Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1608 การจากลาอันกะทันหัน
ที่คฤหาสน์เย่ตอนนี้กำลังมีชายหนุ่มคนหนึ่งก้มหัวเคารพเย่หยวนอย่างนอบน้อมพร้อมพูดขึ้น “ผู้อาวุโสเย่ โจวเหว่ยนั้นถูกส่งไปยังเมืองเจียงกูแล้วพร้อมทำการผนึกพลังบ่มเพาะและตีตราทาสเป็นเวลาสามร้อยปี สำหรับทางซ่งฉีหยางนั้นแม้จะมีผู้อาวุโสใหญ่คุ้มกะลาหัวแต่ผู้อาวุโสใหญ่ก็ได้สั่งให้เขาไปนั่งคุกเข่ากลางลานหอโอสถเป็นเวลาหนึ่งเดือนเพื่อบรรเทาความพิโรธของผู้อาวุโสเย่”
หลังจากได้ฟังเย่หยวนก็กล่าวออกมาอย่างเย็นชา “ตาแก่หรงซูมันฉวยโอกาสลงโทษคนของตัวเองก่อนเพื่อเอาความได้เปรียบมาไว้ในมือ! แต่ว่าการนั่งคุกเข่าหนึ่งเดือนมันก็เป็นการลงโทษที่ดีแล้วสำหรับซ่งฉีหยาง เหนื่อยหน่อยนะเทียนปิง”
ชายหนุ่มก้มหัวลงและตอบกลับมา “การจัดการความกังวลของผู้อาวุโสเย่นั้นหาใช่เรื่องที่ต้องเหนื่อยใด ๆ เลย”
เย่หยวนหันไปมองและพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม “เทียนปิง ด้วยความสามารถของเจ้าจริง ๆ เจ้าไม่ต้องมาเป็นผู้ติดตามของข้าก็ได้นะ ทำไมไม่คิดจะไปหาตำแหน่งที่มันสูงส่งกว่านี้ให้ตัวเองล่ะ?”
ชายหนุ่มคนนี้มีนามว่าหนิงเทียนปิงเป็นอันดับหนึ่งของคนตระกูลหนิงรุ่นใหม่
แม้แต่หนิงฟางหรงก็ยังไม่สามารถเทียบเคียงกับหนิงเทียนปิงได้ในด้านพรสวรรค์
ตอนนั้นหนิงลี่เซียวได้จ่ายถึงสามล้านห้าแสนเพื่อซื้อโอสถสุริยันจักรวาลเพื่อนำมาให้เขา
หลังจากเขากินโอสถสุริยันจักรวาลเข้าไป หนิงเทียนปิงก็ได้รับรู้ถึงความเหนือชั้นของโอสถตัวนี้ในทันที
ตัวเขาที่ตอนนั้นยังเป็นแค่นักยุทธอาณาจักรบรรพชนพระเจ้ากลับสามารถบรรลุขึ้นสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าครึ่งก้าวได้สำเร็จทันที และไม่นานจากนั้นเขาก็สามารถบรรลุสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าได้เต็มตัว
หลังจากบรรลุอาณาจักรมาได้ เขาก็ได้รู้สึกถึงพลังที่เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือของตัวเอง มันต่างกันราวฟ้ากับเหว
ในเวลาแค่หนึ่งร้อยปีมานี้เขากลับสามารถเข้าสู่จุดสุดยอดของอาณาจักรราชันพระเจ้าสองดาวได้
ความเร็วในการบ่มเพาะระดับนี้มันแตกต่างจากที่เคยมีมาอย่างสิ้นเชิง
นั้นทำให้หนิงเทียนปิงรู้ทันทีว่านี่คือผลจากโอสถสุริยันจักรวาล
เดิมทีเขานั้นอยากจะไปกล่าวขอบคุณเย่หยวน แต่ข่าวร้ายที่ว่าเย่หยวนตายลงในห้วงมิติสืบทอดก็กระจายไปทั่วก่อนที่เขาจะได้ทำอะไร นั้นทำให้จิตใจของหนิงเทียนปิงขุ่นมัวไปพักใหญ่
แต่ตอนนี้เขาได้ยินเรื่องการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของเย่หยวนที่สั่นสะท้านทั้งเมือง
เมื่อหนิงเทียนปิงได้รับรู้ว่าเย่หยวนกำลังจะหาคนติดตามใหม่ เขาก็รีบเสนอตัวลงแข่งขันในทันที
เดิมทีด้วยตำแหน่งของเขาแล้วเขาเคยมีแต่คนมาติดตาม ไม่เคยต้องไปติดตามใคร
แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสทั้งหลายก็ไม่มีใครกล้าใช้งานหนิงเทียนปิง
แต่ตระกูลหนิงกลับสนับสนุนการมาเป็นผู้ติดตามเย่หยวนของหนิงเทียนปิงในครั้งนี้อย่างมาก ถึงขนาดลงมือช่วยหนิงเทียนปิงในหลาย ๆ เรื่องเลยด้วย ทำให้หนิงเทียนปิงสามารถก้าวขึ้นมาทำคะแนนนำผู้ลงสมัครคนอื่น ๆ
เพราะตอนนี้การจะมาเป็นผู้ติดตามของเย่หยวนนั้นมันไม่ง่ายเหมือนก่อนแล้ว
เมื่อก่อนนั้นเย่หยวนเพียงแค่มีพรสวรรค์สะท้านฟ้า
แต่เย่หยวนหลอมโอสถได้แค่โอสถศักดิ์สิทธิ์ขั้นสูงซึ่งมันไร้ประโยชน์กับพวกเขาอย่างสิ้นเชิง
แต่ตอนนี้เย่หยวนกลับเข้าใกล้การเป็นจอมเทพโอสถหนึ่งสี่ดาวเข้าไปเต็มที
เมื่อใดก็ตามที่เขาสามารถบรรลุอาณาจักรได้ ความแตกต่างมันก็จะขยายวงกว้างขึ้นในทันที
และผลประโยชน์ที่คนสนิทของเขาจะได้รับมันก็คงมากตามไปด้วย ใครก็ตามที่ได้เป็นผู้ติดตามผู้อาวุโสเย่ในตอนนี้จะได้รับผลประโยชน์มากมายมหาศาลอย่างไม่สามารถจินตนาการได้
นั่นทำให้การหาผู้ติดตามเย่หยวนในครั้งนี้มันมีการแข่งขันที่สูงมาก
น่าเสียดายที่ตอนนี้หลินตงนั้นทำให้แค่ถอนหายใจอยู่บ้านด้วยความเสียดายอย่างสุดซึ้ง
ครั้งหนึ่งเขาเคยได้รับโอกาสอันหวานหอมตรงหน้า แต่เขากลับไม่รักษามันไว้ให้ดี ตอนนี้เมื่อต้องเสียมันไปก็ไม่สามารถบ่นอะไรได้แล้ว
เขาไม่คิดที่จะทำงานให้เย่หยวนนั้นเป็นเพราะว่าเย่หยวนเป็นเพียงแค่จอมเทพโอสถสามดาว แค่เพราะเหตุผลนี้เหตุผลเดียว
เขาไม่เคยคิดเลยว่าวันนี้มันจะมาถึงอย่างรวดเร็วปานนี้
ในเวลาแค่หนึ่งร้อยปีนี้เย่หยวนกลับสามารถบรรลุถึงระดับสุดยอดของอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าชั้นสุดได้
แม้จะอยากย้อนกลับไปเป็นเหมือนก่อนมันก็คงไม่มีทางแล้ว
ที่สำคัญหลังเขารู้ว่าเย่หยวนหายตัวไปในห้วงมิติสืบทอดในตอนนั้น เขายังไปทำตัวเลวร้ายใส่พวกลี่เอ๋อไปอีกด้วย
หนิงเทียนปิงยิ้มออกมา “หนึ่งร้อยปีก่อน ตระกูลหนิงเราซื้อโอสถสุริยันจักรวาลของผู้อาวุโสเย่มาด้วยเงินมากมายมหาศาล ผู้คนต่างเชื่อว่าตระกูลหนิงเราจ่ายผลึกปราณเทวะไปในราคาที่เหมาะสมแล้ว ตอนนั้นข้าเองก็คิดเช่นนั้นเหมือนกัน แต่หลังจากได้ลองกินโอสถสุริยันจักรวาลและบรรลุเข้าสู่อาณาจักรราชันพระเจ้าข้าก็ได้รู้ว่าจริง ๆ แล้วราคาที่เราจ่ายไปมันไม่สามารถเทียบเคียงกับสิ่งที่ผู้อาวุโสเย่ทำได้เลย! โอสถเม็ดนั้นมันมีค่ามากกว่าที่จะใช้ผลึกปราณเทวะทดแทนได้”
เย่หยวนจึงยิ้มออกมา “งั้นเจ้าก็มาเพื่อตอบแทนบุญคุณข้าเรอะ?”
แต่หนิงเทียนปิงกลับส่ายหัวออกมา “ข้ารู้ดีว่าผู้อาวุโสเย่ไม่ต้องการการตอบแทนใด ๆ ตอนนี้ข้าไม่มีอะไรต้องปิดบังอีก ตอนนี้ทั้งเมืองจักรพรรดิอินทรีสวรรค์มีใครบ้างที่ไม่หวังเป็นผู้ติดตามผู้อาวุโสเย่? ตราบเท่าที่พวกเขาติดตามท่านพวกเขาก็จะได้รับผลประโยชน์อย่างไม่มีสิ้นสุดในวันข้างหน้า ให้พูดง่าย ๆ ทุกคนต่างก็อยากพึ่งใบบุญของท่านกันทั้งนั้น!”
เย่หยวนมองดูใบหน้าของหนิงเทียนปิงด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย เขาไม่คิดเลยว่าอีกฝ่ายจะพูดได้ตรงไปตรงมาขนาดนี้
การรู้อยู่แก่ใจ กับการกล้าพูดออกมาต่อหน้าคนอื่นแบบนี้มันคนละเรื่องกันเลย
อย่างน้อย ๆ ในด้านนี้มันก็ทำให้เย่หยวนเกิดประทับใจในตัวหนิงเทียนปิงขึ้นมาบ้างแล้ว
เพราะหากหนิงเทียนปิงทำตัวอ้อมค้อมเอาแต่พูดปัดไม่ยอมรับ เย่หยวนก็คงไม่ค่อยจะประทับใจกับท่าทางนั้นสักเท่าไหร่ มุมมองที่เขามีต่อหนิงเทียนปิงก็น่าจะแย่กว่านี้
เพราะเขานั้นไม่สามารถที่จะเชื่อใจใครง่าย ๆ ได้อีกแล้ว
สำหรับคนที่เขาไม่เคยรู้จักคุ้นเคย เย่หยวนจะต้องเฝ้าสังเกตและศึกษาคน ๆ นั้นอย่างถี่ถ้วน
เหมือนเรื่องของหลินตง หลินตงนั้นช่วยเขาจัดการกับฉินเซียว แต่สุดท้ายหลินตงก็เกรงกลัวในอำนาจซ่งฉีหยางจนแปรพักตร์ไป เย่หยวนจึงไม่คิดจะให้โอกาสคนแบบนั้นอีกเป็นครั้งที่สอง
ส่วนทางด้านหนิงเทียนปิงนั้นแม้เขาจะเป็นคนของตระกูลหนิง แต่หากเขาไม่สามารถผ่านการตรวจสอบของเย่หยวนไปได้ เขาก็คงถูกไล่กลับไปเหมือนกัน
ระหว่างที่ทั้งสองคุยกันไปเยวี่ยเมิ่งลี่ก็มาถึงพร้อมพวกอิ้งหมัวหู่อย่างกะทันหัน
เมื่อเย่หยวนเห็นร่องรอยการต่อสู้บนร่างของพวกเขาทั้งหลาย เย่หยวนก็เริ่มรู้สึกร้อนใจขึ้นมา
“พวกเจ้ามีเรื่องอะไรกัน?” เย่หยวนถามขึ้นอย่างสงสัย
ส่วนหนิงเทียนปิงที่เห็นภาพนั้นก็รีบขอตัวลาปล่อยให้เขาทั้งหลายได้คุยกันอย่างเป็นส่วนตัว การทำแบบนั้นทำให้มุมมองของเย่หยวนที่มีต่อเขายิ่งดีมากขึ้น
พวกเขาทั้งหลายนี้ดูมีท่าทางร้อนรนอย่างมาก แต่เมื่อมาอยู่ต่อหน้าเย่หยวนพวกเขากลับปิดปากเงียบไม่มีใครพูดอะไร
พวกเขาทั้งหลายหันมองหน้ากัน โดยที่ไม่รู้ว่าจะให้ใครเป็นคนเริ่มพูดก่อนดี
ภาพตรงหน้านี้ทำให้เย่หยวนยิ่งแปลกใจหนักกว่าเก่า
“พี่สะใภ้ ท่านพูดเถอะ!” อิ้งหมัวหู่กล่าวขึ้น
เมื่อเยวี่ยเมิ่งลี่ได้ยินดังนั้นก็เงียบไปพักใหญ่ก่อนที่เหมือนว่านางจะรวบรวมความกล้าเปิดปากขึ้นจนได้ในที่สุด “พี่หยวน จริง ๆ ที่พวกเรามาก็เพื่อจะบอกพี่ว่าเราจะออกไปฝึกด้วยตัวเราเอง”
นั่นทำให้หน้าของเย่หยวนเปลี่ยนสีไปในทันทีก่อนเขาจะตะโกนขึ้นมาอย่างหนักแน่น “ไม่มีทาง!”
ในมหาพิภพถงเทียนนี้มียอดฝีมือมากมายราวดาวบนท้องฟ้า ด้วยพลังฝีมือของพวกเยวี่ยเมิ่งลี่ในตอนนี้การออกไปฝึกด้วยตัวเองมันก็ไม่ต่างจากการรนหาที่ตายเลย
เพราะในมหาพิภพถงเทียนนี้บ้านเมืองมันไม่ได้สงบเรียบร้อยมากนัก อันตรายนั้นรอคอยผู้คนอยู่ทุกที่
ดูอย่างเล่งหยู จะมียอดฝีมือที่ไหนอีกไหมที่จะสามารถอยู่รอดมาได้เป็นแสนปีอย่างเขา?
พวกลี่เอ๋อในตอนนี้ หากเกิดเรื่องร้ายอะไรขึ้นกับพวกนางเย่หยวนคงไม่มีทางยอมยกโทษให้ตัวเองไปชั่วชีวิตแน่ ๆ
เย่หยวนนั้นค้านออกมาเสียงแข็งตามที่เยวี่ยเมิ่งลี่คาดการณ์
“พี่หยวน ลี่เอ๋อรู้ดีว่าท่านพี่เป็นห่วงเรามากแค่ไหน แต่การอยู่ใต้ร่มเงาของพี่ต่อไปมันก็หมายความว่าเราต้องคอยตามเงาพี่ตลอดไปด้วย! ด้วยความสามารถของท่านพี่ ความห่างชั้นของเรามันจะมีแต่เพิ่มขยายตัวขึ้น จนสุดท้ายเราจะตามรอยเท้าพี่ไม่ทันเสียด้วยซ้ำ ข้ารู้ดีว่าตลอดเวลาหลายปีมานี้พี่ทนลำบากมากมายเพื่อพี่หลินเสวีย รู้ดีว่าพี่ต้องทนกดดันมากแค่ไหน แต่เราก็ไม่คิดที่จะเอาแต่มองพี่ทนรับมันไว้คนเดียวอย่างเงียบ ๆ หรอกนะ! เราหวังว่าสักวันหนึ่งตัวเองจะสามารถต่อสู้เคียงข้างพี่ได้ ไม่ใช่เป็นแค่ตัวถ่วงให้พี่ต้องคอยปกป้องอยู่ข้างหลัง” เยวี่ยเมิ่งลี่บอกความรู้สึกที่มีออกมา
และคราวนี้เป็นอิ้งหมัวหู่ที่พูดขึ้นมาตามบ้าง “พี่ใหญ่ ตอนนั้นที่เราเที่ยวอาละวาดไปทั่วดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ตอนนั้นข้ายังตามพี่ใหญ่ทันบ้าง แต่ตอนนี้ข้าทำได้แต่คอยให้กำลังใจพี่ใหญ่จากด้านข้าง พี่ใหญ่รู้ไหมว่าเรื่องนี้มันทรมานมากมายแค่ไหน? ตอนอยู่ในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ที่เราได้เจอกับเทพนอกรีตบาปสวรรค์พี่ใหญ่ไม่รู้หรอกว่าข้ารู้สึกว่าตัวเองไร้พลังและสิ้นหวังแค่ไหน! ข้าไม่อยากต้องคอยภาวนาให้พี่ใหญ่มาช่วยทุกครั้งที่ได้เจออันตราย! พี่ใหญ่ช่วยเราวันนี้ ช่วยเราวันพรุ่งนี้ แล้ววันต่อ ๆ ไปล่ะ?”
เย่หยวนได้แต่มองดูพวกเขาทั้งหลายโดยที่พยายามจะเปิดปากพูดอะไรสวนกลับไป แต่กลับไม่มีคำพูดใด ๆ หลุดออกจากปากเขามาเลย
………………………………………………