Unrivaled Medicine God จอมเทพโอสถ - ตอนที่ 1251
ตอนที่1251 อีกครั้ง เข้าปะทะยักษ์หิน
“นี่…นี่คือพลังที่แท้จริงของตรามังกรศักดิ์สิทธิ์?”
ยามเห็นภาพฉากนี้ เย่หยวนถอดสีหน้าตื่นตะลึงเหลือเชื่อ
หุบเขาสลักทับซ้อนกว้างไพศาลสุดสายตากว่าเจ็ดหมื่นลี้ถูกทำลายล้างในพริบตา ต่อให้สำแดงใช้บัวเพลิงปราณดาบพิโรธเต็มสูบ เกรงว่าไม่มีทางทำเช่นนี้ได้แน่นอน
ทว่าตรามังกรศักดิ์สิทธิ์อันนี้กลับสามารถทำได้อย่างง่ายดาย
“หุหุ นี่เป็นเพียงยอดภูเขาน้ำแข็งเท่านั่น หากเป็นยอดเซียนอาณาจักรบรรพชนพระเจ้าใช้งานมัน กล่าวว่าฟ้าดินยังไม่ควรทัดเทียม”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพร้อมหัวร่อคำโต
“หื้ม?”
จู่ๆเย่หยวนพลันขมวดคิ้วขึ้น
“เจ้าต้องการก้าวข้ามขีดจำกัดใช่หรือไม่?”
ท่านบรรพบุรุษหันมองเย่หยวนด้วยความประหลาดใจ
ในขณะนี้ พลังปราณที่โคจรทั่วร่างเย่หยวนกำลังพุ่งสูงขึ้นอย่างไร้สาเหตุ อาณาจักรพลังของเขาเริ่มคงความเสถียรไม่อยู่ เห็นได้ชัดว่านี่เป็นสัญญาณของการก้าวข้ามขีดจำกัด
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวตอบว่า
“เนื่องจากตรามังกรศักดิ์สิทธิ์ได้ซึมซับโลหิตพลังชีพของท่านบรรพชนต้นกำเนิดไป เมื่อเปิดใช้งานอีกครั้ง โลหิตพลังชีพที่เร้นแฝงจึงหลั่งไหลสู่กายาของข้าบางส่วน ซึ่งนั้นช่วยให้ข้าสามารถทะลวงผ่านปัญหาคอขวดได้โดยตรง”
โอกาสแล่นผ่านเข้ามาเยี่ยมเยือน เย่หยวนจึงไม่รั้งรออีกต่อไป
สำหรับเย่หยวน พลังปราณที่ท่วมท้นไม่หยุดหย่อนเปรียบเสมือนกับสายธารวารีอันไหลลื่น นั้นมิใช่เรื่องยากที่จะจัดการ หรือบททดสอบของสรวงสวรรค์อันน่าสะพรึง นั้นก็มิใช่ปัญหาใหญ่เลยเช่นกัน
หลังจากนั้นหนึ่งวันเต็ม เย่หยวนค่อยๆลืมตาทั้งสองขึ้นอย่างแช่มช้า พร้อมแววตาประกายไสวจรัสจ้าเฉิดฉาย
หลังก้าวข้ามขีดจำกัดได้สำเร็จ เย่หยวนก็ขึ้นกลายเป็นเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุด และอีกเพียงก้าวเดียวเท่านั้น เขาก็จะบรรลุสู่ขั้นสมบูรณ์
เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะสามารถหลอมกลั่นโอสถท้าทายสวรรค์ได้และทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรพระเจ้า!
ท่านบรรพบุรุษเฝ้าสังเกตการก้าวข้ามขีดจำกัดของเย่หยวนอยู่เคียงข้างตลอดเวลา มีหลายช่วงหลายตอนที่ความตื่นตะลึงพลันโฉบแล่นสะท้อนผ่านนัยน์ตาคู่นั้นออกมา
“ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า วรยุทธบ่มเพาะพลังของเจ้ายังเป็นเคล็ดวิชาระดับสูงเช่นกัน! พลังปราณที่ไหลบ่าสู่กายาล้วนบริสุทธิ์นัก! เห็นทีเมื่อใดที่เจ้าบรรลุถึงขั้นสมบูรณ์ เราชายชราคงมิใช่คู่มือของเจ้าอีกต่อไป!”
ท่านบรรพบุรุษกล่าวขึ้นพลางถอนหายใจด้วยอารมณ์ที่หลากหลาย
ทั้งพลังปราณ,ร่างกายและจิตวิญญาณ ปัจจัยหลักทั้งสามสิ่งนี้เย่หยวนล้วนบ่มเพาะพัฒนาด้วยสุดยอดวรยุทธศักดิ์สิทธิ์ระดับสูงทั้งสิ้น
เมื่อใดที่บรรลุทั้งสามปัจจัยถึงขั้นสมบูรณ์แบบ เย่หยวนจะทรงพลังไร้ผู้ใดทัดเทียม!
และนั้นยังเหนือชั้นยิ่งกว่าฟางเทียนในปีนั้นอีกด้วย!
“ท่านบรรพบุรุษถูกกำจัดพลังโดยศาสตร์แห่งสวรรค์ที่หายสาบสูญไป นั้นจึงเป็นสาเหตุให้ท่านคิดแบบนี้ แต่นั้นมิได้หมายความว่าท่านจะไม่แข็งแกร่งเสีย หากศาสตร์แห่งสวรรค์ยังอยู่ เย่คนนี้เองก็หาใช่คู่มือของท่านไม่”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
ท่านบรรพชนหัวเราะเล็กน้อยและกล่าวว่า
“ระหว่างเรายังต้องสุภาพอันใด? แล้วเจ้าจะเดินทางกลับเลยหรือไม่?”
เย่หยวนพยักหน้าและกล่าวว่า
“หลังจากที่ข้าบอกลาท่านแม่เสร็จ คงเดินทางกลับในทันที”
ท่านบรรพบุรุษถอนหายใจเล็กน้อยและกล่าวว่า
“เส้นทางเบื้องหน้าช่างลำบากยากเข็ญนัก ข้าขอให้เจ้าประสบความสำเร็จโดยเร็ว!”
เย่หยวนผสานมือคำนับท่านบรรพบุรุษหนึ่งที ก่อนตรงกลับไปยังสระน้ำเหมันต์เย็น แม้ใจจริงยังต้องการอยู่ต่ออีกเสียหน้อย ทว่าในท้ายที่สุดสองแม่ลูกยังต้องลาจากกันไป
จากที่เย่หยวนคำนวณเอาไว้ อ้าวจุนยังคงประคองชีวิตได้อีกประมาณสิบปีในสระน้ำเหมันต์เย็นแห่งนี้ ดังนั้นทุกอึดใจล้วนมีค่าดั่งทองสำหรับเย่หยวน
แม้ว่ารัศมีเหมันต์นิรันดร์จะช่วยชะลอความแก่ชราได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่นั้นก็มิอาจหยุดยั้งคำสาปแห่งดินแดนเนรเทศแห่งนี้ได้
อย่างไรก็ตาม การที่นางสามารถประคองชีวิตอยู่จวบจนบัดนี้ได้ ก็นับว่าปาฎิหาริย์ยิ่งแล้ว
ท่านบรรพบุรุษส่งพวกเย่หยวนกลับไปโดยผ่านทางป่าดอกท้อ ในขณะที่กำลังเดินทางกลับ จู่ๆอิ้งหมัวหู่ก็เอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า
“พี่ใหญ่ ข้าไม่คิดไม่ฝันเลยว่า ท่านยังมีภูมิหลังเช่นนี้อยู่ด้วย ไม่แปลกใจที่ไฉนครั้งแรกที่พบกัน ข้าถึงรู้สึกถูกชะตากับท่านนัก”
เย่หยวนที่ได้ฟังดังนั้นพลันถอนหายใจไม่มีสิ้นสุด เขามิได้คาดหวังแม้แต่น้อยว่า การเดินทางเข้ามาในหุบเขาเหวพระเจ้าในครั้งนี้จะทำให้เขาได้ทราบถึงภูมิหลังที่แท้จริง และพบกับแม่ที่เขาไม่เคยได้พบมาก่อนในชีวิต
ยิ่งไปกว่านั้น ภูมิหลังของอิ้งหมัวหู่เองก็ชวนตกใจไม่ต่าง ปรากฏว่าเขากลับเป็นลูกหลานของน้องสาวร่วมสาบานของแม่อีกทีหนึ่ง
บางทีทุกสิ่งอย่างที่เกิดขึ้น…สรวงสวรรค์อาจกำหนดไว้ล่วงหน้าแล้ว
เย่หยวนประสบความโชคร้ายและกลับชาติมาเกิดใหม่ในดินแดนไร้สิ้นสุด จากนั้นเขาก็มีโอกาสเดินทางเข้าสำรวจในป่าไร้สิ้นสุด ก่อนเข้าช่วยเหลืออิ้งหมัวหู่ออกมา
เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทั้งสองก็หวนกลับคืนสู่ดินแดนเนรเทศซึ่งเป็นต้นกำเนิดของเรื่องราวทั้งหมดอีกครั้ง
สรรพสิ่งอย่างที่เกิดขึ้นล้วนสรุปได้ด้วยคำว่า‘โชคชะตา’
“ถูกต้องแล้ว! ฮ่าฮ่า! จากลูกเสือขนปุยตัวน้อยในปีนั้น ตอนนี้กลับกลายเป็นพยัคฆ์ขาวผู้ไร้เทียมทานแห่งดินแดนศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว!”
เย่หยวนกล่าวขึ้นพร้อมเสียงหัวเราะคำโต
ใบหน้าของอิ้งหมัวหู่แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำโดยมิตั้งใจ เขากล่าโต้ทันควัน
“ผู้ไร้เทียมทาน? นั้นควรจะเป็นพี่ใหญ่มากกว่ามิใช่รึ? อย่าลืมเสีย ยามนี้ท่านคือวีรบุรุษของมวลมนุษย์และเผ่าอสูรทั้งปวง!”
ลี่เอ๋อคลี่ยิ้มบางและกล่าวว่า
“สองพี่น้องคู่นี้ หยุดกล่าวยอกันได้แล้ว พี่ใหญ่หยวน,เราจะทำอย่างไรต่อไปดีในยามนี้? หากออกไปจำต้องผ่านอาณาเขตของพวกยักษ์หินอีก หากไม่รีบหาหนทางแก้ไข เกรงว่าจะประสบปัญหาอีกครา”
เย่หยวนยิ้มกว้างทันทีที่ได้ยินและกล่าวว่า
“หากพวกนั้นไม่มา ข้าจะไปหาเอง! นายน้อยผู้นี้อยากจะรู้เสียจริงว่า พวกนั้นมีความสามารถเพียงใดถึงกล้ายั่วยุข้า!”
ทันทีที่ทั้งสามกลับมายังสันเขา เย่หยวนก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอันใด สองฝ่ามือชูออกมาข้างหน้าพร้อมซัดฝ่ามือมังกรสวรรค์วินาศฟ้าออกมาเต็มสูบ!
บูมมมม!!
อัดกระแทกสองฝ่ามือออกไป เสียงมังกรคำรามผงาดง้ำดังลั่นสารทิศ บริเวณเชิงเขาเบื้องหน้าวินาศสันตะโรเป็นผุยผงในบัดดล
“บัดซบ! นั้นใครกัน?! กล้ารบกวนเวลาจำศีลของข้า!”
เสียงขุนพลศิลาคำรามลั่น
ทันใดนั้นเบื้องหน้ามัน ปรากฏร่างทั้งสามขึ้นประจักษ์สายตาพร้อมจับจ้องมันด้วยรอยยิ้มที่มิใช่รอยยิ้ม
“เจ้าหินโง่ นายน้อยผู้นี้กลับมาแล้ว!”
ขุนพลศิลาอารมณ์เสียอย่างมากเมื่อมีคนมาขัดเวลานอนของมัน แต่หลังจากที่นึกอยู่นานว่าชายหนุ่มคนนี้คือใคร ในที่สุดมันก็นึกออกพลางกล่าวขึ้นด้วยความตกใจว่า
“เจ้า…มิใช่ว่าเจ้าเข้าไปในป่าดอกท้อ? นี่…นี่กลับออกมาได้อย่างไร?”
อาณาเขตของเผ่ายักษ์หินของมันอยู่ใกล้กับป่าดอกท้อ ดังนั้นขุนพลศิลาจึงตระหนักดีถึงความน่าสะพรึงของป่าดอกท้อ
เขาเคยเห็นผู้คนจำนวนมากมายเดินทางเข้าไปในป่าดอกท้อมาก่อน แต่ก็ไม่มีใครสามารถกลับออกมาได้เลยสักคน
ทว่าไอ้เด็กเหลือขอตรงหน้ากลับออกมาได้จริงๆ!
“เหอะ ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาลกว่ากะลาที่เจ้ามุดหัวอยู่นัก หรือเป็นไปได้ไหมว่า นายน้อยผู้นี้จักพลาดท่าสิ้นใจตายลงป่าดอกท้อนั้นจริงๆ? นายน้อยผู้นี้ต้องการไปยังเขตพระเจ้าต่องห้าม จะหลีดทางแต่โดยดีหรือต้องให้สั่งสอนสักหนึ่งบทเรียน?”
เย่หยวนเอ่ยปากลั่นวาจาสุดเย้ยหยัน
“เขตพระเจ้าต้องห้าม? เหอะ,ช่างเป็นเด็กน้อยที่หยิ่งผยองนัก! สถานที่แห่งนั้นแม้แต่เซียนอาณาจักรพระเจ้าขนานแท้ยังไม่กล้าย่างกรายเข้าไป แล้วเจ้าคิดว่าตนเองไร้เทียมทานเพียงใด ถึงมีความมั่นใจขนาดนี้?”
ขุนพลศิลากล่าวขึ้นด้วยความไม่เชื่อ
“การที่คนอื่นไปไม่ได้ก็มิได้หมายความว่าข้าผู้นี้จะไม่สามารถไปได้!”
เย่หยวนกล่าว
ขุนพลศิลาหัวร่อเสียงเย็นคำโตเมื่อได้ยินและกล่าวว่า
“ช่าน่าขัน! ขนาดข้า เจ้ายังไม่มีปัญหาผ่านไปได้ แล้วนับประสาอะไรกับเขตพระเจ้าต้องห้าม? เหล่าพี่น้องของข้า วันนี้มีมื้ออาหารชุดใหญ่!”
ทันทีที่สิ้นเสียง เหล่ายักษ์หินนับสิบตัวก็กระโจนเข้าจู่โจมพวกเย่หยวนอย่างพร้อมเพรียง
เว้นเสียว่ายามนี้ เย่หยวนทะลวงขึ้นสู่อาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุดแล้ว ความแกร่งกล้าของเขาถูกยกระดับขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
หากเปรียบเทียบกับก่อนหน้า เย่หยวนในตอนนี้ทรงพลังกว่ามาก
ร่างเย่หยวนไสวเป็นสายหนึ่ง บัวเพลิงปราณดาบพิโรธถึงคราสำแดงเดช ปราณดาบเพลิงระอุเข้าชนกับกำปั้นของขุนพลศิลาโดยตรง
บูมมมม!
แขนข้างหนึ่งของขุนพลศิลาขาดกระเด็นออกไปทันที
ขุนพลศิลาพลันเปลี่ยนสายตาจับจ้องเย่หยวนด้วยความหวาดกลัว มันอุทานลั่นว่า
“เจ้ามนุษย์ นานแค่ไหนกันมิได้พบหน้า ไฉนเจ้าถึงกล้าแกร่งขึ้นอย่างก้าวกระโดดเช่นนี้?!”
เย่หยวนกล่าวตอบพร้อมส่งยิ้มบางให้
“นี่เพียงโหมโรงเท่านั้น!”
ขุนพลศิลาส่งเสียงคำรามลั่นแสนเดือดดาล ร่างกายของมันคล้ายแม่เหล็ก ยามใดที่แขนขาด้วนมันจะดูดเศษหินเศษทรายโดยรอบประกอบขึ้นมาอีกครั้ง
และในไม่ช้าแขนที่ขาดไปก็กลับคืนสู่สภาพเดิม
“เจ้ามนุษย์ ข้าขอยอมรับเลยว่าเจ้าช่างแข็งแกร่งจริงๆ! แต่เผ่ายักษ์หินของเราไม่มีวันตาย! ไม่ว่าเจ้าจะกล้าแกร่งเพียงใด ก็เปล่าประโยชน์!”
ขุนพลศิลากล่าวขึ้น
เย่หยวนหัวร่อเสียงเย็นแผดดังและกล่าวตอบว่า
“เช่นนั้นรึ? น่าเสียดาย….นายน้อยผู้นี้ไม่เชื่อว่า บนผืนพิภพแห่งนี้ไม่มีผู้ใดเป็นอมตะไปตลอด!”
เมื่อกล่าวจบร่างของเย่หยวนก็อันตรธานหายวับในทันใด
บูมมมม!
ขุนพลศิลาถูกเป่ากระเด็นอีกคราโดยบัวเพลิงปราณดาบพิโรธ
ขุนพลศิลายามนี้เดือดดาลสุดขีดเมื่อถูกรังควานต่อเนื่องไม่หยุด มันกวัดแกว่งกำปั้นของมันกระหน่ำซัดไปทางเย่หยวน
อย่างไรก็แล้วแต่ เย่หยวนในตอนนี้คือเซียนอาณาจักรราชันย์เทวะขั้นสุด ความเร็วในการเคลื่อนไหวของเขาลึกซึ้งและเหนือชั้นกว่าก่อนหน้าหลายเท่าทวี เพียงพริบตาเดียว เขาก็ทะยานหนีออกไปอย่างไม่ยากเย็น
ส่งผลให้กำปั้นของขุนพลศิลาพลันต้องคว้าน้ำเหลว แถมยังพลาดไปโดนยักษ์หินตัวอื่นๆจนแหลกเป็นผุยผงระนาว
เย่หยวนหาได้แปลกใจอันใด เขายังคงพึ่งพาวรยุทธเคลื่อนไหวทะยานเหินผ่านยักษ์หินนับหลายสิบตัว
ระหว่างนั้นพวกมันก็โจมตีกันเองและทุบกำปั้นใส่กันจนแตกละเอียดเป็นเสี่ยงๆ
“เจ้ามนุษย์ คิดจะหนีไปซ่อนตัวงั้นรึ?”
ขุนพลศิลาไม่สามารถจับตัวเย่หยวนได้เลย ทันทีทันใดเพลิงพิโรธปะทุคลั่งถึงขีดสุด
“หุหุ ข้ามาแล้ว!”
บูมมมม!!
บัวเพลิงปราณดาบพิโรธ!
อย่างไรก็แล้วแต่ การเคลื่อนไหวในครั้งนี้ของเย่หยวนทำให้ขุนพลศิลาและที่เหลือหยุดชะงักในบัดดล