Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1432 ในฐานะพี่น้อง
ฟุบ!
ทันทีทันใดศาลไท่ลู่พลันระเบิดแสงสีทองแพรวพราวระยิบระยับ จนทุกคนไม่สามารถลืมตาขึ้นมองได้ สีหน้าการแสดงออกของเหลยต้วนเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน สีหน้าเย็นชาเผยการผันแปรในที่สุด
“นี่…นี่มัน…”
นอกจากนี้จะเป็นครั้งแรกที่เหล่าเซียนของวังเทวะรัตติกาลฉายจะได้เห็นศาลไท่ลู่เป็นครั้งแรก พวกเขายังมิทราบเลยว่าแสงสีทองนี้หมายความว่าอย่างไร?
ไป๋เฉินอดใจเอ่ยปากถามมิได้ว่า “ท่านทูต แสงสีทองแบบนี้สื่อถึงอะไรกัน? ผู้อาวุโสสูงสุดเป็น…เป็นผู้บุกรุกหรือไม่?”
สีหน้าการแสดงออกของเหลยต้วนแปรเปลี่ยนในทันที พร้อมคำรามใส่ด้วยความหงุดหงิดว่า “บุกรุกบ้าบออันใด! คนที่แพร่ข่าวลือไร้สาระนี้จักต้องตายอย่างน่าสยดสยอง!”
ทุกคนต่างตกตะลึงยิ่งเมื่อได้ฟัง คล้อยหลังค่อยแปรเปลี่ยนเป็นความดีใจในทันที จากวาจาของเหลยต้วนกล่าวเช่นนั้น เรื่องเย่หยวนเป็นผู้บุกรุกต่างแดนจึงถูกปัดตกทันทีอย่างไร้ข้อกังขาใดอื่น!
ไป๋เฉินตื่นตะลึงกว่าใครอื่น เวลานี้เขาไม่จำเป็นต้องช่วยอะไรเลยด้วยซ้ำ ผลลัพธ์เช่นนี้ทำให้เขาประหลาดใจโดยแท้! มีเพียงเขากับโม่หยุนเท่านั้นที่รู้ดีที่สุดว่า ท่านอาจารย์เย่หยวนคนนี้เป็นผู้บุกรุกตัวจริงเสียงจริง!
แต่เขาใช้วิธีใดกันถึงสามารถหลบซ่อนการตรวจจับของศาลไท่ลู่ได้? สิ่งหนึ่งที่ควรทราบ เหล่าผู้บุกรุกจากต่างแดน ต่อให้เป็นเซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นสุดก็ไม่สามารถเลี่ยงหลบการตรวจสอบของศาลไท่ลู่ได้
แต่ปรากฏว่าเย่หยวนกลับทำได้จริงๆ! ความสามารถของเขามันเกินจินตนาการไปแล้ว!
เพื่อที่จะลอกเลียนกลิ่นอายให้กลมกลืนกับภายนอกก็นับว่ายากแล้ว หรือนี่ถึงขั้นปลอมแปลงได้ยังสายเลือด?!แต่สายเลือดในร่างกายของนักสู้จะเปลี่ยนกันได้อย่างไร?
พวกเขาไม่ทราบโดยธรรมชาติว่า เย่หยวนมิได้ใช้วรยุทธลับจิตศักดิ์สิทธิ์อันใดเลยเพื่อปกปิดกลิ่นอายของเขา แต่ได้จำลองกลิ่นอายใหม่ให้เหมือนกับเต๋าของดินแดนนภาบรรพตด้วยหุบเขาถงเทียนจำลอง การเลียนแบบเช่นนี้มิได้ปกคลุมแค่บริเวณพื้นผิวภายนอก แต่มันถึงขั้นหลอมรวมเข้าไปในกายเนื้อทุกอณู รวมไปถึงเลือดด้วย! ลืมเรืองศาลไท่ลู่ไปได้เลย ต่อให้ผู้สร้างดินแดนนภาบรรพตตัวจริงมาให้แยะแยกก็ยังหมดปัญญา!
ไป๋เฉินค้นพบแล้วว่า ท่านอาจารย์ของเขาคนนี้ดูจะเก่งกาจหมดทุกเรื่อง! ไม่มีอะไรที่สามารถทำอะไรเขาได้!
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ดูเหมือนว่าตัวตนของเย่คนนี้คงไม่มีอะไรน่าสงสัยแล้วกระมัง?”
ณ ปัจจุบันเหลยต้วนคลี่ยิ้มกว้างและประสานมือกล่าวกับเย่หยวนว่า “ผู้อาวุโสเย่ ก่อนหน้านี้ข้าเข้าใจผิดไปเอง! แต่เหลยต้วนคนนี้จำต้องทำกตามคำสั่งของเบื้องบน เช่นไรก็อย่าได้ถือโทษเอาความ! ทางวังเทวะรัตติกาลฉายโปรดให้อภัย!”
ทันทีที่วาจาคำกล่าวเหล่านี้ดังออกมา กลุ่มคนของวังเทวะรัตติกาลฉายแทบไม่อยากเชื่อหูตัวเอง เหลยต้วนผู้หยิ่งยโสคนนี้กลับพูดจาสุภาพขนาดนี้กับเย่หยวน?
นี่…นี่มันเรื่องบ้าอันใด!
ดูเหมือนว่าปัญหาทุกอย่างจะคลี่คลายลงเมื่อแสงสีทองสองประกาย ไม่สิ…ที่อีกฝ่ายพลิกสีหน้ากลับมาสุภาพขนาดนี้ได้เป็นเพราะแสงสีทองต่างหาก! เพียงแค่ว่า ไม่มีใครทราบเลยว่าแท้จริงแล้ว แสงสีทองนั้นสื่อถึงอะไรกันแน่
เย่หยวนยิ้มและกล่าวว่า “ท่านทูตใจดีเกินไป ท่านเป็นถึงตัวแทนของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์ การที่ท่านเดินทางมาเยี่ยมเยือนที่แห่งนี้นับเป็นเกียรติของวังเทวะรัตติกาลฉายเสียมากกว่า!”
ทันใดนั้นเหลยต้วนเร่งกล่าวปัดทันทีด้วยความเกรงใจว่า “มิกล้า! มิกล้า! อย่าได้เราชายชราว่าท่านอีกเลย ข้าอาวุโสกว่าไม่กี่ปี เรียกว่าพี่ใหญ่เหลยต้วนก็ไม่ผิด!” เหลยต้วนกล่าวขึ้นพลางหัวเราะตอบ
เย่หยวนประสาทกล่าวตอบเป็นพิธีว่า “เช่นนั้น เกรงใจพี่ใหญ่เหลยต้วนแล้ว!”
ทั้งสองรวนสนทนาฮาเฮกันดั่งสหายใกล้ชิด ร่องรอยความเป็นศัตรูกันกลับอันตรธานสิ้น
“เอาล่ะ เรื่องนี้ได้ข้อยุติแล้ว ข้าจำต้องกลับไปรายงานกันทางเบื้องบนต่อไป!” เหลยต้วนประสบมือกล่าว
“เช่นนั้นพี่ใหญ่เหลยต้วนเดินทางกลับอย่างสวัสดิภาพ!” เย่หยวนประสานมือลา
เหลยต้วนกล่าวอำลาทุกคน ขณะหมุนตัวจากไป เขากล่าวพึมพำขึ้นว่า “เด็กหนุ่มคนนี้สามารถกระตุ้นแสนสีทองจากศาลไท่ลู่ได้จริงๆ แสดงว่าเขามีความเข้าใจต่อศาสตร์แห่งสวรรค์ของดินแดนนภาบรรพอย่างถ่องแท้สมบูรณ์ ไม่น่าแปลกใจที่เขาทรงพลังมากตั้งแต่อายุยังน้อย! อนาคตของเด็กคนนี้จักต้องไร้ขีดจำกัด! การสร้างสายสัมพันธ์อันดีกับเขาตั้งแต่เนิ่นๆ นับเป็นประโยชน์ยิ่งต่อตัวข้าในอนาคต!” เมื่อกล่าวจบ ร่างกระตุกวูบอันตรธานจากไปทันที
ภายในวังเทวะรัตติกาลฉาย ท้ายที่สุดทุกคนต่างถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“แสงสีทองนั้นน่าทึ่งโดยแท้! พวกเจ้าเห็นการแสดงออกของเหลยต้วนหรือไม่? เปลี่ยนจากหน้าตีนเป็นหลังมือ!”
“หุหุ ผู้อาวุโสสูงสุดสนทนากับท่านทูตในฐานะพี่น้อง ข้าอยากจะเห็นเสียจริงว่า วังเทวะพิรุณร่วงโรยยังกล้าหยิ่งผยองต่อหน้าเราอีกหรือไม่!”
“วังเทวะพิรุณร่วงโรยนั้นก็แค่กองขยะเน่าเสียกองหนึ่ง! ใช้วิธีน่ารังเกียจเช่นนี้เพื่อรังแกพวกเรา พอเอาชนะไม่ได้ก็เล่นสกปรกกัน!”
“สักวันข้าจักกำจัดยันโคตรพ่อของพวกมัน!”
…
ขณะที่ทุกคนก่นด่าสาปแชงกัน เย่หยวนยังคงยืนพินิจไตร่ตรองอย่างเงียบงัน
‘เป็นฝีมือของวังเทวะพิรุณร่วงโรยจริงๆรึ? ข้าว่าไม่ใช่!’ เย่หยวนคิดในใจ
…
“เจ้าบอกว่า ทูตของวังนภาบรรพตศักดิ์สิทธิ์เดินทางเข้าเยี่ยมวังเทวะรัตติกาลฉายและจากไปเฉยๆงั้นรึ?”
เมื่อฉินเทียนได้ยินเช่นนั้น เขาก็แทบสะดุ้งโหย่ง
“ถูกต้องแล้วท่านประมุข! มีใครบางคนเห็นว่าเย่หยวนสนทนาพูดคุยกับท่านทูตคนนั้นอย่างสนิทสนมในฐานะพี่น้อง ความสัมพันธ์ระหว่างทั้งคู่ค่อนข้างดี” ผู้ใต้บัญชาคนนั้นเอ่ยกล่าวขึ้น
ฉินเทียนเสียดแทงจุกอกโดยพลัน กลิ่นคาวหวานอบอวลขึ้นลำคอแทนกระอักพ่นโลหิตออกมา เขากลั้นระงับกลิ่นคาวเลือดในปากและกล่าวน้ำเสียงเย็นชืดว่า “เอาล่ะ คอยจับตาดูต่อไป! ออกไปได้!”
“รับทราบท่านประมุข!”
คล้อยหลังผู้ใต้บัญชาคนนั้นจากไป มวลโลหิตที่จุกอกพลันกระอักพ่นออกมาเต็มปากเต็มคำ ฉินเทียนไม่สามารถอดกลั้นได้อีกต่อไป
“นี่เป็นไปไม่ได้! ศาลไท่ลู่ทรงพลังน่าเกรงขามยิ่งยวด แล้วเย่หยวนสามารถซ่อนตัวจนจากสิ่งนั้นได้อย่างไร? หรือเป็นไปได้ไหมว่า พื้นเพของไอ้เจ้าเย่หยวนเป็นคนของดินแดนนภาบรรพตอยู่แล้ว? ไม่…ไม่มีทาง! ต้องมีความลับอะไรบางอย่างที่ซุกซ่อนอยู่ในร่างกายของมัน?” ฉินเทียนรู้สึกหดหู่ใจนักยามพินิจนึกถึง
ประสบความล้มเหลวกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้วในการจัดการเย่หยวน แถมความพิโรธโทสะในยามนี้ยังทำให้อาการบาดเจ็บของเขาทรุดหนักลงเข้าไปใหญ่
“ดูท่าข้าจำต้องออกโรงเองเสียแล้ว แต่ทุกอย่างจักต้องรอข้าหายดีเสียก่อน!”
…
ภายในศิลาจารึกบัลลังก์สวรรค์ เย่หยวนค่อยๆ ลืมตาทั้งสองข้างขึ้น รัศมีกลิ่นอายในตอนนี้ของเขาแกร่งกล้ายิ่งกว่ามาก หากเปรียบเทียบกับแต่ก่อน
“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า หลังจากกลืนโอสถกองเท่าภูเขาไป ข้าจะเลื่อนระดับขึ้นเป็นแค่เซียนอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นเท่านั้น บัญญัติเทพแห่งถงเทียนบริโภคทรัพยากรมหาศาลเกินไป!” เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมสีหน้าพาอารมณ์แสนหลายหลาก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า บัญญัติเทพแห่งถงเทียนจะเป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังที่ทรงพลังระดับแนวหน้าของผืนพิภพทั้งมวล แต่ด้วยปริมาณทรัพยากรที่ใช้ผลาญไปก็ทำเอาเย่หยวนหนักใจอย่างมากเช่นกัน
ก่อนหน้าที่เขาจะออกเดินทางมา เขาใช้แต้มกับผลึกปราณเทวะจำนวนมากเพื่อแลกเปลี่ยนเป็นสมุนไพรวิญญาณศักดิ์สิทธิ์กองใหญ่ ทว่าในความเป็นจริงมันกลับช่วยสนับสนุนเย่หยวนสำเร็จแค่อาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าครึ่งขั้นเท่านั้น หากเป็นคนอื่น พวกเขาที่ได้รับโอสถไปจำนวนมหาศาลปานนี้ อย่างน้อยก็ควรทะลวงขึ้นสู่จุดสูงสุดแห่งอาณาจักรปัจฉิมพระเจ้าขั้นต้นแล้วด้วยซ้ำไป
“วรยุทธ์บ่มเพาะพลังของเจ้ามันผิดประหลาดอย่างแท้จริง แน่นอนว่าทรัพยากรที่ใช้ไปก็เป็นจำนวนมหาศาลยิ่งเช่นกัน แต่ทั้งนี้เพื่อแลกเปลี่ยนกับความทรงพลัง ยามนี้เจ้าเลื่อระดับได้เต็มขั้น เจ้าจะเหนือชั้นไร้เทียมทานกว่าใครอื่น ตอนนี้เจ้าเองก็หลอมสร้งาวรยุทธบ่มเพาะพลังในบทที่สองเสร็จสิ้นแล้ว เหลือแค่เวลาเท่านั้นที่จะเป็นตัวกำหนดว่า เจ้าจะทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรปัจฉิมพระเจาเมื่อใด!” หวูเฉินกล่าว
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวต่อว่า “เป็นวรยุทธบ่มเพาะพลังที่น่ากลัวโดยแท้! วิธีบ่มเพาะพลังที่แสนวิปลาสเช่นนี้ ข้าไม่รู้จริงๆว่า หากท่านจอมเทพนิรันดร์มาเห็นเข้าจะคิดอย่างไร! วรยุทธชนิดนี้อันตรายต่อคนทั่วไปเป็นที่สุด และผู้คนภายนอกกลับหาใช่ศัตรู แต่กลับเป็นตัวมันเอง!
ในเวลานี้คล้ายมียันต์สื่อสารบางชนิดเชื่อมต่อเข้าสู่ห้องเก็บตัวของเย่หยวน เย่หยวนเข้าตรวจสอบยันต์แผ่นนั้นเล็กน้อย ก่อนเชิดมุมปากแสยะยิ้มขึ้น ในที่สุดซากอักขระเทวะก็กำลังจะเปิดขึ้นในไม่ช้า!
…………………………………