆ หนึ่งจะอยากได้
และเมื่อเย่หยวนได้เข้ามาในวิหารนักบวชเช่นนี้แล้วเขาก็ไม่คิดที่จะพลาดโอกาสในการเรียนรู้วิชาโอสถของเผ่าอสูรไปด้วย
ด้วยนิสัยอย่างเขาแล้ว การเรียนรู้เรื่องราวพื้นฐานมันย่อมจำเป็นอย่างที่สุด
เย่หยวนนั้นเรียนรู้ทักษะต่างๆ นาๆ มาได้มากมายตอนสอบนักบวชฝึกหัด แต่ทั้งหมดนั้นมันก็พึ่งความสามารถในการวิเคราะห์ของเขา พร้อมๆ กับความรู้ที่กว้างไกลของตัวเขาและเทคนิคหลายๆ อย่างจากฝั่งมนุษย์มาประยุกต์ใช้ในการหลอมโอสถอสูรศักดิ์สิทธิ์
แต่นั้นมันก็คือขีดจำกัดแล้ว หากเขาอยากจะพัฒนาตัวเองไปให้มากกว่านี้มันคงเป็นเรื่องลำบาก
หากอยากให้พวกเบื้องบนของวิหารนักบวชสนใจเขาจริงๆ ตัวเขาต้องเริ่มเรียนรู้ศาสตร์ของฝั่งอสูรตั้งแต่ต้นใหม่
แต่ด้วยปัญญาของเย่หยวนในตอนนี้ การจะเรียนรู้สิ่งใดนั้นมันย่อมใช้เวลาแค่ครึ่งเดียวแต่ได้ผลมากเป็นเท่าตัว
“หยุด!”
เย่หยวนเดินเข้ามาถึงศาลาสวรรค์หลวงและถูกชายชราหัวขาวคนหนึ่งตะโกนหยุดไว้
เย่หยวนหรี่ตามองไปยังต้นเสียงแต่กลับไม่สามารถคาดเดาพลังที่แท้จริงของชายแก่คนนี้ได้
“ผู้อาวุโส!” เย่หยวนก้มลงคารวะทันที
ชายหัวขาวเองก็ต้องเป็นถึงยอดฝีมือระดับห้าแน่ๆ
ชายหัวขาวหันมามองดูเย่หยวนและบอก “เจ้าไม่มีแต้มความดีใดๆ เจ้าเข้าศาลาสวรรค์หลวงไม่ได้”
เย่หยวนนั้นตกใจเล็กน้อยแต่ก็กลับมาเข้าใจได้ในทันที ชายชราคนนี้คงสัมผัสได้ถึงแต้มที่เย่หยวนมีตอนที่เย่หยวนก้าวเท้าเข้ามาในค่ายกลของศาลาสวรรค์หลวง
“ผู้อาวุโส หรือว่าการเข้ามาเป็นนักบวชฝึกหัดนี้จะไม่มีแต้มความดีใดๆ ติดตัวให้เลย?”
แต้มความดีนั้นมันเป็นสิ่งที่นับถือใช้กันเป็นสากลในทุกค่ายสำนัก
เพียงแค่ว่าเมื่อวานตอนที่ได้เหรียญประจำตัวมาเย่หยวนลืมที่จะตรวจแต้มของตัวเองและไม่ได้รู้เลยว่าตัวเขานั้นไม่มีแต้มความดีติดตัวแม้แต่น้อย
พวกนักบวชนี่มันขี้เหนียวเสียจริงๆ
“เลอะเทอะ! เจ้าไม่ได้ทำประโยชน์ใดๆ ให้วิหารแล้วยังจะไปเอาแต้มความดีมาจากไหน? นักบวชฝึกหัดที่เพิ่งเข้ามานั้นต่างอยากเข้าศาลาสวรรค์หลวงทั้งสิ้น แต่เรื่องเหล่านั้นมันเป็นได้แค่ฝันลมๆ แล้งๆ! ไปเสีย อย่างได้มาขวางทางนักบวชผู้นี้!”
จู่ๆ ก็มีเสียงหนึ่งตอบขึ้นมาแทนจากด้านหลังเย่หยวน
เมื่อหันไปมองดูเขาก็พบว่ามีชายหนุ่มในชุดนักบวชอยู่ ใบหน้าของเขานั้นยิ่งผยองจนจมูกแทบจะเงยชี้ฟ้า
เย่หยวนไม่คิดสนใจเขาและหันไปถามชายชราหัวขาว “ผู้อาวุโส ในวิหารนี้สามารถใช้แต้มความดีทำการท้าดวลกันได้หรือไม่?”
ชายชราพยักหน้ารับออกมาเบาๆ “ย่อมได้ แต่ในวิหารเราไม่อนุญาตให้ท้าดวลเรื่องการต่อสู้กัน ต้องท้าดวลเรื่องที่เกี่ยวข้องกับศาสตร์การหลอมโอสถเท่านั้น”
เมื่อนักบวชคนนั้นได้ยินคำพูดของเย่หยวน เขาก็หัวเราะลั่นออกมา “น่าขันจริงๆ นักบวชฝึกหัดผู้ต่ำต้อยอย่างเจ้าจะไปท้าใครดวลได้?”
เย่หยวนหันไปบอกทันที “เจ้าไง!”
คำพูดนั้นทำให้นักบวชคนนั้นตื่นตกใจไม่น้อย ก่อนที่เขาจะหัวเราะลั่นออกมาอีก “เจ้าอยากดวลกับข้า? ฮ่าๆๆ เจ้าไม่มีแม้แต่แต้มความดีใดๆ แล้วจะให้เราใช้สิ่งใดเป็นสินการดวลเล่า?”
ระหว่างที่อีกฝ่ายพูดไปเย่หยวนก็หยิบผลไม้วิญญาณออกมา นั่นทำให้ใบหน้าของนักบวชคนนั้นแข็งค้างและร้องตะโกนขึ้น “ผลปั้นจั่นอายุ!”
เย่หยวนยิ้ม “ท่านนักบวชช่างรอบรู้ยิ่ง! ผู้อาวุโส ท่านว่าผลปั้นจั่นอายุนี้จะตีค่าเป็นแต้มความดีได้สักเท่าไหร่?”
ผลปั้นจั่นอายุนั้นเป็นสิ่งที่เย่หยวนซื้อมาตอนอยู่เมืองหลวงลาภสายน้ำ มันมีราคาที่สูงลิ่ว
ชายชรามองดูเย่หยวนอย่างตื่นตกใจ เขานั้นไม่ทราบได้เลยว่าเจ้าเด็กตรงหน้านี้ไปเอาความมั่นใจมาจากไหนมากมาย ถึงขั้นกล้าท้าดวลกับนักบวช
แต่เขาก็ยังพยักหน้ารับออกมาในที่สุด “หากเป็นผลปั้นจั่นอายุแล้วมันคงมีค่าห้าร้อยแต้ม”
เย่หยวนพยักหน้ารับและหันไปบอกนักบวชคนนั้น “ท่านนักบวช อย่าได้เสียเวลาอีกแล้ว ท่านวางสามร้อยแต้ม แล้วข้าจะวางผลปั้นจั่นอายุนี้เป็นสินการดวล ท่านว่าอย่างไร?”
ดวงตาของนักบวชคนนั้นเต็มไปด้วยความโลภ เขามองดูเย่หยวนราวกับเป็นคนโง่และยิ้มตอบกลับมา “วิหารไปหาไอ้โง่เช่นนี้มาจากที่ใดกัน? หึๆ หากเจ้าคิดจะมอบสมบัติให้นักบวชผู้นี้แล้ว มันก็คงเป็นการเสียมารยาทหากจะปฏิเสธไป เอาล่ะ นักบวชผู้นี้จะดวลกับเจ้าเอง! อย่าหาว่าข้ารังแกเจ้าแล้วกัน จะดวลเรื่องใดเจ้าว่ามาได้เลย!”
ที่มุมปากของเย่หยวนปรากฏรอยยิ้มชั่วร้ายขึ้นมา “อย่าได้ยุ่งยากเสียเวลาให้มาก เอาเป็นการคุมไฟก็แล้วกัน”
“ดวลเรื่องการคุมไฟ? หึ เจ้านี่มันรู้จักเลือกจริงๆ ข้าจะให้โอกาสเจ้าเลือกอย่างอื่นอีกครั้ง แม้ว่าจะเปลี่ยนไปทางไหนก็ไม่ทางชนะก็ตาม” นักบวชคนนั้นบอก
ตอนนี้คนที่คิดอยากจะมาเข้าศาลาสวรรค์หลวงต่างถูกคู่คนทั้งสองนี้ดึงดูดความสนใจไว้เสียก่อน
“เจ้าเด็กคนนี้สมองมันเพี้ยนรึ? ถึงขั้นกล้าไปท้านักบวชฉีเฟิงดวลการควบคุมไฟเช่นนั้น?”
“ใครๆ ก็รู้ว่าฉีเฟิงนั้นเป็นหนึ่งในด้านการควบคุมไฟแม้ในหมู่นักบวชด้วยกัน เจ้าเด็กคนนี้มันไปเอาความมั่นใจขนาดนั้นมาจากไหน?”
“หึๆ เจ้าโง่นี่มันไม่กลัวตาย!”
…
ฉีเฟิงมองดูเย่หยวนด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน “เจ้าโง่ ได้ยินไหม? วิชาการหลอมโอสถของข้าอาจจะไม่ได้เก่งกาจมากในหมู่นักบวชด้วยกัน แต่ในเรื่องการคุมไฟแล้วข้านั้นไม่เป็นรองใคร! ขยะอย่างเจ้ากล้าจะมาดวลเรื่องการคุมไฟกับข้า?”
คนที่ชอบดูถูกคนอื่นตั้งแต่แรกเจอหน้าเช่นนี้เป็นคนประเภทที่เย่หยวนรังเกียจมากที่สุด
ไม่ได้มีเรื่องใดกัน ไม่ได้มีความแค้นใดกัน กลับมาเรียกคนอื่นโง่เป็นขยะอยู่ร่ำไป มันสนุกมากหรือ?
เยี่ยมจริงๆ ตอนนี้เขานั้นไม่มีแต้มความดีใดๆ แต่เรื่องราวแบบนี้มันเหมือนมีคนเอาอาหารมาป้อนถึงเตียงนอน
เย่หยวนเผยอปากออกและถาม “ผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งมันเก่งกาจปานนั้นเชียว?”
ฉีเฟิงนิ่งงันไปก่อนจะยิ้มตอบกลับมา “เจ้าจะได้รู้เองว่าข้าเก่งกาจแค่ไหน!”
เย่หยวนตอบ “เลิกบ่นแล้วลงมือกันเสียที”
เย่หยวนนั้นทำหน้าตาหาเรื่องฉีเฟิงอย่างถึงที่สุด ฉีเฟิงจึงตัดสินใจที่จะสั่งสอนบทเรียนแก่เย่หยวนอย่างเต็มที่
ฉีเฟิงวาดตราขึ้นมาในมือ เมื่อเขาตบมือเข้าด้วยกันมันก็เกิดประกายไฟนับไม่ถ้วนพุ่งเข้าไปหาเย่หยวนราวกับเป็นดาวในคืนเดือนดับ ทำให้ทุกผู้คนที่ได้เห็นต้องโห่ร้องออกมาอย่างตื่นเต้น
“เด็กน้อย รับฟ้าดาวอนันต์ของข้าไป ให้เจ้าได้เห็นว่าผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งมันเก่งกาจแค่ไหน!” ฉีเฟิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย
เย่หยวนทำท่าเหมือนตื่นกลัว ร้องตะโกนออกมาก่อนจะรีบวิ่งหนีออกจากวงล้อม
เมื่อฉีเฟิงได้เห็นเช่นนั้นเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะลั่น “หนีเรอะ? เจ้าคิดว่านักบวชผู้นี้จะปล่อยนักบวชฝึกหัดเช่นเจ้าให้หนีไปได้เรอะ? ทำเช่นนั้นข้าคงถูกคนทั้งวิหารหัวเราะเยาะแล้ว”
ฉีเฟิงนั้นมีทักษะการควบคุมไฟที่เยี่ยมยอดมาก เขาสามารถควบคุมเปลวเพลิงเหล่านั้นได้โดยไม่มีท่าทีลำบากใดๆ เลย
แต่ว่าเย่หยวนกลับเคลื่อนที่อย่างแปลกประหลาดและมาหยุดลงตรงหน้าฉีเฟิงในเวลาไม่นาน
พรึ่บ!
ไฟสองจุดกระเด็นไปโดนคิ้วของฉีเฟิง เมื่อได้กลิ่นไหม้ คิ้วของเขาก็หายวับไปเสียแล้ว
“หึๆ!”
จู่ๆ ก็เกิดเสียงหัวเราะดังขึ้นจากคนรอบๆ
“ชิๆ ผู้ควบคุมไฟอันดับหนึ่งนี่มันสุดยอดจริงๆ! ท่าไฟเผาคิ้วนี้ข้าขอชื่นชมนัก!” เย่หยวนทำหน้าตาประทับใจออกมา
มือเท้าของฉีเฟิงขยับไปมาอย่างสับสน พยายามที่จะปิดไฟศักดิ์สิทธิ์ที่ลุกติดอยู่บนคิ้วของตนออก
แต่ตอนนี้คิ้วของเขามันได้ไหม้หายไปจนเกลี้ยงแล้ว
“เจ้า! เจ้าโกงข้า!” ฉีเฟิงชี้หน้าเย่หยวนอย่างหมดหนทางอื่น
เย่หยวนยักไหล่ตอบ “เมื่อคิดดวลก็ต้องพร้อมยอมรับผล คนตั้งมากมายมองดูอยู่นี้หรือว่าเจ้าอยากจะกลับคำ?”
ฉีเฟิงกัดฟันแน่นพร้อมใบหน้าที่แดงเดือด “เจ้าจำเรื่องราวนี้ไว้ให้ดี!”
เย่หยวนยิ้ม “เดี๋ยวเจ้าจะหาว่าข้าไม่ให้โอกาส เอาล่ะ ตอนนี้ข้าจะใช้แต้มสามร้อยที่ข้ามีนี้มาดวลกับเจ้าต่อให้ เจ้ากล้ารับมันไหม?”
…………………………